บนเกาะโขดหินที่ห่างไกล ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งล้อมกรอบเด็กสาวผอมแห้งผู้หนึ่งเอาไว้

“นางหนู ยังไม่รีบนำศิลาอุกกาบาตในมือออกมาแต่โดยดีอีก?”

ผู้ฝึกปราณซึ่งเป็นหัวหน้าท่าทางมีสง่าราศี แต่ตอนนี้กลับสีหน้าทะมึน ไม่ปกปิดจิตสังหารของตนแม้แต่น้อย

ผู้ฝึกปราณคนอื่นต่างแสยะยิ้ม สายตาละโมบเร่าร้อนจับจ้องมือขวาของเด็กสาวที่กำแน่น ในนั้นมีประกายเงินหลากสายลอดผ่านหว่างนิ้วออกมา

“นี่เป็นของข้า! เป็นสิ่งที่ข้าใช้ชีวิตแลกมาได้ เรื่องอะไรจะให้พวกเจ้า!?”

เด็กสาวตัวสั่นงันงก กัดฟันกรอด

นางผอมบางอย่างมาก สวมชุดกระโปรงเนื้อหยาบเก่าคร่ำ หน้าตานับว่าน่าเอ็นดู แต่สีหน้าซีดเผือดราวเจ็บป่วย

ดูอายุนางเต็มที่ไม่น่าเกินสิบสี่สิบห้า อีกทั้งจากการแต่งกายคงมาจากตระกูลซอมซ่อชั้นล่างแน่

“อย่ามาต่อปากต่อคำ! นี่เป็นอาณาเขตสำนักกระบี่โลหิตของพวกเรา นางหนูอย่างเจ้าแอบขุดศิลาอุกกาบาตโดยพลการ พวกเรายังไม่คิดบัญชีกับเจ้าด้วยซ้ำ!”

ชายชราหัวหน้าตวาดด่า แววตาอึมครึม “เห็นแก่ที่เจ้าเยาว์ พวกข้าก็ไม่อยากสร้างความลำบากให้ ตอนนี้มอบศิลาอุกกาบาตในมือออกมาแล้วจะปล่อยเจ้าไป ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!”

เด็กสาวโกรธจนสั่นไปทั้งตัว ตะโกนลั่น “พวกเจ้าใส่ร้ายป้ายสี! ศิลาอุกกาบาตนี่ข้าขุดมาจากที่อื่น แค่ผ่านทางมาที่นี่ก็ถูกพวกเจ้าล้อมไว้ พวกเจ้า… พวกเจ้ายังมีคุณธรรมหรือไม่”

เพียะ!

ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งก้าวเข้ามา ฝ่ามือหนึ่งตบลงบนหน้าเด็กสาว ฝ่ายหลังหวีดร้อง ร่างผอมบางกระเด็นล้มลงพื้น ปากกระอักโลหิต แก้มสะอ้านแดงบวมเป่ง

“แค่นางเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง ต้องพูดพร่ำทำเพลงทำไม ลงมือเสียก็สิ้นเรื่อง” นี่คือผู้ฝึกปราณที่เป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่ง หน้าตาเหี้ยมเกรียม ร่างอาจหาญกำยำ สีหน้าดูแคลนนัก

บนพื้น เด็กสาวโศกเศร้าดวงตาแดงก่ำ มุมปากมีคราบโลหิต ทั่วร่างเปื้อนโคลน ดูอนาถและน่าสงสารเกินทน

นางรู้ว่าขัดขืนก็เปล่าประโยชน์ แต่นางกลับไม่รอมชอมและยอมแพ้ ในมือยังกำศิลาอุกกาบาตก้อนนั้นแน่นคล้ายกุมชะตาชีวิตตนจนข้อนิ้วต่างซีดขาว

“อย่าตีๆ” ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งก้าวออกมา แววตาพราวระยับ กล่าวพลางจ้องมองเด็กสาว “ข้างกายข้าขาดหญิงรับใช้ปรนนิบัติข้างตัวคนหนึ่งพอดี นางหนูนี่รูปร่างได้สัดส่วน พวกเจ้าอย่าทำนางเสียของ”

ตัวเขานับว่าหล่อเหลา สวมชุดขาวค่อนข้างงามสง่า ทว่าเมื่อเอ่ยวาจาสีหน้ากลับปรากฏความความลามกยากปกปิดวูบหนึ่ง

ผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นดังนั้นต่างหัวเราะครืนครัน ล้วนรู้ว่าบุรุษชุดขาวตัณหาจัด ช่วงฝึกปราณหลายปีมานี้แอบทำลายเด็กสาวไปไม่รู้เท่าไร

เห็นชัดว่าเจ้าหมอนี่คิดมิดีมิร้ายเลยเถิด เพ่งเล็งเด็กสาวตรงหน้า

“พวกเจ้า…” เด็กสาวอ่อนแอขุ่นเคือง รู้สึกอับอายและสิ้นหวังหาใดเปรียบ เบื้องหน้ามืดมน เดิมนางคิดว่าด้วยศิลาอุกกาบาตในมือคงพอทำให้นางเปลี่ยนแปลงโชคชะตา ไหนเลยจะคาดคิด สิ่งที่รอคอยกลับเป็นหายนะครั้งหนึ่ง!

