ตอนที่ 713 เร้นกาย (1)

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 713 เร้นกาย (1)
“มังกรดำ เหล่าหูคงจะไม่เป็นไรใช่ไหม?”

หลังจากหูหงเต๋อดำลงไปในบ่อน้ำร้อน เยี่ยเทียนก็มองไม่เห็นสภาพใต้ผิวน้ำอีก เพราะบ่อน้ำร้อนแห่งนี้ดูเหมือนจะสามารถตัดขาดจิตสัมผัสจากภายนอกไม่ให้เข้าไปสืบค้นได้ จิตดั้งเดิมของเขาจึงไม่อาจเข้าไปในนั้นได้

เยี่ยเทียนมองดูฟองอากาศที่ผุดขึ้นมาบนผิวน้ำในบ่อน้ำร้อน ในใจเริ่มจะรู้สึกผิดขึ้นมาแล้ว หูหงเต๋อเพิ่งจะเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิตได้ไม่นาน ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรขึ้นมา หลังจากลงภูเขาแล้วเขาจะไปอธิบายกับพวกหูเสี่ยวเซียนว่าอย่างไรล่ะ?

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันสัมผัสถึงพลังชีวิตของเขาได้ ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน!”

ถึงมังกรดำจะไม่ชอบสภาพแวดล้อมที่ร้อนแผดเผาของที่นี่ แต่มันก็มีพลังฝีมือสูงกว่าเยี่ยเทียนมาก อีกทั้งยังรู้เกี่ยวกับน้ำเป็นอย่างดี จึงสามารถบอกสภาพใต้น้ำโดยดูจากลักษณะของคลื่นได้

เมื่อได้ยินคำตอบของมังกรดำ สีหน้าเคร่งเครียดของเยี่ยเทียนก็ผ่อนคลายลงไปเล็กน้อย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มังกรดำ แกส่งกระแสจิตเรียกให้เขากลับขึ้นมาเถอะนะ!”

“บ้าเอ๊ย แทบจะโดนต้มสุก ทนไม่ไหวแล้ว!”

ใครเลยจะรู้ว่า เยี่ยเทียนพูดยังไม่ทันขาดคำ ผิวน้ำก็กระเพื่อมขึ้นมาในฉับพลัน เงาร่างของหูหงเต๋อพุ่งกระโจนออกมาจากบ่อน้ำร้อน ระหว่างที่ร่างยังลอยอยู่กลางอากาศ เขาก็เริ่มเอะอะโวยวายขึ้นมาแล้ว

หลังจากยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว หูหงเต๋อก็โบกมือให้เยี่ยเทียนรัวๆ “ไม่ได้หรอกเยี่ยเทียน อุณหภูมิน้ำข้างล่างนั่นน่าจะสูงกว่าร้อยองศาแล้วละ ฉันลงไปอีกไม่ได้แล้วจริงๆ!”

“เหล่าหู แล้วร่างกายคุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”

เมื่อเห็นสภาพร่างกายของหูหงเต๋อ เยี่ยเทียนก็ตะลึงอึ้งไป เนื่องจากหูหงเต๋อใช้ชีวิตอยู่บนภูเขากลางแจ้งมาเป็นปีๆ จึงมีผิวค่อนข้างคล้ำ แต่ตอนนี้เขากลับแดงไปทั้งตัว จนแทบจะไม่แตกต่างอะไรกับกุ้งที่ถูกต้มจนสุก

“ตอนนี้น่ะไม่เป็นไร แต่ถ้าลงไปอีกละก็ได้เป็นแน่!”

หูหงเต๋อมองเยี่ยเทียนอย่างขุ่นเคือง “ที่นี่มีปล่องภูเขาไฟที่ยังคุอยู่รึเปล่าเนี่ย? ทำไมอุณหภูมิข้างล่างมันถึงได้สูงขนาดนั้น?”

