ตอนที่ 862 รอดเพียงคนเดียว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่และทุกคนเดินทางออกจากลานที่พักบนยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และมุ่งหน้าไปยังอีกฟากหนึ่งของภูเขาโดยไม่เผชิญอันตรายใดระหว่างทาง แมลงภูตที่เคยพบก่อนหน้านี้ก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกและในที่สุดพวกนางก็เดินมาถึงทางเดินลาดลงของภูเขา

เมื่อมองดูจากระยะไกลและเห็นว่าเหมียวเจินเจินกำลังจะหยิบสมุนไพรขึ้นมา ฉินอวี้โม่จึงรีบตะโกนห้ามไว้อย่างรวดเร็ว

ในตอนแรกนางยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเห็นได้ว่าคนที่อยู่ด้านข้างเหมียวเจินเจินคือผู้ใด ทว่าเมื่อได้ยินน้ำเสียงแสดงความตื่นเต้นดังขึ้น ในที่สุดนางก็ได้เห็นว่าเจ้าของเสียงดังกล่าวคือฉินเทียนจากดินแดนเทพมายานั่นเอง

“พี่สะใภ้”

นางเดินตรงเข้าไปจับมือฉินเหยียนและกล่าวพร้อมสีหน้าดีใจ

“พวกเจ้าอยู่ด้วยกันจริง ๆ”

ฉินเหยียนมองเห็นหานโม่ฉือ อวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวที่ตามฉินอวี้โม่เข้ามาเช่นกันและกล่าวด้วยน้ำเสียงโล่งใจทันที ก่อนหน้านี้นางคาดเดาไว้แล้วว่าฉินอวี้โม่น่าจะอยู่ร่วมกับบรรดาสหายจากดินแดนเทพมายาและมันก็เป็นอย่างที่นางคิดไว้จริง ๆ

“พี่อวี้โม่ พวกเราก็อยู่ที่นี่ด้วยนะ”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ที่กล่าวทักทายฉินเหยียนราวกับไม่สังเกตเห็นพวกตน เหมียวเจินเจินจึงรีบกล่าวและแสร้งทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ

“ข้าเห็นพวกเจ้าตั้งนานแล้ว ไม่พบกันหลายวัน น้องเจินเจินของข้าดูจะโตขึ้นนะ”

ฉินอวี้โม่ยื่นมือออกไปหยิกแก้มของเด็กสาวและกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนกระซิบข้างหูอีกฝ่าย “เป็นอย่างไรบ้าง ? มีเรื่องสนุก ๆ อะไรเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับหลานเผิงบ้างรึไม่ ?”

“พี่อวี้โม่หยอกข้าเล่นอยู่เรื่อย !”

เหมียวเจินเจินโผเข้ากอดฉินอวี้โม่ก่อนกระทืบเท้าเบา ๆ ด้วยท่าทางเก้อเขิน

ฉินอวี้โม่คาดเดาบางอย่างได้ทันที ดูเหมือนว่าเด็กสาวผู้นี้จะร้อนตัวไม่เบา

“เหอะ ยังกล้าเสนอหน้ามาให้พวกข้าเห็นอีกรึ ?!”

หลังจากที่อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวทักทายฉินเหยียน นางก็สังเกตเห็นเสี่ยวยวี่ยวี่และหวังอวิ๋นเย่ที่กำลังพยายามหาทางหลบหนีไปอีกครา นางไม่รอช้าและพุ่งตรงไปขวางหน้าทั้งสองไว้ทันที

“ซื่อเทียน…”

หวังอวิ๋นเย่อ้าปากราวกับต้องการจะกล่าวบางอย่าง ทว่าถูกขัดจังหวะไว้โดยเซิ่งเซียวเสียก่อน

“หุบปากไปเสีย คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะเรียกชื่อของซื่อเทียนด้วยซ้ำ ! เจ้าพร่ำกล่าวว่าเจ้าชอบซื่อเทียนจากใจจริง ทว่าเมื่อภัยมาเยือนตรงหน้า เจ้ากลับหลบหนีเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว ช่างน่ารังเกียจชะมัด !”

เซิ่งเซียวมองหวังอวิ๋นเย่อย่างเยือกเย็นและกล่าววาจาที่ทำให้อีกฝ่ายนึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย

หวังอวิ๋นเย่มีใจให้อวิ๋นซื่อเทียนจริง ทว่าหากเทียบกับชีวิตของเขา ชีวิตของเขาก็ย่อมสำคัญยิ่งกว่า การที่ทอดทิ้งอวิ๋นซื่อเทียนและหลบหนีไปเป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากสัญชาตญาณของเขา

“อสูรยักษ์ตนนั้นแข็งแกร่งเกินไป ไม่ว่าอย่างไรพวกข้าก็ช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้ เราเพียงล่าถอยออกมาเพื่อหาคนมาช่วยพวกเจ้าก็เท่านั้น เหตุใดจึงต้องกล่าวหากันเช่นนี้เล่า ?”

