บทที่ 866 เกออู๋โหยว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 866 เกออู๋โหยว

ด้านในเจดีย์เปรียบเสมือนโลกอีกใบ

แม้ภายนอกเจดีย์หกเหลี่ยมดูจะไม่ได้มีขนาดกว้างใหญ่เท่าใด แต่เมื่อเดินเข้าสู่ด้านในนั้น พื้นที่ภายในเจดีย์กลับกว้างขวางอย่างน่าเหลือเชื่อ

ด้านในเจดีย์เต็มไปด้วยค่ายอาคม มีการจำลองการโคจรของพระอาทิตย์ พระจันทร์และดวงดาวอยู่บนกำแพงเป็นประกายระยิบระยับ

ลึกเข้าไปด้านในไม่กี่วาเป็นทางเดินหลักกับกำแพงสีขาว

โครงสร้างการโคจรของดวงดาวที่อยู่บนกำแพงเหล่านี้ มีนามเรียกขานว่าแผนภูมิดาราดาษ

วัตถุที่ถูกนำมาสร้างเป็นกำแพงคือหยกศักดิ์สิทธิ์ ได้รับการแกะสลักลวดลายโครงสร้างอย่างสวยงาม เห็นได้ชัดถึงภูเขาและสายน้ำอันวิจิตรประณีต ว่ากันว่าภูเขาและแม่น้ำเหล่านี้คือกำแพงเมืองชั้นแรกของจักรวรรดิเป่ยไห่

และยังเล่าลือกันว่ารายละเอียดในแผนภูมิดาราดาษนี้ มีความแม่นยำมากกว่าแผนที่ทางยุทธศาสตร์ในวังหลวงเสียอีก

เดิมทีด้านหน้ากำแพงขาวเป็นที่ตั้งของตู้กระจกขนาดใหญ่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้ดูแลเจดีย์คนแรก ด้านในบรรจุด้วยปลาไหลตาทองคำที่ว่ากันว่ามีพลังจิตแกร่งกล้า สามารถพยากรณ์สภาพอากาศและตรวจจับระดับน้ำขึ้นลงได้ทุกแห่งหนในโลกมนุษย์ และปลาไหลตัวนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงไม่กี่ชนิดที่มีชีวิตอยู่ในเจดีย์เซียนเหยียบเมฆแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่

ในตู้กระจกใบนี้ นอกจากเป็นบ้านของเจ้าปลาไหลแล้ว ยังมีดอกบัวขาวถูกปลูกอยู่อีกมากมาย และพวกมันก็ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าเช่นกัน

วันใดที่ดอกบัวบาน กลิ่นของมันจะหอมติดตัวผู้คนไปนานหลายปี

แต่บัดนี้ ความสวยงามทั้งหมดของตู้กระจกได้สูญหายไปแล้ว

ขันทีชราจางเชียนเชียนทั้งตื่นตระหนกและมึนงงสงสัยในเวลาเดียวกันเมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินทะลุเข้าไปติดอยู่ในกำแพงซึ่งเป็นแผนภูมิดาราดาษ ส่วนตู้กระจกใบใหญ่นั้นก็ล้มคว่ำลงมาอยู่บนพื้นหิน ปลาไหลวิเศษมีม่านพลังสีฟ้าอ่อนคุ้มครองร่างกายกำลังดิ้นกระแด่วๆ อยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนายิ่ง…

ส่วนดอกบัวขาวก็กระจัดกระจายกระเด็นออกจากตู้กระจกตกอยู่เกลื่อนกลาดบนพื้นหิน

บัดซบ!

บัดนี้ ขันทีชราจางเชียนเชียนรีบหมุนตัวจะวิ่งหนีออกมา

“เฮ้ย ผู้อาวุโสจาง จะรีบหนีไปไหนเล่า บอกหน่อยสิว่าข้าควรทำอย่างไรต่อไปดี?”