คนที่มีอายุประมาณหูหงเต๋อนี้ ปกติเวลาไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำก็มักจะชอบแช่น้ำร้อน ซึ่งอย่างต่ำก็มีอุณหภูมิสูงกว่าห้าสิบหรือหกสิบองศาแล้ว พวกคนหนุ่มสาวคงลงไปแช่ไม่ไหวแน่

แต่ตอนนี้ต่อให้ใช้พลังปราณคุ้มกายไว้แล้วลงไปในบึงนี้ เขาก็คงจะไม่อาจทนทานได้อยู่ดี ความรู้สึกแบบนั้นราวกับถูกจับย่างบนเตาก็ไม่ปาน จนอวัยวะภายในแทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว

“เหล่าหู ได้ลงไปจนถึงก้นบ่อรึเปล่า?” หลังจากรอจนหูหงเต๋อหยุดหอบแล้ว เยี่ยเทียนจึงเอ่ยถามขึ้น อุตส่าห์ลงไปแล้ว ก็น่าจะได้ประโยชน์อะไรมาบ้างสิน่า

“เปล่า ลงไปสิบกว่าเมตรฉันก็ทนไม่ไหวแล้ว กว่าจะถึงก้นบ่อต้องไปอีกลึกแค่ไหนก็ยังไม่รู้เลย”

หูหงเต๋อส่ายหน้า แล้วพูดกับเยี่ยเทียนว่า “ฉันไม่ลงไปแล้วนะ ให้หนาวจนแข็งตายยังจะสบายกว่าหน่อย ถ้าโดนบ่อนี่ต้มสุกไปละก็ มันจะตายอนาถเกินไปแล้วนะ!”

“ก็ไม่ได้ว่าจะให้คุณลงไปนี่”

เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วหันหน้าไปพูดกับมังกรดำว่า “บึงน้ำมังกรดำนั่นมันลึกขนาดไหนกันนะ? แกคิดว่า ต้องมีแกมาต่อกันสักกี่ตัว ถึงจะเท่าความลึกของบึงนั่นน่ะ!”

เยี่ยเทียนรู้ว่า มังกรดำเพิ่งจะหัดใช้กระแสจิตถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้ไม่นาน ถ้าจะให้มันเปรียบเทียบให้ฟังอย่างละเอียด ก็คงจะเหมือนไปถามทางกับคนตาบอด

“สิบกว่าตัวละมั้ง!” มังกรดำส่งกระแสจิตออกมา “ต่อให้เป็นน้ำที่หนาวเย็นขนาดไหนฉันก็ลงไปได้ทั้งนั้น แต่ที่นี่คงไม่ได้หรอก มันขัดกับธาตุของฉัน!”

“สิบกว่าตัว?” เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป แล้วขมวดคิ้วขึ้นมา “ถึงจะลงไปได้ ก็คงทนแรงกดดันในน้ำนั่นไม่ได้อยู่ดีแหละ!”

มังกรดำมีลำตัวยาวประมาณแปดเมตร ถ้ามีสิบกว่าตัวต่อกันก็เป็นความลึกมากกว่าหนึ่งร้อยเมตรแล้ว ซึ่งก็แทบจะเกินกว่าขีดจำกัดของการดำน้ำในทะเลลึกระดับสากลแล้ว เยี่ยเทียนไม่มีพลังปราณคุ้มกาย เกรงว่ายังไปไม่ถึงก้นบึง อวัยวะภายในก็คงจะถูกกดดันจนแหลกไปหมดแล้ว

“เยี่ยเทียน ของที่อยู่ก้นบ่อนั่นน่ะ เลิกนึกถึงมันไปเถอะน่า”

เมื่อเห็นเยี่ยเทียนท่าทางยังไม่ยอมแพ้ หูหงเต๋อก็เบะปาก “ตามความเห็นของฉันนะ เธอต้องมีฝีมือเหมือนนักพรตนั่นเท่านั้นแหละ ถึงจะลงไปที่ก้นบึงได้ ไม่อย่างนั้นก็เลิกคิดไปได้เลย!”

“ถ้าฝึกปราณแท้ออกมาได้ ก็น่าจะลงไปได้จริงๆ นั่นแหละนะ” ตอนแรกหูหงเต๋อตั้งใจจะพูดหยอกเยี่ยเทียนเฉยๆ แต่เยี่ยเทียนได้ยินแล้วกลับตาลุกวาวขึ้นมา

“พอเถอะเยี่ยเทียน หินนั่นเธอก็ได้มาแล้วนี่ หรือว่า…พวกเราลงเขากันก่อนไหม? ถ้าดีไม่ดีเกิดมีนักพรตโผล่มาอีกสองคน เราก็ไม่มีปัญญาไปสู้กับพวกนั้นได้หรอก!”

