“เคล็ดวิชาดูดวิญญาณนี้แม้ว่าจะแปลกประหลาด แต่ต้องระมัดระวังก่อน ไม่ต้องกังวลมากนัก กลับเป็นในตำนานเชอชี่จื่อเป็นหนึ่งในสิบอสูรเหี้ยมที่มีชื่อเสียงของแดนซิวหลัวโบราณ ว่ากันว่าสร้างขึ้นจากวิญญาณชั่วร้ายนับล้านดวง มีอิทธิฤทธิ์ชั่วร้ายมาก จุ๊ๆ คิดไม่ถึงว่าจะเห็นอสูรชนิดนี้ในแดนนี้ได้” หานลี่ส่งเสียงจุ๊ๆ เอ่ยชื่นชมสองสามส่วน

“สหายหานระวังหน่อย อสูรตัวนี้ไม่ใช่ร่างที่แท้จริง อิทธิฤทธิ์ของมันดูเหมือนจะอยู่ที่ปีก ก่อนหน้านี้ที่ข้าประมือกับมัน มันชั่วร้ายมาก ทว่าอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของสหายดูเหมือนจะมีผลในการควบคุมมัน” ม่อเจี่ยนหลีมีสีหน้าดีกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย แล้วพ่นลมหายใจออกมาขณะเอ่ย

“อืม ข้าเองก็มองออก มันหวาดกลัวอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย” หานลี่ได้ยินก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา มือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศด้านหน้า

หว่างนิ้วทั้งห้ามีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่ยาวสีเขียวเล่มหนึ่งสร้างขึ้น แค่สั่นเทาน้อยๆ กระบี่ลำแสงยักษ์ความยาวน้อยจั้งเศษสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบเหนืออสูรประหลาด

หลังจากเสียงกรีดร้องดังขึ้น ผิวของกระบี่ลำแสงก็มีประจุไฟฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพันรัดอยู่ แล้วสับลงมาอย่างแรง

เชอชี่จื่อเห็นกระบี่ลำแสงมีสายฟ้าสีทองปะปนอยู่กลางอากาศดูท่าทางน่ากลัว ปากก็ร้องครืดๆ ต่ำๆ ออกมา ปีกทั้งสองพลันกระพือ ร่างกายส่งเสียงดัง “ปัง” ชั่วพริบตาก็กลายเป็นม่านหมอกสีฟ้าเขียว จากนั้นก็พุ่งลงมาที่พื้นดินด้านล่างด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้า

เห็นเพียงม่านหมอกม้วนวนแล้วเลือนราง ชั่วครู่ก็จมหายไปในพื้นดินอย่างไร้ร่องรอย

หานลี่พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็กระตุ้นอาคมกระบี่โดยไม่ต้องขบคิด

กระบี่ลำแสงยักษ์ร่อนลงมาเร็วกว่าก่อนหน้าสองสามเท่า หลังจากกะพริบวาบก็จมหายไปในม่านหมอกด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

เสียงอึกทึกสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น

พื้นดินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ท่ามกลางประจุไฟฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วน เผยทางเดินยาวพันจั้งเศษออกมากลางอากาศ

ทางเดินยาวนี้ดูเหมือนจะลึกล้ำยากคาดเดา พื้นดินรอบๆ เป็นสีดำเกรียม เปลี่ยนเป็นรกร้างไม่มีหญ้าขึ้น แต่กลับไม่เห็นร่องรอยของเชอชี่จื่อ

“สัตว์ประหลาดตัวนี้เด็ดขาดจริงๆ วิ่งก็ไม่ช้านัก” หานลี่เอ่ยพึมพำ ใบหน้ามีความประหลาดใจฉายแวบผ่าน แต่ครุ่นคิดแล้วก็ไม่ได้มีเจตนาจะไล่ตามไป

แม้ว่าเชอชี่จื่อจะมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่ตัวมันก็ไม่มีมีความหมายอันใดกับเขานัก

ไม่มีเหตุใดให้ต้องลงมือ เขาย่อมไม่จำเป็นต้องไล่สังหาร

“สติปัญญาของเชอชื่อจือไม่ค่อยต่ำต้อยนัก รู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าถึงได้หนีไปทันที” ม่อเจี่ยนหลีกลับหัวเราะ สีหน้าผ่อนคลายลงขณะเอ่ย

“อืมมันเจ้าเล่ห์จริงๆ ทว่าพี่ม่อไปล่วงเกินมันได้อย่างไร” หานลี่หันกายกลับมาพยักหน้าพลางเอ่ยถาม

“เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นความโชคร้ายของตาเฒ่า เดิมก็เพื่อจะซักถามเบาะแสของแมงมุมซิวหลัว ผลคือบุกเข้าไปในรังสัตว์ประหลาดแมงมุมอีกชนิดหนึ่ง ผลคือผู้ใดจะรู้ว่าด้านล่างรังนี้มีเชอชี่จื่อซ่อนอยู่ เช่นนั้นจึงถูกมันไล่สังหารมาที่นี่” ม่อเจี่ยนหลีได้ยิน ใบหน้าก็เผยสีหน้าเก้อเขินออกมา

ถึงอย่างไรเสียหลังจากที่เขาบรรลุระดับมหายาน การถูกไล่สังหารเป็นระยะเวลานานอย่างวันนี้ก็เป็นเรื่องที่พบได้ยาก

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แดนนี้มีแม้กระทั่งเชอชี่จื่อที่โหดเหี้ยม ดูแล้วคำพูดเดิมที่กล่าวว่าเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในแดนซิวหลัวโบราณ ก็น่าจะเป็นความจริง” หานลี่ได้ยิน ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ สิ่งที่ข้าพบระหว่างทางส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งที่บันทึกอยู่บันทึกของแดนซิวหลัว ทว่าเงาร่างของแมงมุมซิวหลัวนั้นกลับไม่พบเลยสักนิด พวกเราอยู่ที่นี่ได้เพียงสิบกว่าวัน ยามนี้ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งแล้ว สหายหาน เจ้าพบอันใดหรือไม่?” ม่อเจี่ยนหลีเอ่ยไปพลางก็ขมวดคิ้ว

“หึๆ พี่ม่อไม่ต้องกังวล ที่อยู่ของแมงมุมซิวหลัว ข้าน้อยหาพบแล้ว” หานลี่เลิกคิ้วแล้วหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“อันใดนะ เป็นความจริงหรือ?” ม่อเจี่ยนหลีพลันตกตะลึง จากนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา

“เรื่องนี้ผู้แซ่หานจะโกหกได้อย่างไร” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ขณะตอบกลับ

“จากอิทธิฤทธิ์ของสหายหาน ในเมื่อหาแมงมุมซิวหลัวพบ หรือว่าได้เส้นไหมทมิฬมาอยู่ในมือแล้ว” ม่อเจี่ยนหลีนึกถึงอันใดสักอย่าง และมีท่าทีรอคอย พลางเอ่ยถามอีกครั้งอย่างตึงเครียดขึ้นหลายส่วน

“เปล่า!” หานลี่สั่นศีรษะด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

“อ่า…เพราะเหตุใด?” ม่อเจี่ยนหลีรู้สึกประหลาดใจ

“ง่ายมาก เป็นเพราะข้าคนเดียวต่อกรไม่ได้” หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

“จากอิทธิฤทธิ์ของสหายต่อกรไม่ได้ หรือว่าในรังของอีกฝ่ายมีแมงมุมซิวหลัวโตเต็มวัยอยู่จำนวนมาก?” ม่อเจี่ยนหลีเอ่ยถามอย่างตกตะลึง

“มีแมงมุมซิวหลัวโตเต็มวัยอยู่เท่าไหร่ ข้าก็ไม่อาจยืนยันได้ แต่ในรังของมันข้าพบแมงมุมซิวหลัวที่ไม่ด้อยไปกว่าจิตวิญญาณเที่ยงตัวหนึ่ง” หานลี่เอ่ยอย่างแช่มช้า

“อันใดนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” ม่อเจี่ยนหลีพลันหน้าเปลี่ยนสี

“ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตระดับมหายานที่พละกำลังไม่ด้อยไปกว่าแมงมุมซิวหลัวอยู่อีกคนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นแมงมุมซิวหลัวโตเต็มวัยที่ข้าพบน่าจะมีไม่น้อยกว่าสามตัว ดังนั้นหลังจากที่ประมือกับพวกมันแล้ว ข้าก็ถอยออกมาทันที คิดจะจับแมงมุมซิวหลัวเหล่านั้นไว้ เกรงว่าพวกเราสี่คนต้องลงมือด้วยกันถึงจะมีหวัง นอกจากนี้พี่ม่อน่าจะพอรู้ แมงมุมซิวหลัวเหล่านี้ยังสยบอสูรประหลาดที่แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยรอบๆ รัง ระดับเทพแปลง ระดับหลอมสูญมีจำนวนไม่น้อย ระดับผสานอินทรีย์ก็น่าจะมีด้วย” หานลี่แนะนำด้วยสีหน้าเคร่งขรึมหลายส่วน

“แมงมุมซิวหลัวมีพละกำลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ปกติแล้วไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะต่อกรได้ตามลำพัง ดูแล้วการเข้ามาในเขตแดนนี้ในครั้งนี้คงต้อพยายามสุดชีวิตสักครั้งแล้ว” ม่อเจี่ยนหลีได้ฟังก็มีสีหน้าดูไม่ได้

