อาถิงเลื่อนขั้นเปิดชั้นที่สองได้ นี่เป็นความปลื้มปีติที่เกินความคาดหมายมาก

นางคิดว่ากว่าเจ้าหมอนี่จะเลื่อนขั้นได้จะต้องใช้เวลาหลายพันปีเสียอีก!

อาถิงเหลือบนางและกล่าวว่า “หากข้าไม่เลื่อนขั้น ก็คงต้อรอให้เจ้าถูกเมล็ดพันธุ์แห่งเพลิงชั่วร้ายนั่นแผดเผาจนเสียสติไปแล้วมาลงมือกับข้าน่ะสิ! เจ้าเป็นพันธสัญญากับข้า ข้าจะไม่ช่วยได้อย่างไรกันเล่า เมื่อถึงตอนนั้น…”

“โชคดีที่ข้าเลื่อนขั้นได้เร็ว เลื่อนขั้นเปิดศาลาชั้นที่สองทะเลสาบวิญญาณน้ำแข็งได้ ข้าไม่ยอมให้หญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้าลงมือทำอันใดข้าได้หรอก!” มุมปากของอาถิงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

มู่เฉียนซีที่สงบลงได้ในตอนนี้ก็มีอารมณ์พูดจาล้อเล่นแล้ว นางกล่าว “ต่อให้ข้าผู้เป็นพันธสัญญาของเจ้าทนไม่ไหว ข้าก็ไม่มีทางลงมือกับเจ้าหรอก เจ้าวางใจได้!”

“แล้วชิงอิ่งล่ะ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม

“เมืองแห่งเพลิงชั่วร้ายนั้นไม่ได้ให้เจ้าหมอนั่นเข้ามา ลักษณะพิเศษที่เอาชนะซึ่งกันและกัน เอ๊ะ หญิงอัปลักษณ์เจ้าคงจะไม่…” ตาของอาถิงเบิกกว้าง

“เจ้านี่สายตาไม่ดีเอาซะเลย ข้ามีดีกว่าหวงจิ่วเยี่ยกับเจ้าท่อนไม้นั่นมาก” สีหน้าของอาถิงเผยความไม่พอใจออกมา

มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว! ข้าก็แค่เป็นห่วงเขาก็เท่านั้น ถึงอย่างไร หากว่าเขาอยู่ข้างกายข้า ก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่ปรากฏตัวออกมา”

ขณะเดียวกันมู่เฉียนซีก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งตัว ร่างของนางกำลังจะแข็งโดยสมบูรณ์แล้ว

เมื่อถูกแช่แข็งมู่เฉียนซีก็ไม่สามารถพูดได้ และไม่ได้ยินสิ่งใด

อาถิงมองหญิงสาวที่ถูกแช่เข็งจนกลายเป็นตุ๊กตาน้ำแข็งอย่างพิจารณา “แช่หญิงสาวอัปลักษณ์เช่นเจ้าให้ตายไปก็ช่าง”

ในตอนนี้เอง เปลวไฟลูกหนึ่งได้พุ่งออกมาจากน้ำแข็ง และหนีเตลิดไปทั่วทุกทิศ

ทว่า ในที่แห่งนี้อาถิงคือผู้ควบคุม เจ้านี่คิดจะหนีก็ไม่อาจหนีรอดไปได้

มันพุ่งตัวไป ๆ มา ๆ ในที่สุดก็พุ่งไปที่ศาลาที่อาถิงนั่งอยู่

ดวงตาสีเขียวอ่อนสดใสคู่นั้นเปล่งประกายความเย็นยะเยือกออกมา “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าวางแผนคิดร้ายกับผู้เป็นพันธสัญญาของข้าผู้เป็นศาลานิรันดร์ เจ้าก็จงไปรับความทุกข์ทรมานจากความเย็นยะเยือกในทะเลสาบวิญญาณน้ำแข็งซะเถอะ!”

กล่าวจบ อาถิงก็โยนเจ้าเปลวไฟนี้ลงไปในส่วนลึกของทะเลสาบวิญญาณน้ำแข็ง ไม่ว่ามันจะดิ้นรนเช่นไรก็ไร้ประโยชน์

ฉ่า! หลังจากที่แก้ไขสถานการณ์ที่วิกฤตได้แล้ว อาถิงก็สลายน้ำแข็งให้กับมู่เฉียนซี

ฉ่า! มู่เฉียนซีพุ่งตัวออกมาจากทะเลสาบวิญญาณน้ำแข็งนั้น ร่างของนางเปียกโชกและหนาวเย็นไปทั้งตัว

อาถิงเอาชุดคลุมสีขาวราวหิมะชุดหนึ่งออกมาและโยนให้กับมู่เฉียนซี ก่อนจะกล่าวว่า “หากผู้เป็นพันธสัญญาของข้าศาลานิรันดร์หนาวตาย ข้าก็คงจะอับอายขายหน้ามาก”