หลินเป่ยเฉินแงะตัวเองออกมาจากรอยร้าวบนกำแพง เมื่อเท้ากลับมาสัมผัสพื้นหินอีกครั้ง เขาก็พูดต่อ “ต้องโทษว่าประตูเซียนของพวกท่านมีความเปราะบางมากเกินไป รู้อย่างนี้ข้าไม่ออกแรงเต็มที่ก็ดีหรอก”

“อย่าพูดอะไรอีกเลย ข้าไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยทั้งนั้น”

ขันทีชราจางเชียนเชียนได้แต่โบกไม้โบกมือปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า

เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้…

หมดหนทางเยียวยาแล้วจริงๆ

แทบจะพาเขาซวยไปด้วย!!

จางเชียนเชียนกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ

ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นจากด้านหลัง

“เอ๋? มีปลาไหลตาทองคำอยู่ที่นี่ด้วยหรือ? ได้ข่าวว่าเป็นสายพันธุ์หายากใช่ไหม? ถ้าเอาไปย่างกินคงอร่อยน่าดู เก็บกลับไปฝากน้องชายของข้าดีกว่า…”

“อุ๊ย มีดอกบัวเยอะขนาดนี้เชียว เมล็ดบัวก็น่าอร่อยเหมือนกัน…”

ได้ยินดังนั้น จางเชียนเชียนก็สะดุ้งโหยงเหมือนถูกสายฟ้าฟาด

เขารีบหันกลับไปเอ็ดตะโรว่า “หยุดก่อน! ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว!”

ขันทีชราอยากจะบ้าตายนัก

ทันใดนั้น ปรากฏเงาร่างหลายสายเดินออกมาจากหลังกำแพงขาว

“คุณชายได้โปรดหยุดอยู่กับที่” ผู้ที่เดินนำอยู่หน้าสุดเป็นเด็กหนุ่มเสื้อสีน้ำเงิน อายุเพียง 18 – 19 ปี รีบเข้ามาสกัดขัดขวาง ไม่ให้หลินเป่ยเฉินจับปลาไหลตาทองคำ

ส่วนผู้ที่เดินตามมานั้นเป็นชายฉกรรจ์จมูกงอดั่งตะขอ อายุน่าจะประมาณ 30 ปีเศษ สวมใส่ชุดเกราะขนนกสีแดงสด พลังลมปราณถูกยิงออกจากฝ่ามือใส่ศีรษะของหลินเป่ยเฉินด้วยความไวน่าหวาดกลัว

หลินเป่ยเฉินเตรียมตัวตั้งรับอยู่ก่อนแล้วจึงสามารถกระโดดหลบได้ทันท่วงที

เปรี้ยง!

ลำแสงลมปราณสายนั้นพุ่งกระทบแผ่นหินบนพื้นห้อง

จากนั้นพื้นหินที่ดูราบเรียบธรรมดากลับปรากฏแสงสีส้มสว่างไสว เผยให้เห็นถึงลวดลายคล้ายกับแผงวงจรชิปคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่บอกว่าค่ายอาคมที่ถูกสร้างไว้บนพื้นห้องกำลังจะถูกเปิดใช้งานจากพลังลมปราณของชายคนนี้

“ช้าก่อน” เด็กหนุ่มเสื้อน้ำเงินตะโกนลั่น

เมื่อได้ยินคำนั้น ชายฉกรรจ์จมูกงอก็ต้องหยุดมือด้วยความไม่เต็มใจ

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ข้างประตูเซียนที่พังทลาย ถลึงตาจ้องมองชายฉกรรจ์ด้วยแววตาอาฆาต

ไอ้จมูกหักนี่ไม่ใช่คนดีแน่ๆ

คิดจะลอบโจมตีเขาอย่างนั้นหรือ?