กล่าวตามตรง หลังจากได้ประจักษ์ฝีมือของนักพรตรูปนั้นแล้ว หูหงเต๋อก็รู้สึกหวาดหวั่นจริงๆ จนไม่อยากจะอยู่บนภูเขานี่ต่อไปอีกแล้ว

“ลงเขา?” เยี่ยเทียนส่ายหน้า “เหล่าหู ผมจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักระยะ คุณกลับไปก่อนก็แล้วกันนะ!”

แม้ว่าปราณวิเศษของที่นี่จะด้อยกว่าของค่ายกลชุมนุมพลังที่ฮ่องกงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ อยู่ที่นี่แล้วไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมารบกวน เยี่ยเทียนจึงสามารถทุ่มเทกับการฝึกปราณได้อย่างเต็มที่

เยี่ยเทียนคิดไว้แต่แรกแล้วว่า ถ้าสามารถนำหยกดำมาจากมังกรดำได้ เขาก็จะฝึกปราณอยู่ในหุบเขานี่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง

ตอนนี้นอกจากจะได้หยกดำมาแล้ว ยังได้ศิลาสีครามก้อนนั้นมาจากนักพรตอีกด้วย และพลังที่อยู่ในนั้นก็เหมือนจะมีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูจุดตันเถียนมาก เยี่ยเทียนจึงยิ่งไม่อยากกลับออกไปเป็นธรรมดา

เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่ยอมลงเขา หูหงเต๋อก็ถอนหายใจแล้วตอบว่า “เอาเถอะ ฉันจะอยู่ช่วยเธอที่นี่ก็แล้วกัน!”

“เหล่าหู ไม่ต้องคอยช่วยผมหรอก คุณลงเขาไปบอกข่าวกับทางบ้านผมก่อนดีกว่า พวกเขาจะได้ไม่เป็นห่วงกัน!” เยี่ยเทียนรู้ว่า ถ้าเขาไม่ได้ติดต่อกับที่บ้านเลยเป็นสิบวันหรือครึ่งเดือนละก็ แม่ของเขาจะเป็นห่วงขนาดไหนก็ไม่รู้

หูหงเต๋อถามอย่างคลางแคลงใจ “แล้ว…แล้วจากนี้เธอจะไปหาอาหารหาน้ำจากที่ไหนล่ะ?”

“ไอ้บอดเมิ่งทิ้งข้าวกับแป้งไว้ที่นี่ตั้งเยอะแยะ แล้วในหุบเขานี่ก็มีแต่ต้นผลไม้ทั้งนั้น ยังกลัวว่าผมจะหิวอีกรึ?”

เยี่ยเทียนยิ้มขึ้นมา แต่แล้วหุบยิ้มลงทันที “ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผลนะ มังกรดำ ช่วงนี้แกอย่ากลับไปที่บึงน้ำมังกรดำเลยนะ อยู่ที่นี่กับฉันดีกว่าไหม?”

แม้เยี่ยเทียนจะเชื่อมั่นว่าตัวเองทำลายหลักฐานไปจนหมดแล้ว แต่เขาไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญเลย ลึกๆ ในใจจึงยังคงรู้สึกกลัวอยู่บ้าง ที่ตั้งของหุบเขาแห่งนี้เร้นลับอย่างยิ่ง และยังสามารถสกัดกั้นจิตสัมผัสจากภายนอกได้อีกด้วย จึงนับว่าเป็นสถานที่เร้นกายที่ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง

“ไม่เป็นไร ต่อไปตอนกลางวันฉันก็จะอยู่แต่ที่ก้นบึงนั่นแหละ ไม่กลัวหรอก!”

มังกรดำส่ายศีรษะของมันไปมา มันไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปอีก เพราะเวลาอยู่ในหุบเขานี้แล้วมันรู้สึกไม่เป็นอิสระเลย

และขอเพียงมังกรดำไม่ออกจากบึงลึกแห่งนั้น ต่อให้มีนักพรตแบบนั้นมากันอีกกี่คนมันก็ไม่กลัว ถึงอย่างไรมังกรดำก็มีชีวิตอยู่ในบึงน้ำมาหลายร้อยปีแล้ว ทำให้มันได้ครอบครองชัยภูมิที่ดี

“ก็ได้ อย่างนั้นแกก็ระวังตัวหน่อยล่ะ หลังจากฉันเสร็จจากการเร้นกายแล้วจะไปหานะ!”

เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบส่งข้อความตอนหนึ่งเข้าสู่สมองของมังกรดำ แล้วถามว่า “นี่เป็นตอนหนึ่งของวิชาฝึกบำเพ็ญสำหรับสัตว์ที่ฉันได้มาน่ะ แกลองดูนะว่าจะฝึกได้ไหม?”

วิชาที่อยู่ในจี้หยกซึ่งถูกเยี่ยเทียนทำลายไปแล้วนั้น แทนที่จะเรียกว่าข้อความ น่าจะเรียกว่าเป็นกระแสคลื่นทางจิตอย่างหนึ่งมากกว่า เยี่ยเทียนจึงไม่กลัวเลยว่ามังกรดำจะไม่เข้าใจความหมายของมัน

ขณะที่วิชานั้นถ่ายเข้าสู่สมองของมังกรดำ ดวงตาคู่โตเท่าหลอดไฟของมังกรดำก็เหมือนจะสว่างวาบหนึ่ง แล้วจากนั้นก็หลับตาลงสนิทแน่น ราวกับกำลังทำความเข้าใจกับบางสิ่งบางอย่าง

ผ่านไปสิบกว่านาที ไอปราณบนร่างของมังกรดำเริ่มอ่อนลงอย่างกะทันหัน พลังที่ในตอนแรกสามารถรู้สึกได้ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลแค่ไหนนั้น ก็เก็บงำไว้ภายในกายจนหมดแล้ว

“ได้ ฉันฝึกได้ เยี่ยเทียน ฉันก็จะกลับไปเร้นกายบ้างละนะ!”

คงเพราะวิชานั้นเป็นประโยชน์ต่อมันอย่างมาก เมื่อมังกรดำลืมตาขึ้นอีกครั้ง จึงส่งกระแสจิตต่อเยี่ยเทียนอย่างรีบร้อนลนลาน แล้วกระโจนร่างหายไปในปากถ้ำที่เป็นทางเข้าหุบเขาทันที

“มันนี่โผงผางจริงแฮะ บทจะไปก็ไปเฉยเลยรึ?”

จนกระทั่งมังกรดำจากไปได้พักหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนถึงเพิ่งจะได้สติขึ้นมา แม้ว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้จะมีสติปัญญา แต่ความคิดของมันก็แตกต่างจากมนุษย์อย่างสุดขั้ว และทำอะไรตรงไปตรงมาเสียจนเยี่ยเทียนปรับตัวไม่ทันเลย

เยี่ยเทียนหันหน้าไปพูดกับหูหงเต๋อว่า “เอาละ เหล่าหู คุณก็ลงเขาไปเถอะนะ อย่าลืมโทรศัพท์บอกที่บ้านผมให้ด้วยล่ะ บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ!”

หูหงเต๋อพยักหน้า “ได้ พอลงจากเขาแล้วฉันจะไปที่ปักกิ่งก่อน จากนั้นก็ไปอยู่กับคุณลุงที่ฮ่องกงสักระยะหนึ่ง ถ้าเธอออกจากการเร้นกายแล้ว ก็ตรงไปที่สถานีป่าไม้นอกภูเขาเลยนะ แล้วเสี่ยวซ่งจะส่งคุณเข้าเมืองเอง!”

หูหงเต๋อเพิ่งจะเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิต แต่เขาไม่มีวิชายุทธที่เหมาะสมกับระดับนี้เลย และในใจก็ยังมีปมที่ไม่ได้คลี่คลายอีกมากมาย จึงตั้งใจว่าจะไปหาโก่วซินเจียที่ฮ่องกงเพื่อพัฒนาพลังฝีมือของตน

เยี่ยเทียนส่งหูหงเต๋อออกจากหุบเขา แล้วไปหามีดสั้นที่นักพรตซัดออกมาในป่าแห่งนั้นจนพบ

มีดสั้นเล่มนี้มีความยาวเพียงสามชุ่นเศษ ซึ่งเท่ากับประมาณสิบกว่าเซนติเมตร จึงสามารถวางไว้บนฝ่ามือได้ วัสดุไม่ใช่ทั้งเหล็กและทอง แต่กลับคมกริบเหนือธรรมดา กรีดเบาๆ ก็สามารถทิ้งรอยไว้บนหินผาอันแข็งแกร่งได้แล้ว

