ตอนที่ 861 การปรักปรำใส่ร้ายของเสี่ยวยวี่ยวี่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อนึกถึงอสูรยักษ์ขนาดมหึมาที่เผชิญหน้าก่อนหน้านี้ หวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่ก็ยังคงรู้สึกหวาดผวาและมีจิตใจที่อ่อนไหวอยู่ไม่น้อย ซึ่งเมื่อฉินเหยียนปรากฏตัวขึ้นมาขวางหน้าพวกเขาอย่างกะทันหัน พวกเขาก็ตื่นอกตกใจขึ้นมาทันที

เมื่อได้ยินคำเรียกที่สตรีตรงหน้าใช้แทนอวิ๋นซื่อเทียน พวกเขาก็คาดเดาได้ทันทีว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะต้องสนิทสนมกันพอสมควร

ทว่าในขณะที่หวังอวิ๋นเย่ต้องการกล่าวสิ่งใด เสี่ยวยวี่ยวี่ก็จับแขนปรามเขาไว้เสียก่อน

“เจ้าเป็นอะไรกับอวิ๋นซื่อเทียนหรือ ?”

เสี่ยวยวี่ยวี่มองฉินเหยียนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าและความริษยาเริ่มฉายวาบในแววตา

เมื่อเผชิญหน้ากับสตรีที่โดดเด่นเหนือกว่าตนอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับอวิ๋นซื่อเทียน เสี่ยวยวี่ยวี่ก็ไม่อาจซ่อนความริษยาไว้ได้เลย นอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอก สตรีตรงหน้าก็ยังมีกลิ่นอายความสูงส่งและความเยือกเย็นบางอย่างซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่านางไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

แรกเริ่มเดิมที เสี่ยวยวี่ยวี่เคยคิดว่าอวิ๋นซื่อเทียนเป็นเพียงจอมยุทธ์ที่ต่ำต้อยคนหนึ่งจากดินแดนระดับต่ำ ไม่คิดเลยว่าสตรีผู้นั้นจะมีสหายที่ทรงพลังมากมายเช่นนี้

“มันมิใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า รีบบอกมาก็พอว่าตอนนี้ซื่อเทียนอยู่ที่ใด !”

ฉินเหยียนกล่าวอย่างเย็นชา แม้จะพบกันครั้งแรก นางก็ไม่รู้สึกถูกชะตากับหวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่เลยสักนิด

“ตอนอยู่บนยอดเขาก่อนหน้านี้ พวกเราพบสมุนไพรหายากหลายชนิด ทว่าอวิ๋นซื่อเทียนกลับลอบโจมตีพวกเราและแย่งชิงพวกมันไป เราไม่รู้หรอกว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด”

แววตาของเสี่ยวยวี่ยวี่ฉายประกายบางอย่างและจงใจกล่าวให้ร้ายอวิ๋นซื่อเทียนอย่างรวดเร็ว

นางไม่ต้องการให้ผู้ที่ดูมีฝีมือตรงหน้าเข้าไปช่วยอวิ๋นซื่อเทียนได้ทันและหวังในใจว่าคนเหล่านั้นจะถูกอสูรยักษ์บนภูเขากลืนกินไปเสีย หากเป็นเช่นนั้นจริง นางก็จะได้ระบายความโกรธแค้นที่มี ยิ่งไปกว่านั้น อวิ๋นซื่อเทียนพร่ำบอกว่าไม่สนใจหวังอวิ๋นเย่ ทว่าตราบใดที่สตรีผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ หวังอวิ๋นเย่ก็ไม่มีทางที่จะตัดใจไปจากนางอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรเสี่ยวยวี่ยวี่ก็ปรารถนาที่จะได้หวังอวิ๋นเย่มาครอบครองและไม่ต้องการให้เขามีโอกาสลงเอยกับสตรีอื่น

“เหอะ ข้าต้องการความจริง !”

ฉินเหยียนไม่เชื่อวาจาของเสี่ยวยวี่ยวี่แม้แต่น้อยเพราะทราบดีว่าอวิ๋นซื่อเทียนเป็นคนอย่างไร นางและฉินอวี้โม่มีหลักปรัชญาศีลธรรมของตนเอง นั่นหมายความว่าทั้งสองไม่มีทางทำสิ่งที่ชั่วร้ายเช่นการโจมตีคนแปลกหน้าเพื่อช่วงชิงสมุนไพรอย่างแน่นอน

“ข้ากำลังพูดความจริง ดูสิ แม้แต่พี่อวิ๋นเย่ยังต้องบาดเจ็บเพราะฝีมือของอวิ๋นซื่อเทียน”

เสี่ยวยวี่ยวี่ดึงแขนเสื้อยาวของหวังอวิ๋นเย่ขึ้นเพื่อเผยให้เห็นบาดแผลที่ชัดเจน เพียงแต่บาดแผลนี้ก็เกิดจากการเผชิญหน้ากับอสูรยักษ์ก่อนหน้านี้

ในตอนแรกหวังอวิ๋นเย่ต้องการขวางเสี่ยวยวี่ยวี่ไว้ ทว่าเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เขาก็มีความชิงชังอยู่ในใจเล็กน้อย เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่ขวางเสี่ยวยวี่ยวี่และให้ความร่วมมือกับแผนการของนางในการใส่ร้ายอวิ๋นซื่อเทียน

“โอ้ ข้าคิดว่าพวกเจ้าต้องการจะแย่งชิงบางอย่างมาจากซื่อเทียนมากกว่า พวกเจ้าจึงได้รับบทเรียนที่เจ็บปวดกลับมา !”

