ตอนที่ 1054 สมภารกินไก่วัด

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

“นายท่าน เมื่อท่านหวงจิ่วเยี่ยมาก็จะจัดการได้ ท่านอย่าได้กังวลไป” จนถึงกระทั่งตอนนี้เสี่ยวหงก็ยังไม่ลืมที่จะส่งเสริมองค์ชายจิ่วเยี่ย

ผลลัพธ์ก็คือมันได้เห็นเข้ากับสายตาแห่งจิตสังหารนั้นของศาลาเรือนรางเก้าชั้น “เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ สถานการณ์เช่นนี้ หากเจ้าหมอนั่นมามันก็มีแต่จะทำให้ยุ่งยากขึ้นมากกว่า”

“ท่านจิ่วเยี่ยเป็นคนที่รู้จักเรียงลำดับความสำคัญมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีประสบการณ์มากอีกด้วย หรือว่าท่านศาลาเรือนรางเก้าชั้น ท่านมาแล้วจะช่วยได้อย่างนั้นเหรอ ท่านกับนายท่านเป็นพันธสัญญาต่อกันนะ” เสี่ยวหงแสวงหาผลประโยชน์ให้จิ่วเยี่ยมาโดยตลอด

เจ้าหมูบ้านี่ ช่างรนหาที่ตายจริง ๆ!

อาถิงง้างมือขึ้นต่อยไปที่เสี่ยวหงสามครั้ง

ปัง ปัง ปัง!

“เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นหมูใบ้หรอกนะ!”

เสี่ยวหงถูกต่อยจนเห็นดาว ท่านศาลาเรือนรางเก้าชั้นช่างโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว

ทันใดนั้นเอง มู่เฉียนซีก็เริ่มรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วทั้งร่าง

นางเอามือจับใบหน้าตนเองและพบว่าใบหน้านั้นร้อนมาก ในฐานะที่ตนเองก็เป็นนักปรุงยาผู้หนึ่งนางจึงรู้ว่านี่ไม่ใช่อาการไข้แต่อย่างใด

ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ นางมองไปที่อาถิงกับเสี่ยวหงพลางกล่าว “เปลวไฟนั่น คงจะไม่ใช่…”

เสี่ยวหงกล่าว “มันคือเมล็ดพันธุ์แห่งเพลิงชั่วร้าย เมื่อมันเข้าสู่ร่างกายแล้วละก็ ไม่สามารถเอามันออกมาได้ อีกทั้งยัง…”

ดวงตาของมู่เฉียนซีในตอนนี้ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ นางมองไปที่อาถิงและกล่าวว่า “ไม่มีวิธีแล้วจริง ๆ เหรอ?”

“ข้าเอาออกมาไม่ได้ ของสิ่งนี้ไม่ได้คุกคามถึงชีวิตเจ้า ดังนั้นท่านพี่ข้าจึงไม่ได้มีการป้องกัน นึกไม่ถึงว่ามัน…”

ดวงตาสีเขียวอ่อนคู่นั้นมองมู่เฉียนซีด้วยความสับสน จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “ให้เจ้าสารเลวหวงจิ่วเยี่ยนั่นมาเถอะ! ถึงอย่างไรเจ้าก็ชอบท่าทางของเจ้าหมอนั่นมาก ฝีมือก็ดี อีกอย่างข้าก็เป็นแค่พันธสัญญาของเจ้า ข้าไม่มีทางให้เจ้าเป็นสมภารกินไก่วัดหรอก”

มู่เฉียนซีมองเขาอย่างพิจารณาก่อนจะกล่าวว่า “เจ้านี่ยังไม่โตจริง ๆ หากข้าเป็นสมภารกินไก่วัด คาดว่าฟันข้าคงต้องหักทั้งปากแน่นอน”

มู่เฉียนซีเอาเข็มยาออกมาฉีดให้ตัวเอง นางลองใช้ยายับยั้ง

ทว่า ต้องบอกเลยว่าเจ้าสิ่งนี้มันยุ่งยากจริง ๆ

ก็แม้แต่ยาของนางก็ใช้ไม่ได้ผล!

บัดซบ!