เสี่ยวหงพรวดออกมาจากมิติพันธสัญญา และเอ่ยปากกล่าวว่า “นายท่าน ข้าช่วยเป่าให้แห้งเอง”

ชุดคลุมให้ความอบอุ่นชุดหนึ่งอีกทั้งยังมีเปลวไฟของเสี่ยวหงที่ช่วยเป่าให้ความอบอุ่น ในที่สุดอุณหภูมิร่างกายของมู่เฉียนซีก็กลับมาเป็นปกติ

นางมองดูทะเลสาบวิญญาณน้ำแข็งตรงหน้า และดวงตาของนางก็เปล่งประกายขึ้น

“อาถิง เจ้าจำเรื่องที่เจ้าเคยรับปากข้าเอาไว้ได้หรือไม่?”

“หญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้าละโมบโลภมากไม่รู้จักพอ ใจดำ ให้ข้ารับปากช่วยเจ้าหลายต่อหลายเรื่อง ไหนเจ้าพูดมาซิว่ามันคือเรื่องใด?”

มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้ารับปากข้าว่า หากเจ้าเลื่อนขั้นเปิดศาลาชั้นที่สองได้ เจ้าจะแบ่งที่ให้ข้าส่วนหนึ่งเอาไว้เป็นสวนสมุนไพร เจ้าคงไม่ลืมหรอกกระมัง!”

“ทะเลสาบวิญญาณน้ำแข็งของข้าหนาวเหน็บถึงเพียงนี้ เจ้าก็รู้ดี เจ้าไม่กลัวว่าสมุนไพรวิญญาณอันล้ำค่าของเจ้าจะแข็งตายหรืออย่างไร?”

“ก็เพราะมันเป็นเช่นนี้น่ะสิ หากเป็นสมุนไพรประเภทเย็น ที่แห่งนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็อยากจะได้ที่ทางสักหน่อย”

“ข้าไม่ให้! ทะเลสาบวิญญาณน้ำแข็งของข้างดงามถึงเพียงนี้ ข้าไม่อยากให้มีหญ้าวัชพืชมางอกเงย” อาถิงแสดงท่าทางไม่ยินยอม

มู่เฉียนซีเข้าไปใกล้อาถิง ยกมือขึ้นหยิกแก้มที่ขาวราวกับหยกของเขาและกล่าวอย่างอันตรายว่า “อาถิง เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่ให้?”

อาถิงพยายามหลีกเลี่ยง “เจ้าอย่าได้ลงไม้ลงมือกับข้าเชียวล่ะ ข้าไม่มีทางรับปากแน่นอน”

มู่เฉียนซีเข้ามาใกล้ชิดเขาอีกครั้ง “ศาลานี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไร อาถิง เจ้าจะหนีไปที่ไหนได้ล่ะ เว้นเสียแต่เจ้าจะกระโดดหนีลงไปในทะเลสาบวิญญาณน้ำแข็ง”

“เจ้าอย่าได้ทำร้ายกันเกินไปนะ” อาถิงมองหญิงสาวผู้น่ากลัวที่กำลังยื่นกรงเล็บออกมาตรงหน้าเขาและกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว

“เกินไปแล้วยังไง มิตินี้มีเพียงแค่เราสองที่สามารถเข้ามาได้ ต่อให้เจ้าแหกปากร้องตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีใครช่วยเจ้าได้”

อาถิงแทบจะกระอักเลือด นี่เป็นมิติของตนเองแท้ ๆ นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นสถานที่ที่หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้จะทำมิดีมิร้ายเขา

เส้นผมของเขาถูกนางเขี่ยเล่นจนยุ่งเหยิงจนแทบจะเป็นเล้าไก่อยู่แล้ว ทนไม่ได้แล้วจริง ๆ

เขากล่าว “ตกลง! ข้าตกลง! ข้ายอมแล้ว!”

ไม่นานนัก เกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่งก็ถูกสร้างขึ้นมา

มู่เฉียนซีได้ย้ายสมุนไพรประเภทเย็นมา และดูเหมือนว่ามันถูกเร่งให้เจริญเติบโตขึ้นมาใหม่ก็มิปาน สมุนไพรประเภทเย็นเหล่านี้เติบโตขึ้นเร็วมาก

มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความพึงพอใจว่า “เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการบ่มเพาะสมุนไพรประเภทเย็นจริง ๆ ด้วย”

“อะไรคือสถานที่ที่ดีที่สุด ตกลงว่ามิติชั้นที่สองของข้าก็คือที่ที่เจ้าจะมาปลูกสมุนไพรอย่างนั้นเหรอ?” เส้นเอ็นปูดโปนขึ้นบนหน้าผากอาถิง เขาโกรธเกรี้ยวขึ้นแล้ว

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ลองบอกข้ามาซิ ว่านอกจากสิ่งนี้แล้วมันมีประโยชน์อันใดอีก”