ฉินเหยียนยิ้มเยือกเย็นและกล่าววาจาเสียดแทงใจทั้งสองอย่างไม่ไว้หน้า

“เหอะ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า พวกเราพูดความจริงไปแล้ว เราไม่รู้จริง ๆ ว่าตอนนี้อวิ๋นซื่อเทียนอยู่ที่ใด”

สีหน้าของเสี่ยวยวี่ยวี่เริ่มบูดบึ้งเมื่อเห็นว่าฉินเหยียนไม่คล้อยตามวาจาของตน อย่างไรก็ตาม นางพยายามไม่แสดงออกมากจนเกินไปขณะแค่นเสียงเย็นชาและแสร้งทำเป็นใจเย็น

“พี่เหยียน ไม่ต้องเสียเวลาเสวนากับคนเหล่านี้หรอก”

ในเวลานี้หลานเผิงและเหมียวเจินเจินก็รีบเดินเข้ามาเช่นกัน หลานเผิงชำเลืองมองเสี่ยวยวี่ยวี่และหวังอวิ๋นเย่ด้วยแววตารังเกียจก่อนกล่าวขึ้นมา “บอกความจริงมาซะว่าพี่ซื่อเทียนอยู่ที่ใด หรือไม่ก็นำทางพวกเราไปหานาง มิฉะนั้น อย่าหาว่าข้าทำตัวเสียมารยาทก็แล้วกัน !”

เขาทราบว่าอวิ๋นซื่อเทียนเป็นหนึ่งในสหายของฉินอวี้โม่เช่นกันและมีลางสังหรณ์อยู่เล็กน้อยว่าตอนนี้ฉินอวี้โม่อาจรวมกลุ่มอยู่กับอวิ๋นซื่อเทียนแล้ว

“พวกเราคือทายาทของตระกูลเสี่ยวและตระกูลหวังแห่งเมืองฉีอวิ๋น แน่ใจรึว่าเจ้าอยากจะข่มขู่พวกข้าจริง ๆ ?”

เมื่อรับรู้ได้ถึงวาจาข่มขู่ในน้ำเสียงของหลานเผิง สีหน้าของทั้งเสี่ยวยวี่ยวี่และหวังอวิ๋นเย่ก็บิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด คิดไม่ถึงเลยว่าไม่เพียงแต่อวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวเท่านั้นที่ไม่เห็นหัวพวกตน ทว่ายังมีคนกลุ่มนี้ที่กล้าถึงขั้นกล่าววาจาข่มขู่อย่างเปิดเผยและเป็นการกระทำที่น่าเกลียดชังเป็นที่สุด

“หึ ตระกูลหวังและตระกูลเสี่ยว…เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นตระกูลที่ทรงพลังมากนักรึ ?”

หลานเผิงยิ้มอย่างเย็นชาขณะขยิบตาส่งสัญญาณให้กับโหรวรั่วและคนอื่น ๆ จากนั้นทุกคนก็เข้าล้อมรอบเสี่ยวยวี่ยวี่และหวังอวิ๋นเย่ทันที

“บอกตามตรง พวกเรามิใช่คนที่มีความอดทนหรือใจเย็นมากนัก !”

ความข่มขู่ในวาจาของเขาไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด อีกทั้งเขาก็ยังรู้สึกมั่นใจแล้วว่าเสี่ยวยวี่ยวี่และหวังอวิ๋นเย่ทราบว่าอวิ๋นซื่อเทียนอยู่ที่ใด

“พวกเขาอยู่บนยอดเขา”

ถึงอย่างไร หวังอวิ๋นเย่ก็ยังเฉลียวฉลาดกว่าเสี่ยวยวี่ยวี่อยู่เล็กน้อย เขารีบชี้ไปทางยอดเขาและกล่าวความจริงออกไปอย่างรวดเร็ว

เขาตระหนักดีว่าทุกคนรอบตัวไม่ด้อยไปกว่าพวกตนอย่างแน่นอน อีกทั้งเขายังรู้สึกคุ้นหน้าหลานเผิงอย่างประหลาด เพราะเหตุนั้นหวังอวิ๋นเย่จึงไม่กล้ายั่วยุคนเหล่านี้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ก็มีทัศนคติที่แข็งกร้าวอย่างมาก หากไม่ยอมบอกความจริงว่าอวิ๋นซื่อเทียนอยู่ที่ใด เกรงว่าเขาไม่มีทางรอดพ้นไปจากที่นี่ได้แน่

“ไม่เพียงแต่อวิ๋นซื่อเทียนเท่านั้น ทว่ายังมีอีกหลายคนอยู่บนยอดเขากับนาง ก่อนหน้านี้คนพวกนั้นก็บังเอิญเจอเข้ากับอสูรยักษ์และกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด”

เขากล่าวต่ออีกประโยคเพราะต้องการให้หลานเผิงไปให้พ้นทางของตนโดยเร็วที่สุด

“นำทางพวกเราไป เมื่อได้พบกับซื่อเทียน พวกเราจะปล่อยเจ้าทั้งสองไปตามทาง !”

