หาดดาราขจร ซากสมรภูมิบรรพกาลแห่งหนึ่งที่ค่อนมีชื่อเสียงในแม่น้ำพรมแดน

ลือกันว่าเมื่อครั้งบรรพกาลที่แห่งนี้เกิดการต่อสู้สะเทือนใต้หล้า มีอริยะวิถีกระบี่ปรากฏตัว เพียงกระบี่เดียวเฉือนปลิดดาราทั่วฟ้า!

ดวงดาราแตกละเอียด กลายเป็นเศษสะเก็ดดาวร่วงหล่น ตกสู่ดินแดนรัศมีหลายหมื่นลี้จนเกิดหลุมมหึมาขนาดใหญ่ราวหุบเหวลึกหลุมแล้วหลุมเล่า

กระทั่งแม่น้ำพรมแดนปรากฏ อาณาบริเวณนี้ผ่านการผันเปลี่ยนแห่งกาลเวลาไร้สิ้นสุดกลายเป็น ‘หาดดาราขจร’ ในปัจจุบัน

“ดูนั่น ที่ไกลออกไปก็คือหาดดาราขจร สำหรับผู้ฝึกปราณแดนชัยบูรพาจำนวนมาก หาดดาราขจรคือแดนสมบัติแห่งหนึ่ง ภายในหลงเหลือ ‘ศิลาอุกกาบาต’ ที่แท้จริงอีกทั้งจำนวนมหาศาล ในกาลเวลาเนิ่นนานนี้ไม่รู้ดึงดูดผู้ฝึกปราณมาเสาะหาและขุดค้นเท่าไหร่”

บนดาดฟ้ายานสำเภา โค่วซิงชี้ไปที่ห่างไกล สีหน้าผ่อนคลายพูดจาฉะฉาน

เพราะหลังถึงหาดดาราขจรก็เหมือนเข้าสู่เขตแดนชัยบูรพา ไม่เกินครึ่งวันก็ถึงเมืองแห่งหนึ่งที่ใกล้แม่น้ำพรมแดนที่สุด

ห่างออกไป แม่น้ำพรมแดนคลื่นขุ่นม้วนซัด หมอกเมฆตลบอบอวล

ทว่าต่างจากเขตแดนอื่น ที่นี่กระจายตัวเป็นผืนดินมากมายราวโขดหิน เป็นหลุมเป็นบ่อ สายน้ำซ่านเซ็นอยู่ภายใน ดูไปแล้วเหมือนโคกสันดอน

เขตแดนมันกว้างใหญ่ยิ่ง บางโขดหินรัศมีราวสิบกว่าจั้ง บ้างไม่ต่างอะไรกับเกาะแก่ง มีขนาดประมาณหลายสิบลี้

“ข่าวลือนี้คือเรื่องจริง ครั้งบรรพกาลอริยะวิถีกระบี่ผู้นั้นมีชื่อเสียงยิ่ง ฉายา ‘อริยะกระบี่ทลายมาร’ เคยโรมรันกรำศึกที่นี่ ใช้พลังต่อสู้ทั้งหมดเฉือนพิฆาตดาราทั่วฟ้าในกระบี่เดียว สะเก็ดดาวที่แตกสลายร่วงหล่นนิรันดร์ ก่อตัวเป็นทิวทัศน์อัศจรรย์เบื้องหน้า”

แม่นางเยวี่ยเอ่ย นางสติปัญญาเหนือปุถุชน ทั้งรอบรู้ความลับบรรพกาลมากมาย ทำให้ผู้คนต่างสงสัยว่าบนโลกนี้มีเรื่องที่นางไม่รู้หรือไม่

อริยะกระบี่ทลายมาร?

หลินสวินรำพึงในใจ ฉายานี้ช่างน่าตกตะลึง!