ไม่เพียงศิลาอุกกาบาตถูกแย่งชิง แม้แต่ตัวนางยังอาจถูกย่ำยี!

นึกถึงตรงนี้นางก็เกิดความคิดอยากฆ่าตัวตายขึ้นมา

“อย่าพูดมาก ชิงศิลาอุกกาบาตนั่นก่อนค่อยว่ากัน” ชายชราหัวหน้าคล้ายหมดความอดทนอยู่บ้าง ทำการออกคำสั่ง

ทันใดนั้นชายฉกรรจ์หน้าเหี้ยมพุ่งเข้ามา หมายคว้าตัวเด็กสาวบนพื้นอย่างกระด้างหยาบคาย

เห็นดังนั้นเด็กสาวสิ้นหวังสีหน้ามืดมน จิตใจดับสิ้นดั่้งเถ้าธุลี ในใจเหลือเพียงความคิดหนึ่ง สวรรค์… ช่างไม่ยุติธรรม!

“ไสหัวไป!” แต่เกือบจะเวลาเดียวกัน เงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งปรากฏเบื้องหน้าเด็กสาว เอ่ยปากคำหนึ่ง

ชายฉกรรจ์นั่นรู้สึกเพียงหูทั้งสองก้องเสียงดังวู้ม จิตวิญญาณรวดร้าว เบื้องหน้าสับสนมึนงง เซถลาลงกับพื้นทั้งตัว กุมศีรษะส่งเสียงร้องโอดโอย

ผู้ฝึกปราณสำนักกระบี่โลหิตพวกนั้นดวงตาหดรัดพร้อมเพรียง มองไปยังเงาร่างที่ขวางหน้าเด็กสาว เห็นแค่เด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลางคนหนึ่งก็ล้วนต่างมุ่นคิ้วอย่างอดไม่อยู่ สีหน้าพลันอึมครึม

“คุณชายท่านนี้ เหตุใดต้องมายุ่งเรื่องสำนักกระบี่โลหิตของข้า” ชายชราผู้เป็นหัวหน้ากล่าวเสียงขรึม

เด็กหนุ่มนั่นคือหลินสวิน เขาไม่สนใจคนพวกนี้ แต่เหลือบมองแม่นางเยวี่ยที่กำลังเข้ามาใกล้

ครั้งนี้สาเหตุที่เขายื่นมือช่วยเหลือ ด้านหนึ่งเกิดจากขุ่นเคืองและเกินทน อีกด้านเพราะท่าทีแม่นางเยวี่ยตื่นตัวและเดือดดาลผิดปกติ ไม่สำรวมและสงบใจเหมือนที่ผ่านมาแม้แต่น้อย

นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้อย่างแจ่มชัดว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาอยู่บ้าง

จริงดังคาด หลังจากแม่นางเยวี่ยมาถึง และมองเห็นเด็กสาวที่อเนจอนาถทั้งสิ้นหวังแช่เลนโคลนบนพื้นนั่น สองมือนางสั่นเทาเล็กน้อย ดวงหน้างามสุภาพปรากฏความโกรธแค้นยากควบคุมวูบหนึ่ง

นี่หาได้ยากยิ่ง เป็นอารมณ์ที่หลินสวินไม่เคยเห็นจากตัวแม่นางเยวี่ย

ขณะเดียวกันเด็กสาวผอมบางนั่นงงงันอยู่บ้าง เดิมนางใจหมดหวัง เกิดความคิดตัดสิ้นชีวิตตน แต่คาดไม่ถึงว่า… จะถูกช่วยไว้?

“บังอาจ! นางเด็กนั่นคือเหยื่อของพวกเรา ใครกล้าแตะต้อง มันผู้นั้นคือศัตรูสำนักกระบี่โลหิต!” ชายชราหัวหน้าตวาดลั่น

ขณะกล่าวเขาก็สั่งการคนอื่นให้ลงมือ

เพราะเขาสังเกตเห็นว่าไม่เข้าที กังวลว่าศิลาอุกกาบาตในมือเด็กสาวจะถูกแย่งชิงไป

ตูม!

ผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่โลหิตพวกนั้นมีประมาณสิบกว่าคน ออกจู่โจมพร้อมกัน อานุภาพเกรียงไกรและน่าตกตะลึงยิ่งยวด พลันดึงดูดความสนใจผู้ฝึกปราณบริเวณอื่นไม่น้อย

“พวกท่านรีบหนีไป!” เด็กสาวอ่อนแอร้อนรน พูดโดยไม่ยั้งคิด

นี่ทำให้หลินสวินและแม่นางเยวี่ยต่างเกินคาดหมายอยู่บ้าง พลันสบตากันวูบหนึ่ง ในใจต่างทำการตัดสินแล้ว

“ตายซะ!”

บุรุษชุดขาวรูปงามนั่นพุ่งเข้ามาเป็นคนแรก สะบัดพัดหยกลายทองหนึ่งดังพรึ่บ ตัวพัดพรั่งพรูแสงโลหิต โครงพัดสาดรวงแสงโลหิตดุดันออกมาหลายสาย

ที่ร้ายกาจที่สุดคือ การโจมตีนี้ไม่ได้จู่โจมหลินสวินและแม่นางเยวี่ย แต่มุ่งเป้าที่เด็กสาวผอมแห้งบนพื้น!

“ข้าไม่ได้ พวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้!” เขาตะโกนลั่น สีหน้าอำมหิต

ทว่าที่ทำเขาหวาดผวาคือ การโจมตีของเขายังไม่ทันเข้าประชิดก็ถูกกลืนกินอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง หายไปจนเกลี้ยง!

และเด็กหนุ่มตรงหน้าแต่ต้นจนจบล้วนไม่เคยขยับ จ้องมองตนอยู่อย่างนั้น นัยน์ตาดำขลับเย็นชา

แย่แน่!

เขาตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล ในใจสั่นสะท้าน หมายหลบหนีโดยไม่ลังเล

แต่ร่างเขาเพิ่งหมุนก็สัมผัสถึงอานุภาพกดดันชวนประหวั่นไร้รูปที่พุ่งเข้าใส่ ประหนึ่งมหาบรรพตหล่นลงมาจากฟากฟ้า

ตู้ม!

ทั้งตัวเขาถูกอัดลงกับพื้นโดยตรง กล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่างแตกหัก เลือดออกทวารทั้งเจ็ด ไม่ทันได้ร้องโอดโอยก็ลมจับหมดสติไป

ทุกอย่างนี้พูดแล้วดูเนิบช้า อันที่จริงต่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา

เร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทอดมองจากที่ห่างไกลเหมือนบุรุษชุดขาวนั่นเป็นฝ่ายกดตัวลงไปเอง ล้มลงกับพื้นจนลุกไม่ขึ้นอย่างเงียบงัน สภาพการณ์แปลกประหลาดเหลือประมาณ

ยามบุรุษชุดขาวถูกกำราบ ผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่โลหิตคนอื่นๆ ต่างก็ลงมือแล้ว เมื่อเห็นภาพน่าหวาดกลัวพิลึกพิลั่นนี้ พวกเขาต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่

แต่เมื่อหมายตอบสนอง ก็เห็นชัดว่าช้าไปก้าวหนึ่ง

เห็นเพียงทั่วร่างหลินสวินพลันโหมปล่อยอานุภาพกดดันมหาศาลชวนประหวั่น ประดุจหุบเหวกลืนกิน ปกคลุมฟ้าดิน ทำให้ห้วงอากาศต่างศิโรราบคร่ำครวญ

ถัดมาก็ได้ยินเสียงตึงๆ วุ่นวายระลอกหนึ่ง กลุ่มผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่โลหิตซึ่งรวมถึงชายชราที่เป็นหัวหน้านั่นถูกกำราบลงกับพื้นพร้อมกัน แต่ละคนจมูกปากกบโลหิต ร้องโหยหวนไม่หยุด

พริบตานั้นฟ้าดินแถบนี้ล้วนเต็มไปด้วยเสียงโหยหวนหวาดผวาของพวกเขา จนผู้ฝึกปราณที่ถูกทำให้ตระหนกไกลออกไปต่างหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด

ด้วยเหตุนี้สายตาที่มองหลินสวินล้วนเปลี่ยนไป มีความหวั่นเกรงหาใดเปรียบประการหนึ่ง

“คนพวกนี้น่ารังเกียจนัก ถูกลงโทษด้วยมือคุณชายหลินก็สมน้ำหน้าพวกเขาแล้ว!” พวกโค่วซิงต่างรู้สึกสะใจนัก

ส่วนเด็กสาวผอมบางนั่นอึ้งงันนานแล้ว ล้วนไม่กล้าเชื่อตาตนเอง สงสัยว่านี่เป็นความฝัน ไม่ใช่ความจริง

แม่นางเยวี่ยเห็นดังนั้นพลันทอดถอนใจ หว่างคิ้วปรากฏความอาดูรวูบหนึ่ง นึกถึงอดีตและความทรงจำมากมาย