เสี่ยวยวี่ยวี่ยืนขวางหน้าหวังอวิ๋นเย่และกล่าววาจาปกป้องเขา แม้ยังหวาดหวั่นต่อเซิ่งเซียวไม่เปลี่ยนแปลง นางก็กล้ายืนหยัดเพื่อปกป้องบุรุษที่ตนหลงใหล

“ดูสิ นางมีความกล้ามากกว่าบุรุษอย่างเจ้าเสียอีก !”

อวิ๋นซื่อเทียนยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาทว่ารู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของเสี่ยวยวี่ยวี่เล็กน้อย

ไม่ว่าสตรีผู้นี้จะยโสโอหังและอวดดีเพียงใด อย่างน้อยที่สุดนางก็กล้ายืนหยัดเพื่อปกป้องคนที่ตนหมายปองแม้ในยามอันตราย และนั่นเป็นคุณสมบัติที่น่าชื่นชมไม่น้อย น่าเสียดายที่บุรุษที่นางพยายามปกป้องมิใช่บุรุษคู่ควรเลยสักนิด

“เฮ้ ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้กล่าวเช่นนี้นี่นา !”

เหมียวเจินเจินไม่สนใจสิ่งใดนักขณะเดินเข้าไปหาอวิ๋นซื่อเทียนและจ้องหน้าเสี่ยวยวี่ยวี่พร้อมกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าพี่ซื่อเทียนคิดที่จะแย่งชิงสมุนไพรวิญญาณของเจ้าและทำร้ายพวกเจ้าทั้งสองคน”

เหมียวเจินเจินและคนอื่น ๆ ยังจำได้ดีว่าก่อนหน้านี้เสี่ยวยวี่ยวี่โกหกอะไรไว้และตอนนี้ก็ถึงเวลาสะสางเรื่องนั้นเสียที

“โอ้ จริงรึ ? นางกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ รึ ?”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและเลื่อนสายตาไปมองที่เสี่ยวยวี่ยวี่อย่างเยือกเย็นจนนางแทบสั่นสะท้าน

“เจ้าคิดจะทำอะไร ?”

ในที่สุดเสี่ยวยวี่ยวี่ก็ไม่อาจข่มใจให้สงบนิ่งได้อีกต่อไปและความกล้าหาญเมื่อครู่นี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางเกือบลืมไปว่าตนกล่าววาจาให้ร้ายอวิ๋นซื่อเทียนและกุแต่งเรื่องหลอกลวงขึ้นมา ตอนนี้ในเมื่อทุกคนรวมตัวกันแล้ว เรื่องโกหกนั้นจึงถูกเปิดโปงไปโดยปริยาย

“ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไรหรอก แต่ในเมื่อเจ้าบอกว่าพี่ซื่อเทียนแย่งชิงสมุนไพรของเจ้าไป แน่นอนว่าพวกเราก็ต้องการที่จะชดใช้คืน”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ขณะชี้ไปที่สมุนไพรวิญญาณด้านข้างซึ่งส่งกลิ่นหอมเป็นวงกว้าง “ข้าจะมอบสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ให้กับเจ้า เชิญหยิบมันไปได้เลย พวกข้าจะไม่ขัดขวาง”

เสี่ยวยวี่ยวี่และหวังอวิ๋นเย่ตระหนักถึงภัยร้ายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสมุนไพรเหล่านี้เป็นอย่างดีทว่าไม่คิดที่จะกล่าวเตือนเหมียวเจินเจินและคนอื่น ๆ แม้แต่น้อย หากไม่บังเอิญมาเจอเข้ากับฉินอวี้โม่เสียก่อน เกรงว่าเหมียวเจินเจินและอีกหลายคนคงจะสลายหายไปแล้ว

แม้การปกป้องคนที่ตนรักโดยที่ไม่เกรงกลัวอันตรายใดจะเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ฉินอวี้โม่ชื่นชมนางไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติจิตใจที่ชั่วร้ายของเสี่ยวยวี่ยวี่ก็เป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่ไม่มีทางปรานีเช่นกัน

เหมียวเจินเจินและคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ ทว่าเมื่อครู่นางห้ามพวกตนมิให้แตะต้องสมุนไพรเหล่านี้และตอนนี้ก็กล่าวว่าจะยกพวกมันให้กับเสี่ยวยวี่ยวี่ คาดเดาได้ไม่ยากว่าจะต้องมีวิกฤตบางอย่างซ่อนไว้เบื้องหลังสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้อย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงไม่กล่าวสิ่งใดและเพียงยืนนิ่งราวกับรอรับชมเรื่องสนุก ๆ

“เอ่อ…”

เสี่ยวยวี่ยวี่ไม่กล้ามองสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นตรง ๆ ด้วยซ้ำ เพียงนึกถึงภาพของศิษย์ตระกูลเสี่ยวมากกว่าสิบคนที่สลายกลายเป็นเถ้าถ่านและหายไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนหน้านี้ ขาทั้งสองของนางก็เริ่มสั่นอย่างมิอาจควบคุม

“เจ้าไม่กล้ารึ ?”