หูหงเต๋อเกือบจะต้องจบชีวิตลงใต้คมมีดสั้นเล่มนี้แล้ว ส่วนเขาเองก็ไม่อยากจะสร้างเวรกรรมอะไรกับนักพรตรูปนั้นอีก เยี่ยเทียนจึงนำมีดสั้นเล่มนี้เข้าไปในหุบเขาด้วย

“สมัยโบราณเคยมีเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับกระบี่เซียนหรือมีดเซียนอยู่ แต่ถ้าจะให้ถึงขนาดตัดหัวข้าศึกในระยะพันลี้ได้นี่ นักพรตรูปนั้นก็คงทำไม่ได้หรอก แต่ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง ในระยะสักลี้สองลี้ก็น่าจะทำได้ไม่มีปัญหา หรือว่านี่จะเป็นมีดบินในตำนาน?

“อ้าว? ส่งจิตดั้งเดิมเข้าไปไม่ได้ แล้วทีนี้จะปลุกเสกยังไงล่ะเนี่ย?”

เมื่อวางมีดสั้นเล่มนั้นลงบนฝ่ามือแล้ว เยี่ยเทียนก็สัมผัสได้ถึงปราณสังหารอันเย็นเยียบ จนปลายแขนของเขารู้สึกชาขึ้นมา ยามนั้นจึงแผ่จิตดั้งเดิมออกมา เพื่อที่จะลองสำรวจตรวจดู กลับคาดไม่ถึงเลยว่าจะถูกมีดสั้นเล่มนั้นดีดสะท้อนกลับมา

นี่เป็นเพราะเยี่ยเทียนไม่รู้ว่า หากต้องการจะร่ายอาคมปลุกเสกอาวุธวิเศษ ไม่เพียงแต่ต้องใช้จิตดั้งเดิมเท่านั้น ปราณแท้เองก็มีความสำคัญเช่นกัน

อย่างมีดเซียนที่อยู่ในตำนานเหล่านั้น ก็ต้องนำปราณแท้จากจุดตันเถียนไปใช้เสมือนเป็นลมหายใจของมีด โดยถ่ายพลังปราณในกายเข้าสู่ตัวมีด จากนั้นก็โคจรพลังซ้ำหลายๆ รอบ แล้วจึงจะถ่ายปราณมีดไปเก็บไว้ในจุดตันเถียนของตัวเอง

หลังจากทำเช่นนี้ต่อเนื่องไปปีแล้วปีเล่า จิตใจของคนกับมีดก็จะเชื่อมโยงถึงกัน เช่นนี้จึงจะสามารถใช้มีดได้ราวกับเป็นแขนของตัวเอง ไม่มีความติดขัดใดๆ เลยแม้แต่น้อย

แน่นอนว่า ตอนนี้เยี่ยเทียนยังไม่รู้หลักการเหล่านี้เลย เขาเพียงแต่รู้สึกสนใจเกี่ยวกับมีดสั้นเล่มนี้อยู่บ้างเท่านั้นเอง ในเมื่อหาหนทางไม่ได้ เขาจึงไม่ไปขบคิดถึงมันอีก และเก็บมีดสั้นไว้กับตน

“ไอ้บอดเมิ่งนี่มันรู้จักหาที่ดีจริงๆ นะ สงสัยว่า แม้แต่สมัยที่ยอดคนรุ่นก่อนๆ ยังไม่หายไปจากแผ่นดินนี้ ก็คงมีไม่กี่คนหรอกที่จะหาทำเลที่เหมาะแก่การเร้นกายฝึกบำเพ็ญถึงขนาดนี้ได้น่ะ!”

ในหุบเขาเต็มไปด้วยไอร้อน ปราณวิเศษอุดมสมบูรณ์ ราวกับเป็นแดนเซียนก็ไม่ปาน ลำพังแค่ภาพที่เห็นจากภายนอก ก็ไม่เป็นรองเมืองโบราณที่เขตป่าเสินหนงเจี้ยแล้ว

เยี่ยเทียนไม่ได้รีบร้อนที่จะฝึกบำเพ็ญ เขานั่งเตรียมตัวปรับสภาพที่ริมบ่อน้ำร้อนเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายลงก่อน จากนั้นจึงจะหยิบหยกขนาดเท่านิ้วก้อยชิ้นนั้นออกมา