“ศิลาอุกกาบาตนั่นเป็นสมบัติระดับใด” หลินสวินถามอย่างอดไม่ได้

“ไม่ต่างจากศิลาแหล่งวิญญาณนัก หลังจากผ่าออกมีโอกาสสูงที่จะพบสมบัติอัศจรรย์หายากอย่างวัตถุดิบวิญญาณ โอสถวิญญาณ หินแร่ หยกสมบัติเป็นต้น”

แม่นางเยวี่ยราวนับสมบัติในบ้าน “และที่หายากคือ ถึงขั้นอาจพบสมบัติน่าเหลือเชื่ออย่างเจตวัตถุ สมบัติวิญญาณ ครรภ์วิญญาณ”

“ครรภ์วิญญาณ?” หลินสวินประหลาดใจ

“ถูกต้อง ราวสิบกว่าปีก่อน ผู้อาวุโสกึ่งราชันท่านหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์แห่งแดนชัยบูรพา ก็เคยพบศิลาอุกกาบาตอัศจรรย์ก้อนหนึ่งที่หาดดาราขจรนี้ หลังจากผ่าออกจึงพบว่าภายในนั้นหล่อเลี้ยงครรภ์วิญญาณ ‘อสูรไพฑูรย์’ ซึ่งหายากตัวหนึ่ง จิตวิญญาณยังไม่ตื่นรู้ก็มีมรรควิถีติดตัว เรียกได้ว่ามหัศจรรย์”

แม่นางเยวี่ยกล่าว “เหตุการณ์คล้ายคลึงกันนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านไม่ได้ปรากฏแค่ครั้งเดียว ข้าได้ยินว่ายังมีคนผ่าเจอกระดูกสัตว์ปริศนาในศิลาอุกกาบาต ด้านบนหลอมประทับวิชาฝึกปราณซึ่งเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน”

หลินสวินได้ยินดังนั้นก็เอ่ยปากชมอย่างอดไม่อยู่ ใต้หล้ากว้างใหญ่เรื่องพิสดารมากมี

แต่เมื่อได้ยินแม่นางเยวี่ยกล่าวถึง ‘แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์’ หลินสวินหวนนึกเรื่องอดีตส่วนหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ปีนั้นที่จักรวรรดิจื่อเย่า เขาก็ได้ยินว่าศิษย์ชั้นยอดที่สุดในสำนักศึกษามฤคมรกตเกินครึ่งล้วนถูกส่งไปฝึกปราณที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นี้

ที่หลินสวินจดจำขึ้นใจที่สุดคือ ‘กู้อวิ๋นถิง’ คนผู้นี้มีพรสวรรค์ ‘กายสุวรรณมรรคอัคคี’ ปีนั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง โดดเด่นเป็นสง่าในสำนักศึกษามฤคมรกตยิ่ง

แต่หลินสวินไม่ชอบใจเจ้าหมอนี่นัก ตอนนั้นเพื่อเขาวัวขุย กู้อวิ๋นถิงท่าทางหยิ่งผยองหมายชิงสิ่งนี้จากมือเขา ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้ง

แม้สุดท้ายไม่ได้ลงมือ แต่ความขัดแย้งกลับผูกเงื่อนด้วยประการฉะนี้

นอกจากกู้อวิ๋นถิง สำนักศึกษามฤคมรกตยังมีคนไม่น้อยเข้าฝึกปราณที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ เช่นจั่วอวี้จิงแห่งตระกูลจั่ว หรือจ้าวจิ่งเหวินซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์

พูดไปแล้วปีนั้นเพราะเหตุบางอย่าง หลินสวินยังเคยสั่งสอนผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ส่วนหนึ่ง และเพราะเหตุนี้จึงถูกเหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์นั่นผูกพยาบาท

“แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อยู่ที่ไหนหรือ” หลินสวินเอ่ยถาม

