บทที่ 865 ทะลวงประตูเซียน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 865 ทะลวงประตูเซียน

สมาคมผู้มีพลังระดับเซียนสาขาเมืองเป่ยไห่ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเขตพื้นที่ 16 ในนครหลวง

เขตพื้นที่ 16 แห่งนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลกว่า[1] 6,000 หมู่ และพื้นที่ทั้งหมดก็ถือเป็นอาณาเขตของสมาคมผู้มีพลังระดับเซียนแต่เพียงผู้เดียว

แต่ด้านในกลับมีตึกตั้งอยู่เพียงน้อยนิด

พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยต้นไม้ใบหญ้า

และมีเจดีย์หกเหลี่ยมตั้งอยู่เป็นจุดศูนย์กลางหลังเดียวเท่านั้น

“ตึกที่ทำการของสมาคมหลังนี้ นับเป็นตึกที่สูงเป็นลำดับสองในนครหลวงขอรับ” จางเชียนเชียนให้ข้อมูล

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วตึกที่สูงที่สุดอยู่ที่ไหน? มันเป็นสถานที่เช่นใดกัน?”

“ตึกที่สูงที่สุดคือวิหารเทพีกระบี่” ขันทีชราส่ายหน้าและกล่าวต่อ “ส่วนหอดูดาวในวังหลวงถือเป็นตึกที่สูงเป็นลำดับสาม”

หลินเป่ยเฉินพูดอย่างใช้ความคิด “อย่างนี้ก็หมายความว่าพวกเราให้ความสำคัญกับเทพีกระบี่มากที่สุด รองลงมาก็เป็นผู้มีพลังขั้นเซียน แล้วต่อด้วยองค์จักรพรรดิเป็นลำดับสุดท้ายสินะ?”

ขันทีชราจางเชียนเชียนเบิกตาโตด้วยสีหน้าตกใจราวกับเห็นภูตผี

นับว่าเด็กหนุ่มคนนี้พูดจาโดยไม่คิดจริงๆ

เมื่อเข้าสู่อาณาเขตของสมาคมผู้มีพลังระดับเซียน หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนเองก้าวเข้าสู่ค่ายอาคมที่หนักหน่วง

ค่ายอาคมของที่นี่มีความประหลาดมาก ไม่เหมือนกับค่ายอาคมชนิดใดที่หลินเป่ยเฉินเคยผ่านมาก่อน คล้ายกับเป็นหุบเหวลึกที่เห็นอยู่ว่าตรงหน้าคือปากเหว แต่เขากลับไม่รู้ว่าก้นเหวมีความลึกมากเท่าไหร่

นี่คือค่ายอาคมที่ถูกสร้างขึ้นจากผู้มีพลังระดับเซียนตัวจริง

คำถามที่ตามมาก็คือ

เขาควรเรียกผู้ใช้ค่ายอาคมที่มีพลังระดับเซียนว่าอะไร?

หลินเป่ยเฉินจำได้ดีว่าชายชราหน้านกเค้าแมวยอมรับว่าตนเองถนัดเรื่องการใช้ค่ายอาคม มากกว่าการสู้ตัวต่อตัว

หรือต้องเรียกว่าเซียนอาคม?

แล้วค่ายอาคมที่ผู้มีพลังระดับเซียนสร้างขึ้นมา ก็ต้องเรียกว่าอาคมเซียนด้วยหรือไม่?

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกว่าตนเองเข้าใจอะไรบางอย่าง

ก่อนที่จะกลายเป็นผู้มีพลังระดับเซียน แต่ละคนก็ศึกษาศาสตร์ความรู้ของตนเองมาเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นมือกระบี่ นักยิงธนู ผู้ใช้ค่ายอาคม นักเล่นแร่แปรธาตุ นักหลอมโอสถ และอื่นๆ อีกมากมาย

แต่ความจริงนั้น ระหว่างการฝึกสอนไม่ได้มีการแบ่งประเภทอย่างชัดเจน

อย่างเช่นในสถานศึกษากระบี่ที่สามประจำเมืองหยุนเมิ่ง

สถานศึกษาจะสอนหลักสูตรโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นการโคจรพลังลมปราณ การสร้างค่ายอาคม ความรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพร ไปจนถึงวิชาประวัติศาสตร์ แต่จะไม่มีการลงลึกรายละเอียดในศาสตร์แขนงใดเป็นพิเศษ

เช่นเดียวกับโรงเรียนมัธยมบนโลกมนุษย์

โรงเรียนมัธยมก็จะสอนองค์ความรู้โดยรวม ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์หรือศิลป์ จุดประสงค์คือการปูรากฐานความรู้ให้แข็งแรง เพื่อให้นักเรียนได้ค้นพบแนวทางที่ใช่สำหรับตนเอง หลังจากนั้น นักเรียนก็จะสามารถเลือกได้ว่าตนเองควรเรียนวิชาใดเป็นพิเศษ