ฉินเหยียนกล่าวอย่างเยือกเย็นและตั้งท่าพร้อมที่จะโจมตีอีกฝ่ายแล้ว นางมิใช่คนที่มีจิตใจอ่อนโยนจนเกินไปและไม่มีปัญหากับการกำจัดคนชั่วไปจากสังคม การที่เสี่ยวยวี่ยวี่และหวังอวิ๋นเย่ต้องการทำร้ายพวกตน คนทั้งสองไม่มีทางรอดพ้นไปได้ง่าย ๆ แน่

“เหอะ คงจะมีอันตรายสักอย่างอยู่ในสมุนไพรวิญญาณพวกนั้นสินะ !”

เหมียวเจินเจินแค่นเสียงเย็นชาและมองเสี่ยวยวี่ยวี่ด้วยแววตารังเกียจเดียดฉันท์

“อวิ๋นซื่อเทียน พวกเราต้องขอโทษเจ้าด้วย แม้เราจะปิดบังความจริงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ สุดท้ายพวกเราก็ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ใด ทางที่ดีเจ้าควรจะปล่อยวางเรื่องในวันนี้ไปเถอะ”

หวังอวิ๋นเย่ถือโอกาสกล่าวออกไปและไม่มีความคิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับอวิ๋นซื่อเทียนอีก เขาผู้มักวางท่าทะนงตนอยู่เสมอแทบไม่เคยแสดงด้านที่อ่อนแอให้ผู้ใดได้เห็น

“เหอะ ต้องการจะให้พวกข้าปล่อยวางเรื่องนี้ไปง่าย ๆ รึ ? ช่างเป็นความคิดที่สวยหรูจริงเชียว”

อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันและไม่คิดที่จะล้มเลิกความตั้งใจเดิม

“การที่เจ้าเผ่นหนีเอาตัวรอดเพราะความเห็นแก่ตัว นั่นมิใช่เรื่องที่ข้าคิดติดใจอะไร อย่างไรก็ตาม การที่เจ้าบิดเบือนความจริงและจงใจปิดบังภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้โดยที่ต้องการจะทำร้ายสหายของข้า นั่นเป็นสิ่งที่ข้าไม่มีทางให้อภัยได้ !”

การที่ทั้งสองเลือกหลบหนีเพื่อเอาตัวรอดก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้ เมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตที่น่าหวาดหวั่น มิใช่ทุกคนที่จะองอาจกล้าหาญต่อสู้กับมันได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้อวิ๋นซื่อเทียนโกรธแค้นอย่างที่สุดคือทั้งสองทราบถึงวิกฤตของสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ดี ทว่าไม่คิดกล่าวเตือนเหมียวเจินเจินและคนอื่น ๆ เลยสักนิด นอกจากนี้ทั้งสองก็ยังบิดเบือนความจริงเพื่อทำร้ายสหายของนาง อวิ๋นซื่อเทียนไม่มีทางแสดงความเมตตากับคนเหล่านี้อย่างแน่นอน

“ถูกต้อง พวกเจ้าคิดร้ายต่อเรา แต่ต้องการให้เราปล่อยออกไปง่าย ๆ เช่นนั้นรึ ? ช่างมีความคิดที่สวยหรูเหลือเกิน !”

เหมียวเจินเจินพยักศีรษะเบา ๆ และกล่าวเยาะเย้ยเสี่ยวยวี่ยวี่และหวังอวิ๋นเย่

แม้โหรวรั่วและคนอื่น ๆ จะไม่กล่าวสิ่งใด ทว่าพวกเขาก็ล้อมรอบคนทั้งสองไว้ซึ่งเป็นการแสดงทัศนคติของพวกเขาได้อย่างชัดเจน

“พวกเจ้าต้องการจะทำอะไร ?!”

หวังอวิ๋นเย่ขมวดคิ้วมุ่นและเริ่มรู้สึกหวั่นใจ เห็นทีเรื่องวันนี้คงจบไม่สวยแน่…

เสี่ยวยวี่ยวี่หวาดกลัวยิ่งกว่าและถอยไปหลบด้านหลังหวังอวิ๋นเย่โดยไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีก

“ง่ายมาก ในวันนี้ระหว่างพวกเจ้าทั้งสองคนจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะรอดออกไปได้ ตราบใดที่คนใดคนหนึ่งหยิบสมุนไพรวิญญาณขึ้นมา อีกคนก็จะเดินไปจากที่นี่ได้”

ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปอย่างชัดเจน ทว่าวาจาของนางทำให้ทั้งหวังอวิ๋นเย่และเสี่ยวยวี่ยวี่ชะงักนิ่งไปทันที