นางในปีนั้นก็เป็นเด็กสาวโดดเดี่ยวอ่อนแอที่ดิ้นรนจากชั้นล่างสุด แต่ละวันอยากกินอิ่มยังล้วนลำบาก บ่อยครั้งเพื่อเอาชีวิตรอด ถึงขั้นต้องแย่งอาหารขอทานที่มั่วสุมมุมถนน

ภายหลังนางพยายามสุดกำลังเพื่อเปลี่ยนโชคชะตา และเคยเป็นเหมือนเด็กสาวคนนี้ คิดว่าอาศัยสมบัติที่แลกมาด้วยชีวิตชิ้นหนึ่งก็ไม่ต้องลำบากยากแค้นเช่นนี้อีก

แต่สุดท้ายนางก็สิ้นหวัง จิตใจห่อเหี่ยว

เพราะนางในปีนั้นเคยประสบเหตุการณ์ที่แทบจะเหมือนกับเด็กสาวตรงหน้านี้

ยังดีที่ตอนนั้นอาจารย์ของนางบังเอิญผ่านทางมาและช่วยนางไว้ ทั้งพานางกลับไปฝึกปราณที่สำนักด้วยกัน ชะตาชีวิตจึงเปลี่ยนไปด้วยประการฉะนี้!

และยังดีที่เด็กสาวตรงหน้าถูกช่วยไว้ ไม่ต้องเผชิญการจู่โจมของความสิ้นหวังและความตายอีก…

นึกถึงตรงนี้ ในแววตาแม่นางเยวี่ยที่มองไปทางเด็กสาว ก็ปรากฏความชื่นใจและสงสารวูบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่

“คุณชายท่านนี้ สำนักกระบี่โลหิตของข้ากับท่านหาใช่ศัตรู…” บนพื้น ชายชรานั่นกำลังวิงวอน สีหน้าทุกข์ระทม

สายตาหลินสวินมองไปยังแม่นางเยวี่ย

แม่นางเยวี่ยก็เหลือบมองเด็กสาวคนนั้น

เด็กสาวเม้มปาก ในดวงตาเปี่ยมความเคียดแค้นชิงชัง แต่สุดท้ายนางยังส่ายศีรษะกล่าว “พี่ชาย พี่สาว ตอนนี้ข้าไม่อยากสังหารพวกเขา”

“เพราะเหตุใด” แม่นางเยวี่ยถาม

“ข้า… ข้าอยากแก้แค้นด้วยตัวเองในภายหน้า” เด็กสาวก้มศีรษะ แต่น้ำเสียงมุ่งมั่นยิ่ง

“หากตั้งแต่วันนี้ไป เจ้ายังไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตนเล่าจะทำอย่างไร” แม่นางเยวี่ยถาม

เด็กสาวชะงักงัน ก่อนจะเม้มปากกล่าว “ข้าไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ นับแต่จำความได้ข้าก็ไม่มีอะไรเลย ดังนั้นจึงไม่กลัวที่จะใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน”

วาจาราบเรียบ แต่เจือความเด็ดเดี่ยวพาให้คนไหวหวั่น

แววตาแม่นางเยวี่ยอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม มุมปากปรากฏความชื่นชมวูบหนึ่ง

ท่ามกลางความเลือนราง นางนึกถึงตนเองเมื่อหลายปีก่อน ตอนเผชิญคำถามของอาจารย์ก็เคยใช้วาจาแน่วแน่กล่าวว่า ‘ข้าโดดเดี่ยวตัวคนเดียว เพื่อรักษาชีวิตรอดได้ไร้ซึ่งหนทางให้ถอยกลับแล้ว หากไม่อาจเปลี่ยนแปลง ความตายก็ไม่นับว่าเป็นอะไร’

และเพราะประโยคนี้ ทำให้อาจารย์รับตนเป็นศิษย์

“พี่สาว ศิลาอุกกาบาตนี่มอบให้พวกท่าน” คราวนี้เด็กสาวสูดหายใจลึก คล้ายตัดสินใจเด็ดขาด แบมือขวาที่กำแน่นแล้วยื่นไปเบื้องหน้าแม่นางเยวี่ย

พริบตานั้น แสงประกายสีเงินเจิดจรัสพวยพุ่งจากกลางฝ่ามือเด็กสาว งามตระการดั่งภาพฝัน แผ่คลื่นเร้นลับชวนตะลึงออกมา

เมื่อมองโดยละเอียด นี่คือศิลาอุกกาบาตสีดำขนาดไข่ไก่ที่วาวระยับก้อนหนึ่ง เห็นได้ว่าโดดเด่นไม่เหมือนใครยิ่ง วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ

………………….