การฝึกวิชาในโลกแห่งวรยุทธ์ก็เช่นเดียวกัน

แรกเริ่ม ศิษย์ทุกคนต้องเรียนรู้ศาสตร์ทุกแขนง เพื่อทำความเข้าใจว่าตนเองเก่งกาจในด้านไหนมากที่สุด

ให้ตายสิ

ช่างเป็นโครงสร้างที่มีเหตุผลและเป็นวิทยาศาสตร์เหลือเกิน

หลินเป่ยเฉินรู้สึกโชคดีที่ได้ทะลุมิติมาอยู่ในโลกนี้

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เจดีย์หกเหลี่ยมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความกดดันจากตัวเจดีย์มากเท่านั้น

เจดีย์หกเหลี่ยมตั้งตระหง่าน ไม่ต่างจากเสาหลักที่ค้ำจุนท้องนภาและพื้นพสุธา

ฉับพลันนั้น หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากเจดีย์และไหลผ่านตัวเขาไป

คลื่นพลังจิต?

มีคนในเจดีย์กำลังแอบสอดส่องพวกเขาอยู่?

หลินเป่ยเฉินรีบปรับระดับพลังจิตของตนเองให้แข็งแกร่งมากที่สุด

“ถึงแล้วขอรับ”

ขันทีชราจางเชียนเชียนหยุดยืนอยู่หน้าประตูเจดีย์

มันเป็นประตูหินขาวสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งอยู่ทางซ้าย อีกฝั่งหนึ่งอยู่ทางขวา บนประตูถูกตอกตรึงด้วยหมุดดำ 32 ตัว ซึ่งเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบสวยงาม

บนประตูไม่มีที่จับ

บนประตูไม่มีลูกบิด

บนประตูไม่มีห่วงเหล็ก

ประตูปิดตายแน่นสนิท

“สำหรับการขึ้นทะเบียน ก้าวแรกที่คุณชายต้องผ่านไปให้ได้คือการเปิดประตูเซียนขอรับ” ขันทีชราจางเชียนเชียนพูด “คุณชายต้องใช้พละกำลังของตนเองเปิดประตูบานนี้ให้สำเร็จ”

“สรุปคือต้องเปิดประตูให้ได้ใช่ไหม?”

หลินเป่ยเฉินยืนมองประตูที่อยู่เบื้องหน้า

จางเชียนเชียนยิ้มตอบว่า “อันที่จริงนั้น คุณชายสามารถทำได้ทุกหนทางเลยขอรับ ขอแค่ผ่านประตูเข้าไปได้ก็พอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำปั้นทุบตี หรือใช้กระบี่ฟันแทง แม้แต่เอาหัวโขกก็ยังเคยมีคนทำมาแล้ว เมื่อผ่านประตูบานนี้เข้าไปได้สำเร็จ ก็จะถือว่าคุณชายผ่านด่านแรกแล้วขอรับ”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วและแอบคิดอยู่ในใจว่า “แล้วไงล่ะ? ถ้าเกิดทำประตูพังขึ้นมา คงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทีหลังหรอกใช่ไหม?”

ทันใดนั้น ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะดังออกมาจากด้านในเจดีย์ “เหอเหอเหอ เป็นเพียงสุนัขตัวน้อยไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดหรือว่าเจ้าจะเปิดประตูบานนี้ได้สำเร็จ?”

สีหน้าของจางเชียนเชียนแปรเปลี่ยนไปทันที

นี่คือเสียงพูดของผู้มีพลังระดับเซียนที่ประจำการอยู่ในเจดีย์อย่างนั้นหรือ?

ทำไมถึงได้มีน้ำเสียงชั่วร้ายถึงเพียงนี้

เกิดอะไรขึ้น?

นี่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าใช่หรือไม่?!

หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ ใบหน้าของเขากระตุกด้วยความฉุนโกรธเมื่อได้ยินคำดูถูกนั้น

คิดว่ามีพลังสูงส่งแล้วจะเที่ยวดูถูกใครก็ได้หรือไง?

ขนาดเขายังไม่เคยทำเลย

ระหว่างพวกเขาไม่เคยมีความแค้นต่อกันมาก่อน เหตุไฉนถึงต้องดูถูกกันด้วย?