“อยู่ในเขต ‘แคว้นกู่ชาง’ อีกฝั่งของแม่น้ำพรมแดน นั่นเป็นสำนักโบราณแห่งหนึ่ง มีชื่อเสียงมากในแดนชัยบูรพา” ผู้ตอบคำถามคือโค่วซิง

หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง ไม่กล่าวมากความอีก

ระหว่างสนทนา พวกเขาก็เข้าใกล้หาดดาราขจรแล้ว

ที่นี่โขดหินกระจายโดยรอบแน่นขนัด ทอดสายตามองล้วนไม่เห็นขอบเขต

หมอกควันขมุกขมัวเลื่อนลอยกลางอากาศ วับๆ แวมๆ บางครั้งมีแสงดาราเจิดจรัสดั่งหิ่งห้อยส่องประกาย ปกคลุมอาณาบริเวณนี้ด้วยสีสันปริศนา

เมื่อยานสำเภาของพวกหลินสวินเข้าไปใกล้ก็สามารถเห็นได้ในปราดเดียว ว่ามีเงาร่างผู้ฝึกปราณมากมายกระจายอยู่ตามบริเวณต่างๆ บ้างเกาะกลุ่มเล็กๆ บ้างเคลื่อนไหวตามลำพัง ต่างกำลังเสาะหาอะไรบางอย่าง

“ทุกท่าน บริเวณนี้ถูกพวกข้าสำนักหมอกตะวันรอนยึดครองแล้ว ทางที่ดีพวกเจ้าควรอ้อมไป หากกล้าเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาตจะต้องถูกสังหาร!”

ทันทีที่เคลื่อนเข้าใกล้ บนโขดหินแห่งหนึ่งในนั้น ชายวัยกลางคนเคราโค้งชุดดำผู้หนึ่งพลันส่งเสียงตวาด แววตาเจือความชั่วร้าย

หลินสวินอึ้งไป จิตรับรู้แผ่ขยาย ก็เห็นละแวกใกล้เคียงมีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งกำลังขุดหาอะไรในธารน้ำ

เห็นชัดว่าชายวัยกลางคนเคราโค้งชุดดำนี้คือผู้ยืนยาม

ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งส่งเสียงประหลาดใจระคนยินดี “ขุดเจอแล้วๆ เป็นศิลาอุกกาบาตคุณลักษณะชั้นเลิศก้อนหนึ่ง!”

ในมือเขาประคองก้อนหินขนาดบาตรพระสีดำขลับ เจือแสงโลหะเยียบเย็นก้อนหนึ่ง เมื่อมองดูโดยละเอียด พื้นผิวศิลานั่นยังประทับลายสลักสีเงินราวไหมทอ ประกายดาราแผ่คลุมดั่งฝันเสมือนมายา

ทันใดนั้นเหล่าผู้แข็งแกร่งสำนักหมอกตะวันรอนละแวกใกล้เคียงต่างรุมล้อมเข้าไป

“รีบผ่าดูเร็ว!” พวกเขาแววตาเร่าร้อน ต่างจับจ้องศิลาอุกกาบาตที่เพิ่งขุดพบนั่นเขม็ง

พวกหลินสวินเองก็อยากรู้อย่างอดไม่อยู่ แต่ชายวัยกลางคนเคราโค้งชุดดำนั่นกลับเปลี่ยนเป็นระวังตัวขึ้นมา ตวาดเสียงกร้าว “หากไม่จากไปอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

พวกโค่วซิงต่างมุ่นคิ้ว เจ้าหมอนี่มีปราณแค่ระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น เทียบพวกเขายังไม่ได้ แต่กล้ากล่าวข่มขู่กันเช่นนี้ ช่างชวนรู้สึกหมั่นไส้

“ไปเถอะ” หลินสวินหาได้สนใจสิ่งนี้ อาศัยระดับของเขาในปัจจุบัน ไม่มีทางถูกยั่วโทสะโดยง่ายนานแล้ว

นอกเสียจากเจตนาเพ่งเล็งตน ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงคร้านจะคิดเล็กคิดน้อย