มู่เฉียนซีถูกแผดเผาจนสติสัมปชัญญะเริ่มไม่ชัดเจนแล้ว สายตาของนางเริ่มพร่ามัว มองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าผู้ที่หน้าตาราวกับภูตผู้นี้ก็ยิ่งเริ่มอดทนไม่ไหวแล้ว

“จิ่วเยี่ย…จิ่วเยี่ย…”

ในขณะที่มู่เฉียนซีเรียกชื่อจิ่วเยี่ย แสงสีฟ้าแสงหนึ่งก็สว่างวาบขึ้น

อาถิงได้ยินเสียงพึมพำของมู่เฉียนซีก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ตกลงแล้วเจ้าหมอนั่นมีดีอะไรนักหนา

ในตอนนี้ หวงจิ่วเยี่ยได้ขังตัวเองอยู่ในคุกโลหิตเพื่อยับยั้งคำสาปนั้น ซึ่งแน่นอนว่าเขารู้ว่าตอนนี้มู่เฉียนซีกำลังเรียกหาเขา

ทว่า ตอนนี้คำสาปชั่วร้ายนั้นกลับครอบคลุมเขาไปทั่วทั้งตัว แต่เขาไม่ได้สนใจมากมายถึงเพียงนั้นแล้ว

เกิดเรื่องขึ้นกับซีแล้ว!

เสียงของสุ่ยจิงอิ๋งดังขึ้น “จิ่วเยี่ย สถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ หากไปหาซีเอ๋อร์ล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะช่วยอะไรนางไม่ได้ อีกทั้งยังทำให้นางยิ่งตกอยู่ในอันตรายอีก”

“ซีไม่มีทางเรียกข้าไปโดยไร้เหตุผลแน่นอน นางจะต้องเจอกับเรื่องที่นางไม่สามารถจัดการได้แล้วเป็นแน่ ให้ข้าไปอยู่ข้างกายนางเถอะ”

น้ำเสียงอันแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้น “ฝ่าบาท ไม่ได้เด็ดขาด! หากฝ่าบาทละทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดในการยับยั้งคำสาปในครั้งนี้ เกรงว่าวินาทีต่อไปฝ่าบาทจะถูกคำสาปกลืนกินไปได้ ในตอนนี้ ฝ่าบาทไม่อาจไปที่ใดได้!”

สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “ข้าไม่มีทางให้เจ้าไปเด็ดขาด!”

“แต่ซีมีอันตราย!”

“มีข้าอยู่ นายท่านจะไม่ตาย!”

ถึงแม้ว่าจะไม่ตาย แต่จิ่วเยี่ยก็รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับมู่เฉียนซีแล้ว

ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้นยิ่งล้ำลึกขึ้นเรื่อย ๆ สุ่ยจิงอิ๋งไม่ส่งเขาไป แล้วเขาจะไปหานางที่ดินแดนสี่ทิศเองไม่ได้อย่างนั้นเหรอ

ทว่า จิ่วเยี่ยไม่ทันได้ฉีกมิติไปยังดินแดนสี่ทิศ เขาก็พบว่าตนเองถูกกักขังเอาไว้ในมิติแห่งนี้แล้ว

“มิติกักขัง สุ่ยจิงอิ๋ง นี่เจ้าคิดจะกักขังข้าอย่างนั้นเหรอ?”

“ข้าจะไม่มีทางยอมให้ผู้อันตรายหรือสัตว์อันตรายใดย่างกรายเข้าใกล้ซีเอ๋อร์” สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

จิ่วเยี่ยเอากลีบดอกบัวสีฟ้ากลีบหนึ่งออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถทำลายเจ้าได้!”

“นี่เป็นเพียงแค่กลีบดอกส่วนหนึ่งเท่านั้น หากเจ้าต้องการทำลายมัน ก็เชิญ!”

สำหรับตัวเองแล้ว สุ่ยจิงอิ๋งไม่ได้สนใจ

หมัดของจิ่วเยี่ยต่อยเข้าไปที่ผ้าฝ้าย และกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งว่า “สุ่ยจิงอิ๋ง ตกลงมันเกิดอันใดขึ้นกับซี?”

“ข้าบอกเจ้าไม่ได้!”

หากบอกเขาไปแล้วละก็ เกรงว่าเขาคงต้องบ้าคลั่งพรวดพราดออกไปแน่ ต่อให้เป็นนางก็ไม่อาจขวางเขาได้

“จิ่วเยี่ย เจ้าอย่าได้ลืมไปว่าศาลานิรันดร์ ศาลาเรือนรางเก้าชั้นก็อยู่กับซีเอ๋อร์ ข้าในฐานะที่เป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันด์ที่แข็งแกร่งที่สุด อันที่จริงแล้วอาถิงในฐานะที่เป็นน้องของข้า พลังความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอเลย”

“เจ้าเชื่อเขาเถอะ!”

จิ่วเยี่ยยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ!

“สุ่ยจิงอิ๋ง ทางที่ดีเจ้าอย่าได้โกหกข้า มิเช่นนั้น ต่อให้เจ้าเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ที่แข็งแกร่งที่สุด ข้าก็จะทำให้เจ้าต้องชดใช้อย่างน่าสังเวชได้”

หากเป็นเมื่อก่อนจิ่วเยี่ยนั้นมาอย่างรวดเร็วและทันใจมาก ทว่า ตอนนี้มู่เฉียนซีกลับรอนานมากแต่เขาก็ยังไม่มา

มู่เฉียนซีตกใจสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย ต้องมีสิ่งใดรั้งเขาเอาไว้เป็นแน่!