“ข้าขอถามท่าน หากข้าทำประตูบานนี้พัง ต้องชดใช้สิ่งใดหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินถามเสียงดัง สีหน้าและแววตาแสดงออกถึงความแข็งกร้าว

เมื่อได้ยินดังนั้น ขันทีชราจางเชียนเชียนก็ต้องแอบสะดุ้งให้กับคำพูดของเด็กหนุ่มเบาๆ เพราะเขาแน่ใจว่าหลินเป่ยเฉินคงไม่ได้ถามเล่นๆ

ในใจชายชราแอบหวั่นเกรงว่าอาการทางสมองของหลินเป่ยเฉินจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่มันเป็นกบในกะลาโดยแท้ หากเจ้าทำประตูเซียนพังทลาย ก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบสิ่งใด มิหนำซ้ำ ข้ายังจะมอบคัมภีร์ระดับแปดดาวให้เป็นของกำนัลอีกด้วย” น้ำเสียงเหยียดหยามพูดออกมาจากด้านในเจดีย์

“ท่านเป็นบุคคลประเภทใดกันแน่ กล้าพูดแต่ไม่กล้าเสนอหน้า” หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะตอบกลับไป “ข้าไม่สนใจคัมภีร์ระดับแปดดาวนั่นหรอก ขอเปลี่ยนเป็นศิลาบูชาแทนได้หรือไม่”

ว่าไงนะ?

สีหน้าของขันทีชราจางเชียนเชียนแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

หลินเป่ยเฉินชื่นชอบศิลาบูชาถึงขั้นนี้เชียวหรือ?

“โง่เขลาเบาปัญญา”

น้ำเสียงเหยียดหยามจากด้านในเจดีย์กล่าวต่อ “ตกลง ข้าจะให้ศิลาบูชากับเจ้า 500 ก้อน”

“500 ก้อนออกจะน้อยเกินไปหน่อยกระมัง…”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอด้วยความหยามเหยียด

ขันทีชราจางเชียนเชียนรีบดึงเด็กหนุ่มมากระซิบบอกว่า “แค่นี้ก็มากแล้วขอรับ…”

ให้ตายสิ

เกิดผู้มีพลังระดับเซียนประจำเจดีย์ไม่พอใจขึ้นมา แล้วเขาจะรับผิดชอบอย่างไร?

“ก็ได้ ถือว่าข้าเห็นแก่หน้าท่านแล้วกัน”

หลินเป่ยเฉินยอมแพ้ในที่สุด

เด็กหนุ่มหันหน้าไปมองที่ประตูหินเบื้องหน้าอีกครั้ง

นี่เรียกว่ากลยุทธ์ก่อกวนศัตรูด้วยการทดสอบความอดทน

ในเมื่อผู้มีพลังระดับเซียนที่อยู่ในเจดีย์ดูจะเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของประตูบานนี้เหลือเกิน นั่นก็หมายความว่าประตูต้องมีความแข็งแกร่งมากจริงๆ

สงสัยคงต้องใช้พละกำลังทั้งหมดแล้วสิ

ศิลาบูชา 500 ก้อน สามารถนำมาชาร์จโทรศัพท์ได้ 50 ครั้ง

หลินเป่ยเฉินโคจรพลังปราณธาตุทองคำ รวบรวมพละกำลังในร่างกาย ใช้กำปั้นของตนเองแทนกระบี่ กระแทกใส่ประตูหินในหมัดเดียว

เปรี้ยง!

ประตูหินพังทลายลงทันที

“เชี่ย!”

หลินเป่ยเฉินถึงกับอุทานคำหยาบที่ติดปากตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบเดิมออกมาโดยไม่รู้ตัว

นั่นเป็นเพราะว่า

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าประตูหินจะเปราะบางถึงเพียงนี้ และด้วยความที่ออกแรงเหวี่ยงหมัดเต็มที่ แรงเฉื่อยของร่างกายก็ฉุดดึงให้ตัวของเด็กหนุ่มพุ่งผ่านเข้าไปในกรอบประตูที่พังทลายอย่างหยุดยั้งไม่ได้อีกแล้ว

โครม!

ได้ยินเสียงข้าวของที่ตั้งอยู่ในเจดีย์ตกแตกกระจาย

ขันทีชราจางเชียนเชียนได้แต่ยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น

นี่มัน…

อะไรกัน?

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพาผู้มีพลังระดับเซียนมาขึ้นทะเบียน

แต่หลายครั้งก่อนหน้านี้ ต่อให้เป็นคนที่ดูมีแววว่าจะฝากความหวังเอาไว้ได้ ก็ยังไม่สามารถเปิดประตูบานนี้ได้สำเร็จ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้กลับไปโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียน และกลายเป็นผู้มีพลังระดับเซียนที่ไม่มีใครยอมรับ

ด้วยเหตุนี้ จางเชียนเชียนจึงวิตกกังวลว่าหลินเป่ยเฉินอาจจะเปิดประตูไม่สำเร็จ

แต่ทำไมประตูหินถึงพังทลายลงไปอย่างง่ายดายเช่นนี้?

เพิ่งมีการเปลี่ยนประตูใหม่อย่างนั้นหรือ?

เมื่อขันทีชราจางเชียนเชียนกลับมาได้สติ เขาก็รีบเดินเข้าไปในเจดีย์อย่างรวดเร็ว

ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 70 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย

[1] ประมาณ 2,500 ไร่