“พวกเจ้ารีบเข้ามาเก็บตู้ปลานฤมิตร บัวสวรรค์และราชันปลาไหลตาทองคำเดี๋ยวนี้” เด็กหนุ่มเสื้อน้ำเงินพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด

ข้างกายของเขาปรากฏเด็กสาวหน้าตางดงาม ผิวพรรณขาวเนียนบริสุทธิ์ปราศจากราคีสองคน พวกนางสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีแดงเดินเข้ามาใช้มือเปล่ากอบดอกบัวและเศษดินโคลนขึ้นจากพื้นหินใส่กลับเข้าไปในตู้กระจกขนาดใหญ่ หลังจากนั้น พวกนางก็ร่ายคาถาอะไรบางอย่างที่ทำให้หยดน้ำทุกหยดบนพื้นหินลอยกลับเข้าไปอยู่ในตู้กระจกอีกครั้ง

“เฮ้อ…โชคดีนะที่พวกมันไม่ตาย” เด็กหนุ่มเสื้อน้ำเงินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินอย่างสงสัยใคร่รู้และกล่าว “ข้าเองก็เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว… คุณชายหลินได้โปรดวางใจ นี่คืออุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ข้าขอรับรองว่ามันจะไม่มีผลต่อการขึ้นทะเบียนของคุณชายอย่างแน่นอน”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า

เจ้าหนุ่มเสื้อน้ำเงินคนนี้ท่าทางจะเป็นคนดี

“เฮอะ…” ชายฉกรรจ์จมูกงอแค่นหัวเราะในลำคอ

“ยังจะมีหน้ามาหัวเราะอีกหรือ? เมื่อสักครู่เป็นผู้ใดกันนะที่บอกว่าข้าไม่มีทางเปิดประตูได้เด็ดขาด?” หลินเป่ยเฉินพูดน้ำเสียงฉุนเฉียว จ้องมองไปที่ชายฉกรรจ์จมูกงอไม่วางตา

อีกฝ่ายยิ้มเย้ยหยันตอบกลับมา

“โฮะโฮะโฮะ ที่นี่คือเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ ผู้มาย่อมเปิดประตูได้อยู่แล้ว เมื่อสักครู่นี้เป็นเพียงการหยอกล้อท่านเล่นเท่านั้น…คุณชายหลินโปรดอย่าได้ใส่ใจ” เด็กหนุ่มเสื้อน้ำเงินยิ้มออกมาอย่างฝืดฝืน “พวกเรามาแนะนำตัวกันดีกว่า ข้ามีนามว่าเกออู๋โหยว เป็นศิษย์เอกของผู้ดูแลเจดีย์เซียนเหยียบเมฆประจำจักรวรรดิเป่ยไห่ และมีหน้าที่คอยดูแลการขึ้นทะเบียนในเจดีย์แห่งนี้…”

พูดมาถึงตรงนี้ เกออู๋โหยวก็ผายมือไปยังชายฉกรรจ์จมูกงอที่ยืนอยู่ข้างกาย “ส่วนท่านผู้นี้มีนามว่าจูจวิ้นหลาน เป็นผู้มีพลังระดับเซียนแห่งจักรวรรดิต้าเกี๋ยน มีสถานะเป็นผู้ดูแลสมาคมผู้มีพลังระดับเซียนแห่งจักรวรรดิต้าเกี๋ยน บังเอิญว่าวันนี้ เขาเดินทางมายังจักรวรรดิเป่ยไห่ และรับทราบเรื่องการขึ้นทะเบียนของคุณชาย จึงอดแวะมาทักทายไม่ได้ เพราะพวกท่านคงยากที่จะได้เจอกันในโลกภายนอก”

ดวงตาของหลินเป่ยเฉินจ้องมองจูจวิ้นหลาน ยิ้มมุมปาก มือหนึ่งยื่นออกไปข้างหน้าพลางพูดว่า “เอามาสิ”

“เจ้าจะเอาอะไร?”