อาถิงจับไหล่นางเอาไว้พลางกล่าว “ประโยชน์มันมีมากมาย! เจ้าฝึกบำเพ็ญที่นี่เวลาหนึ่งวัน ก็เท่ากับว่าเจ้าได้ฝึกบำเพ็ญอยู่ข้างนอกสิบวัน และไม่ว่าเจ้าจะฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่นานเพียงใด เวลาข้างนอกก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง”

“ก็เพราะว่าข้าเลื่อนขั้นได้อย่างไรล่ะ ข้าจึงพาคนเป็น ๆ เช่นเจ้าเข้ามาในนี้ได้ ครั้งนี้หากเจ้าฝึกบำเพ็ญได้ไม่ถึงขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับหก ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าออกไปแน่ และหากผู้เป็นพันธสัญญาของข้ามีพลังที่อ่อนแอจนเกินไป ข้าจะรู้สึกอับอายขายขี้หน้ามาก”

“เรื่องดี ๆ เช่นนี้ข้าไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปแน่นอน ฝึกบำเพ็ญถึงขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกนะเหรอ ได้! ไม่มีปัญหา!”

ณ คุกโลหิต ในที่สุดตอนนี้จิ่วเยี่ยก็ได้ยับยั้งคำสาปนั้นได้ชั่วคราวและเขาก็สงบลงมาบ้างแล้ว

“สุ่ยจิงอิ๋ง ถอยไป!”

สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “ตอนนี้ซีเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรแล้ว และตอนนี้นางก็อยู่ในมิติของอาถิง ต่อให้เจ้าไปก็ไม่ได้เจอซีเอ๋อร์อยู่ดี ตอนนี้เจ้ายับยั้งคำสาปต่อให้มันคงที่สักหน่อยจะดีกว่า”

“อยู่ในมิติของศาลาเรือนรางเก้าชั้น?” ดวงตาสีฟ้าอันยะเยือกนั้นพลันอันตรายขึ้น

“ยิ่งเจ้ารักซีเอ๋อร์มากเท่าไหร่ มันก็จะกลายเป็นหายนะต่อเจ้าและซีเอ๋อร์มากขึ้นเท่านั้น หากข้ารู้ว่าสถานการณ์มันจะเป็นเช่นนี้ ข้าไม่มีทางขอร้องให้เจ้าช่วยข้าตามหาอาถิงเด็ดขาด” สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวเสียงเบา

หากไม่มีการขอร้องนั้น พวกเขาก็คงจะไม่ได้พบเจอกัน

จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงขรึมว่า “ไม่มีคำว่าหาก ซีเป็นของข้า เป็นของข้าตราบจนชั่วนิจนิรันดร์ ข้าไม่เคยเสียใจที่ได้พบเจอกับนาง ไม่เคยเสียใจที่ได้รักนาง!”

สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่พวกเจ้าเลือก ข้าก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะปกป้องนายท่านของข้า!”

มู่เฉียนซีที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ในมิติของศาลาเรือนรางเก้าชั้นอยู่ในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย พลังวิญญาณที่นี่สมบูรณ์มาก การฝึกบำเพ็ญของมู่เฉียนซีก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว

บางครั้งบางคราวก็หันไปหยอกล้ออาถิงผู้โกรธง่ายเล็กน้อย และหันไปมองดูสวนสมุนไพรของนางครู่หนึ่ง

วันเวลาผ่านไปในแบบที่นางสบายใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเจ้าอาถิงผู้นี้จะชอบว่านางฝึกบำเพ็ญช้า ทะลวงพลังขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกไม่ได้สักทีก็ตาม

และในตอนนี้เอง พลังวิญญาณในศาลาเรือนรางเก้าชั้นก็ได้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างของมู่เฉียนซีอย่างบ้าคลั่ง หลังจากที่พลังวิญญาณได้รวมตัวกันในร่างของนางอย่างบ้าคลั่งแล้วนั้น ในที่สุดนางก็ทะลวงพลังวิญญาณได้แล้ว

พลังขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกได้แผ่ซ่านออกมา มู่เฉียนซีเลิกคิ้วมองไปที่ชายหนุ่มหน้าตางดงามราวกับภูตที่นั่งอยู่ในศาลานั้นและกล่าวว่า “เป็นยังไงล่ะ ข้าก็ไม่ได้เชื่องช้าถึงเพียงนั้นใช่ไหมล่ะ?”

“ช้าจริง ๆ เลย ช้าจริง! หญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้ายังจะมีหน้ามาภาคภูมิใจอีก” อาถิงกล่าวอย่างเกียจคร้าน

มู่เฉียนซีกล่าวกับเขาว่า “ข้าทะลวงพลังวิญญาณได้แล้ว เช่นนั้นก็ส่งข้าออกไปเถอะ! ไม่รู้ว่าตอนนี้ไป๋เหยียนเอ๋อร์และคนพวกนั้นจะตายไปแล้วหรือไม่”