พวกเขาขับเคลื่อนยานสำเภาอ้อมไปทันที มุ่งไปยังส่วนลึกหาดดาราขจร

ตลอดทางก็เห็นบนโขดหินใหญ่น้อยนั่นมีเงาร่างผู้ฝึกปราณทุกหนแห่ง ต่างล้วนกำลังใช้หลากวิธีขุดค้นศิลาอุกกาบาต ภาพฉากคึกคักกระตือรือร้น

ขณะเดียวกันมีผู้ฝึกปราณมากมายกำลังยืนยาม ระวังผู้ฝึกปราณอื่นเข้าใกล้

ในระหว่างนี้พวกหลินสวินถูกตวาดด่าบ่อยครั้ง ขู่บังคับพวกเขาไม่ให้เข้าประชิด หลินสวินไม่รู้สึกอะไร แต่พวกโค่วซิงกลับเพลิงโทสะสุมอก

“แม่โว้ย หาดดาราขจรนี่เดิมก็เป็นถิ่นไร้เจ้าของ ใครต่างสามารถมาแสวงหาสมบัติ ตอนนี้กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว!” โค่วซิงโมโห บ่นฮึดฮัดอย่างอดไม่อยู่

“ตาบอดหรือไง ไม่เห็นหรือว่าบริเวณนี้ถูกพวกข้าสำนักคล้องนภายึดครองแล้ว รีบไสหัวไป!”

ไม่นานนักก็เจอผู้ฝึกปราณอีกคนตะคอกใส่พวกเขาลั่น หน้าตาเย่อหยิ่งเย็นชา เห็นชัดว่ากำเริบเสิบสานนัก

โค่วซิงพลันบันดาลโทสะ นี่ไม่เพียงตำหนิ เห็นชัดว่าว่ายังชี้จมูกด่าพวกเขาด้วย!

ตูม!

แต่ครั้งนี้หลินสวินตรงไปตรงมากว่าโค่วซิง ยื่นมือเดียวออกไปก็กุมตัวชายชุดผ้าไหมนี่อยู่หมัด

“เจ้า…” ชายชุดผ้าไหมตกตะลึง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตระหนกขุ่นเคือง กำลังจะตะโกนร่างก็ถูกทุ่มลงตรงหน้าพวกหลินสวิน หกคะเมนเละเทะ เบื้องหน้าสับสนมึนงง

“ข้าถาม เจ้าตอบ ไม่เช่นนั้นใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้” หลินสวินก้มหน้า นัยน์ตาดำล้ำลึกเยียบเย็น จ้องมองชายในชุดไหมนั่น

ฝ่ายหลังประหวั่นจนแข็งทื่อไปทั้งตัว สายตานั่นประดุจหุบเหวลึก ราวหมายกลืนกินจิตวิญญาณของเขาจนสิ้น น่าสะพรึงเกินไป ทำให้เขาตระหนักได้ถึงอันตรายของสถานการณ์ของตนในชั่วพริบตา

“แต่ก่อนที่นี่คนเยอะขนาดนี้หรือ” หลินสวินเอ่ยปากเข้าประเด็น

“ไม่ใช่” ชายหนุ่มชุดไหมรีบส่ายศีรษะ “ช่วงนี้แม่น้ำพรมแดนเกิดเหตุไม่คาดฝันกะทันหัน ทำให้หาดดาราขจรปรากฏการเปลี่ยนแปลงบางส่วน…”

จากคำอธิบายของเขา แม้หาดดาราขจรเป็นแหล่งศิลาอุกกาบาตที่อุดมสมบูรณ์ แต่ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดไม่รู้มีผู้ฝึกปราณมากเท่าไหร่เคยมาที่นี่ ขุดค้นศิลาอุกกาบาตเสียราบคาบนานแล้ว