จูจวิ้นหลานตอบกลับด้วยความไม่เข้าใจ

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า “อะไรกัน? ลืมสิ่งที่ตนเองพูดไปหมดแล้วหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าสามารถเปิดประตูเซียนได้สำเร็จ ท่านคิดที่จะไม่จ่ายศิลาบูชา 500 ก้อนหรืออย่างไร?”

จูจวิ้นหลานแสดงสีหน้าลังเลเล็กน้อย “นี่เจ้าคิดจะเอาจริงหรือ?”

ถึงตนเองจะมีพลังระดับเซียน แต่ศิลาบูชา 500 ก้อน ก็ถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลย

จูจวิ้นหลานเพียงพูดออกไปเล่นๆ เท่านั้น ไม่ได้มีความคิดที่จะเดิมพันจริงจัง

“เดี๋ยวก่อนนะ นี่ท่านคิดที่จะคืนคำพูดอย่างนั้นหรือ?” หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “แล้วเช่นนี้ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นผู้มีพลังระดับเซียนได้อย่างไร?”

“เจ้าว่าอะไรนะ?”

จูจวิ้นหลานใบหน้ากระตุกด้วยความเดือดดาล

เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินอย่างเอาเรื่อง แววตาทิ่มแทงยิ่งกว่าคมกระบี่ สีหน้าดุดันราวกับเป็นสัตว์ร้ายกระหายเลือด

หลินเป่ยเฉินยังคงยิ้มมุมปาก จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความเยือกเย็น

จูจวิ้นหลานพลันยิ้มอย่างชั่วร้ายและตอบว่า “เหอเหอเหอ ไม่มีปัญหา เจ้าต้องการศิลาบูชาใช่หรือไม่?”

พูดจบ ชายฉกรรจ์ก็โยนถุงเก็บของวิเศษสีเขียวอ่อนลงมาแทบเท้าของหลินเป่ยเฉิน ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเยาะและกล่าวเหมือนต้องการข่มขู่ว่า “เอาไปเถอะ ต่อให้เจ้าได้มันไปแต่ในที่สุดชีวิตกลับหาไม่ สุดท้ายมันก็กลับกลายเป็นสิ่งของไร้ประโยชน์อยู่ดี”

หลินเป่ยเฉินก้มลงหยิบอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ

ถุงเก็บของวิเศษใบนั้นอยู่ในมือของเขาแล้ว

หลินเป่ยเฉินลองคำนวณน้ำหนักดูก็รู้ว่าด้านในมีศิลาบูชาบรรจุอยู่ตามจำนวนที่เขาต้องการจริงๆ

“ถ้าไม่อยากสูญเสียทรัพย์สิน ก็จงอย่าเดิมพันกับผู้อื่นตั้งแต่แรก” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความพึงพอใจ “ท่านมีนามว่าจูจวิ้นหลานสินะ? ข้าจะจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ที่ท่านลอบโจมตีข้าก่อนหน้านี้ ข้าจะต้องคิดบัญชีกับท่านแน่นอน… โปรดล้างคอรอคอยให้ดี”

จูจวิ้นหลานยิ้มเย้ยหยัน

เกออู๋โหยวรีบเดินเข้ามาทำหน้าที่ผู้สงบศึกเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ

หลังจากนั้น เขาก็กล่าวว่า

“คุณชายหลินได้โปรดตามข้ามา”

เด็กหนุ่มเสื้อน้ำเงินเดินนำทาง

“ได้รับทราบข่าวลือมาว่าตัวจริงของคุณชายหลินมีรูปโฉมหล่อเหลา แล้วเหตุไฉนคุณชายถึงต้องปลอมตัวมาด้วยเล่า?”