สามารถรั้งคนอย่างจิ่วเยี่ยเอาไว้ได้ ก็มีเพียงแค่คำสาปในร่างเขาเท่านั้น คำสาปของจิ่วเยี่ยกำเริบอีกแล้วเหรอ

อาถิงก็โกรธเกรี้ยวขึ้นแล้ว “บัดซบ! เจ้าหมอนั่นกำลังทำบ้าอะไรอยู่ ตอนนี้แล้วยังไม่โผล่หัวมาสักที หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้จะตายอยู่แล้วนะ…”

มู่เฉียนซีเอาเข็มยาหลายเข็มออกมาฉีดตัวเองอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่ได้ผล…ไม่มีประโยชน์…

มู่เฉียนซีสั่นไปทั้งตัว และเริ่มจะหมดสติแล้ว

อาถิงกัดริมฝีปากตนเองอย่างแรงจนปากแทบจะมีเลือดไหลออกมาแล้ว น่ารังเกียจ ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก หาก…

ชั่วครู่หนึ่ง แสงสีเขียวอ่อนได้สว่างวาบขึ้นและได้ปกคลุมไปทั่วทั้งมิติ

มู่เฉียนซีที่อยู่ในอาการสะลึมสะลือก็ได้เห็นทะเลสาบใสบริสุทธิ์ปรากฏอยู่ตรงหน้า บนทะเลสาบนั้นมีศาลาศาลาหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่

ดูเหมือนว่านางจะได้สติขึ้นมาไม่น้อยเลย นี่เป็นสถานที่ที่นางกับอาถิงได้เจอกันครั้งแรก

ทันใดนั้นเอง พื้นที่ทะเลสาบที่อยู่ตรงหน้าก็พลันกว้างใหญ่ขึ้น ดอกบัวสีเขียวมรกตดอกหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

ที่ปลายดอกบัวได้ปรากฏศาลาสีเขียวเทาอีกศาลาหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

อาถิงยื่นมืออกมาและกล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “ไปมิติกับข้า!”

มู่เฉียนซียื่นมือออกมาจับอาถิงพลางกล่าว “อืม!”

ทั้งสองได้เข้าไปในมิติ นี่เป็นครั้งที่สองที่มู่เฉียนซีได้เข้ามาในมิติศาลาเรือนรางเก้าชั้น

ในหัวของนางยังคงสับสนมึนงงอยู่ จู่ ๆ อาถิงก็ออกแรงที่ฝ่ามือแล้วโยนมู่เฉียนซีลงไปจากกลางอากาศ เขาโยนนางไปในทะเลสาบที่อยู่ในศาลาชั้นสองนั้น

ตูม!

ค่อก ค่อก ค่อก! อาถิงโยนนางไปโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวแต่อย่างใด มู่เฉียนซีเกือบจะสำลักน้ำตาย

“นี่เจ้าจะลอบฆ่าผู้เป็นพันธสัญญาของเจ้าหรือไง!”

อาถิงกล่าว “เจ้ารู้สึกหรือไม่ ว่าการที่เจ้าลงไปแช่น้ำมันทำให้เจ้าได้สติขึ้นมามาก”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอาถิง มู่เฉียนซีก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองกำลังจะแข็งแล้ว บนมือ บนขนตา เริ่มก่อตัวขึ้นกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว

นี่นางกำลังจะถูกแช่จนเป็นตุ๊กตาน้ำแข็งอย่างนั้นเหรอ

และในตอนนี้อาถิงเดินมาอย่างช้า ๆ และนั่งลงที่ศาลาชั้นสอง เขากล่าว “ที่นี่เป็นทะเลสาบวิญญาณน้ำแข็ง ทะเลสาบวิญญาณน้ำแข็งนี้สามารถยับยั้งเมล็ดพันธุ์แห่งเพลิงชั่วร้ายนั้นได้พอดี เจ้าก็อดทนนอนแช่ดี ๆ ล่ะ หากเมล็ดพันธุ์บ้านั่นทนไม่ไหวเดี๋ยวมันก็ออกมาเอง”

“ทะเลสาบวิญญาณน้ำแข็งนี้มาจากที่ใดกัน?”

“ศาลาชั้นสอง?” มู่เฉียนซีพึมพำพลางคิดพิจารณา จากนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างขึ้นและกล่าวว่า “อาถิง ในที่สุดเจ้าก็เลื่อนขั้นแล้ว!”