ฉินเหยียนกล่าวอย่างใจเย็นและมั่นใจแล้วว่าคนอื่น ๆ ที่หวังอวิ๋นเย่กล่าวถึงจะต้องเป็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม นางทราบตั้งแต่แวบแรกว่าหวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่มิใช่คนดีจึงไม่อยากปักใจเชื่อวาจาของทั้งสอง ทางที่ดีที่สุดคือการให้ทั้งสองนำทางไปก่อน

“ทำไมกัน ?!”

เสี่ยวยวี่ยวี่ตะโกนเสียงดังอย่างไม่ยินยอมขณะตวัดสายตามองฉินเหยียนตาเขม็ง

“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์เลือกทั้งนั้น !”

เหมียวเจินเจินกลอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ เสี่ยวยวี่ยวี่ทำให้นางนึกถึงเถียนเยี่ยนจือที่ทั้งทะนงตนและเย่อหยิ่งซึ่งเป็นคนประเภทที่น่ารำคาญอย่างที่สุด

“เอาล่ะ เราจะนำทางพวกเจ้าไปที่นั่น”

หวังอวิ๋นเย่ไตร่ตรองถึงความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายและมั่นใจว่าฝ่ายตนไม่มีทางเอาชนะฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ได้แน่ เพราะเหตุนั้นเขาจึงลังเลเล็กน้อยก่อนพยักศีรษะตอบตกลงแต่โดยดี

“ไปกันเลยเถอะ !”

เมื่อทราบว่าอวิ๋นซื่อเทียนอยู่ที่ใด ฉินเหยียนก็อดใจรอที่จะไปหานางไม่ไหวและไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไป

ภายใต้การนำทางของหวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่ ทุกคนก็มุ่งหน้าขึ้นไปยังยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว

แม้เสี่ยวยวี่ยวี่จะไม่เต็มใจนัก นางก็รับรู้ได้ถึงแววตาข่มขู่ของฉินเหยียน อย่างไรก็ตาม นางยังพยายามข่มสีหน้ามิให้แสดงความรู้สึกออกไปขณะเดินข้างกายหวังอวิ๋นเย่

“พี่อวิ๋นเย่ ก่อนหน้านี้เราหนีเอาตัวรอดมาและปล่อยคนพวกนั้นไว้ อวิ๋นซื่อเทียนและคนพวกนั้นจะไม่ปล่อยเราไปง่าย ๆ แน่ !”

นางกระซิบข้างหูหวังอวิ๋นเย่เบา ๆ และแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการพบหน้าอวิ๋นซื่อเทียนและอีกสามคนอีก

“ไม่ พวกนางไม่ทำเช่นนั้นหรอก”

ในทางกลับกัน หวังอวิ๋นเย่ไม่กังวลเท่าใดนัก เขาตระหนักดีว่าต่อให้อวิ๋นซื่อเทียนและสหายจะชิงชังพวกตนมากเพียงใด อีกฝ่ายก็คงจะไม่คิดถึงขั้นฆ่าแกงพวกเขา

นอกจากนี้ อสูรยักษ์ตนนั้นก็ทรงพลังอย่างมาก ด้วยเวลาที่ผ่านมาพักใหญ่ เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าคนเหล่านั้นจะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่ นับประสาอะไรกับสภาพน่าเวทนาที่จะได้เห็น

จากนั้นกลุ่มคนจำนวนมากก็เดินทางมุ่งหน้าไปบนยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โดยที่ไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดระหว่างทาง

ไม่นานนัก ฉินเหยียนและทุกคนก็มาถึงอีกฟากหนึ่งของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

ทันทีที่มาถึงยอดเขา สมุนไพรที่เรียงรายทั้งสองข้างทางก็ดึงดูดสายตาของทุกคนได้ในทันที

“ว้าวว ! สมุนไพรระดับสูงหายากทั้งนั้นเลย !”

เหมียวเจินเจินมองดูวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถหายากรอบตัวและอดถอนหายใจไม่ได้ นางยื่นมือออกไปและหมายจะเด็ดมันมาเชยชม

“อย่าจับมันเด็ดขาด !”

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของเหมียวเจินเจินและหยุดการเคลื่อนไหวของนางไว้ทันที

หลานเผิงยังไม่ทำสิ่งใดและได้ยินเสียงดังกล่าวเช่นกัน จากนั้นทุกคนก็หันไปมองยังทิศทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ โม่ฉือ ซื่อเทียน เซิ่งเซียว”

ฉินเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นและรีบทักทายทั้งสี่อย่างรวดเร็ว