แต่ช่วงนี้จากการที่แม่น้ำพรมแดนเกิดเหตุไม่คาดฝัน หาดดาราขจรซึ่งเดิมจวนจะแห้งเหี่ยวไร้สมบัติก็เกิดการเปลี่ยนแปลงน่าตระหนก เริ่มปรากฏศิลาอุกกาบาตบ่อยครั้ง

ที่น่าตะลึงที่สุดคือ ศิลาอุกกาบาตเหล่านี้ไม่รู้ถูกกลบอยู่นานเท่าไหร่ คุณลักษณะต่างไม่ธรรมดาเหนือกว่าอดีตที่ผ่าน

กระทั่งมีคนขุดพบศิลาอุกกาบาตขนาดราวหินโม่ เมื่อผ่าออกจึงพบทวนสำริดบิ่นผุพังเล่มหนึ่ง คล้ายคลึงสมบัติอริยะชำรุด!

หลังเรื่องนี้แพร่ออกไปพลันก่อให้เกิดความฮือฮาครั้งใหญ่ ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเฮโลกันมา ทำให้หาดดาราขจรที่เดิมไร้คนเหลียวแลเปลี่ยนเป็นคึกคักใหม่อีกครั้งทันที ซ้ำยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์!

“พวกเราได้ยินข่าวว่าอีกไม่นานสำนักโบราณส่วนหนึ่งจะเข้ามายุ่ง ดังนั้นจึงรีบแบ่งอาณาเขตทำการขุดค้นเต็มกำลัง คิดหาประโยชน์ส่วนหนึ่งก่อน หากรอพวกขุมกำลังสำนักโบราณนั่นมาถึง พวกเราคงไม่ได้กินแม้แต่น้ำแกง”

ชายชุดผ้าไหมนั่นตอบคำถามทุกข้อ ให้ความร่วมมืออย่างยิ่ง

หลินสวินเองก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจ หลังทราบข้อมูลที่อยากรู้ก็ปล่อยคนผู้นี้ไป

“แม่น้ำพรมแดนแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ สุดท้ายคงหายไปแน่ ทำให้สี่แดนวิภูเชื่อมกันใหม่อีกครั้ง สิ้นสุดรูปแบบโลกที่ต่างฝ่ายต่างเป็นเอกเทศ”

แม่นางเยวี่ยใคร่ครวญ “คิดคำนวณเช่นนี้ จากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงนี่ ปริศนาและวาสนาส่วนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในแม่น้ำพรมแดนคงอุบัติขึ้นตามไปด้วย เช่นหาดดาราขจรนี่ก็อาจเป็นสถานการณ์ที่จำพวกนี้”

กล่าวถึงตรงนี้นางก็เงยใบหน้าเกลี้ยงเกลาขึ้น ยิ้มถามหลินสวินที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าว่าอย่างไร อยากขุดค้นศิลาอุกกาบาตส่วนหนึ่งเสี่ยงโชคหรือไม่”

“ดีสิ”

หลินสวินเองก็อยากรู้ว่าศิลาอุกกาบาตนี่จะซ่อนสมบัติแบบไหนกันแน่ ในเมื่อถูกตนบังเอิญพบ หากพลาดไปคงน่าเสียดายนัก

พวกเขาสนทนาพลางมุ่งหน้า วางแผนเสาะหาสันดอนที่ไร้คนยึดครอง

แต่ที่ทำพวกเขาจนปัญญาคือตลอดทางที่ผ่าน โขดหินใหญ่เล็กใกล้เคียงนั่นล้วนถูกเงาร่างผู้ฝึกปราณยึดครองไปสิ้น ยากจะเจอพื้นที่ที่ไร้เจ้าของ

“หืม?”

ขณะกำลังเสาะหา ทันใดนั้นนัยน์ตากระจ่างของแม่นางเยวี่ยพลันหดรัด ทอดมองโขดหินลักษณะคล้ายเกาะเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป

………………….