เกออู๋โหยวถามอย่างอยากรู้

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปชำเลืองมองหน้าจูจวิ้นหลานและหัวเราะเยาะ ก่อนให้คำตอบ “เพราะว่ามีตัวโง่งมบางตัวไม่คู่ควรที่จะเห็นโฉมหน้าแท้จริงของข้า”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

จูจวิ้นหลานคำรามด้วยความเดือดดาล

“ก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างไร” หลินเป่ยเฉินตอบเสียงเรียบ “ข้าก็แค่พูดลอยๆ เท่านั้น… ท่านกรุณาอยู่ให้ห่างไกลจากข้าจะดีกว่า”

เกออู๋โหยวถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายและต้องทำหน้าที่เป็นผู้สงบศึกอีกครั้ง

แต่เขาย่อมดูออกว่าหลินเป่ยเฉินใช้คำตอบนี้หลีกเลี่ยงการตอบคำถามว่าเพราะเหตุใดถึงต้องปลอมตัว

ทว่า นั่นหาใช่สิ่งสำคัญไม่

ผู้มีพลังระดับเซียนทุกคนต่างก็มีความพิเศษไม่เหมือนใคร สำหรับสมาคมผู้มีพลังระดับเซียนแห่งนี้ ขอแค่มีพลังแข็งแกร่งอย่างแท้จริงก็พอ รูปลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรสนใจแม้แต่น้อย

ขณะนี้ ขันทีชราจางเชียนเชียนได้แต่เดินก้มหน้าก้มตาตามมาทางด้านหลัง ไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว

คุณชายชายหลินมีความสามารถพิเศษในการก่อปัญหาไม่รู้จบ ขันทีเฒ่าไม่อยากจะรับรู้อะไรด้วยอีกแล้ว

เขาเพียงอยากจะมีชีวิตรอดกลับออกไป

แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ต้องโทษว่าเป็นยอดฝีมือระดับเซียนที่ชื่อจูจวิ้นหลานเป็นผู้เริ่มก่อน

จางเชียนเชียนอดสงสัยในใจไม่ได้ว่าผู้ดูแลสมาคมผู้มีพลังระดับเซียนของจักรวรรดิต้าเกี๋ยน มาทำอะไรที่สมาคมผู้มีพลังระดับเซียนประจำจักรวรรดิเป่ยไห่ในเวลานี้?

เนื่องจากว่าในกลุ่มสมาคมผู้มีพลังระดับเซียน ทุกคนรู้ดีว่าจักรวรรดิต้าเกี๋ยนกำลังตั้งตัวเป็นศัตรูกับจักรวรรดิเป่ยไห่อย่างชัดเจน

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ

พวกเขาก็ขึ้นมาถึงชั้นสองของเจดีย์

เกออู๋โหยวชี้มือไปยังอุโมงค์ดำมืดที่อยู่เบื้องหน้าและอธิบายว่า “บัดนี้ขั้นตอนในการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นแล้ว ด่านต่อไปก็คือการลงทะเบียนพลังปราณธาตุโดยกำเนิด นับตั้งแต่ชั้นที่สองถึงชั้นที่หกของเจดีย์ มันจะเป็นเขตแดนที่แบ่งไว้สำหรับปราณธาตุสายหลัก ประกอบไปด้วยพลังปราณธาตุทองคำ พลังปราณธาตุน้ำ พลังปราณธาตุไม้ พลังปราณธาตุไฟ และพลังปราณธาตุดิน คุณชายต้องเลือกไปยังเขตแดนที่ตรงกับพลังปราณธาตุของตนเอง และคุณชายต้องรับการทดสอบในเขตแดนนั้นให้ครบกำหนดหนึ่งก้านธูป จึงจะถือว่าผ่านด่านนี้ได้สำเร็จ”

“หากทนอยู่ในนั้นไม่ครบกำหนดหนึ่งก้านธูปล่ะ?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย

ได้ยินเสียงหัวเราะของจูจวิ้นหลานดังขึ้นมาทันที

ไอ้จมูกงอคนนี้มันเสพติดการหัวเราะเยาะคนอื่นหรือไงนะ?