“ดังนั้นครั้งนี้หากพวกเราอยากได้เส้นไหมทมิฬมา ก็ต้องร่วมมือกัน ใช่แล้ว พี่ม่อพบเซี่ยหรานและเฮยหลินระหว่างทางหรือไม่” หานลี่พยักหน้าเล็กน้อย ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยถามถึงอีกสองคน

“แม้ข้าจะไม่ได้พบกับพวกเขาระหว่างทาง แต่ยามที่ผ่านป่าลึก พบร่องรอยของพวกเขา ดูจากทิศทางที่พวกเขาไป น่าจะเป็นทางนี้” ม่อเจี่ยนหลีครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น

“เช่นนั้นพวกเขาก็น่าจะอยู่ห่างจากที่นั่นไม่มากนัก เช่นนั้นยามนี้เรื่องที่ต้องทำก็คือรีบตามหาพวกเขาสองคน” หานลี่พยักหน้าอย่างมีแผนการ

“ได้ เจ้ากับข้าเคลื่อนไหวพร้อมกัน รีบติดต่อพวกเขา จากนั้นค่อยปรึกษากันอีกที” ม่อเจี่ยนหลีไม่คิดอันใดให้มากความ เอ่ยปากตกลงทันที

ดังนั้นทั้งสองจึงปรึกษากันอีกสองสามประโยคก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี แยกกันบินไปคนละทิศทาง

ครึ่งวันต่อมาบนยอดเขานิรนามแห่งหนึ่ง หานลี่และม่อเจี่ยนหลีแยกกันนั่งลงบนก้อนหินสีเขียว

ตรงข้ามกับทั้งสองไม่ไกลนัก เซี่ยหรานและเฮยหลินระดับมหายานของชนต่างเผ่าอีกสองคนนั้นนั่งอยู่บนพื้น

ม่อเจี่ยนหลีและหานลี่แยกกันลงมือแค่สองสามชั่วยาม คาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับคนที่ตามหาสองคนกลางอากาศ

ม่อเจี่ยนหลีย่อมดีใจอย่างบ้าคลั่ง รีบเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้ฟัง แล้วให้หานลี่ส่งข่าวไป

ในที่สุดทั้งสี่คนก็มารวมตัวกันที่ยอดเขาที่ค่อนข้างลึกลับแห่งหนึ่ง

และก่อนหน้านี้ไม่นาน หานลี่ก็อธิบายความแข็งแกร่งของแมงมุมซิวหลัวให้เซี่ยหรานและพวกทั้งสองฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง และเปิดเผยเจตนาจะร่วมมือกันโจมตี

“หากแมงมุมซิวหลัวฝูงนี้แข็งแกร่งดังที่สหายหานว่า พวกเราร่วมมือกันก็ไม่เห็นว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ พวกเราสองพี่น้องลงมือด้วยกัน เกรงว่าคงทำได้เพียงฝืนต่อกรกับมารดาแมงมุมตัวนั้นหรือหนึ่งในระดับมหายานของชนต่างเผ่าอีกคนหนึ่งได้เท่านั้น คนที่เหลือ สหายหานและสหายม่อก็รับมือต่อได้ทั้งหมดหรือ” เซี่ยหรานลูบใต้คางแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

หานลี่หัวเราะ ไม่ได้ตอบอันใด กลับหันหน้าไปเอ่ยถามม่อเจี่ยนหลี

“พี่ม่อ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“แม้ว่าข้าจะไม่อาจต่อกรกับมารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวหรือระดับมหายานของจิตวิญญาณเที่ยงแท้อีกคนได้ แต่แมงมุมซิวหลัวโตเต็มวัยสามตัวกลับมีวิธีรั้งไว้สักระยะหนึ่ง” ม่อเจี่ยนหลีครุ่นคิดแล้วกัดฟันตอบ

“แค่รั้งไว้ได้ระยะหนึ่งหรือ? เช่นนั้นสหายหานมั่นใจว่าจะต่อกรกับระดับมหายานสองคนได้หรือ?” เฮยหรานเหลือบตามองหานลี่แวบหนึ่ง แล้วหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย

เห็นได้ชัดว่าระดับมหายานของชนต่างเผ่าผู้นี้ไม่มั่นใจในตัวหานลี่นัก

“ใช่แล้ว ผู้แซ่หานมีเจตนานั้นจริง ไม่ทราบว่าสหายเฮยหลินและเซี่ยหรานคิดจะรับมือกับคนไหน?” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

เมื่อได้ฟังหานลี่ตอบเช่นนี้ เซี่ยหรานและเฮยหลินก็มองสบตากันด้วยความแปลกใจแวบหนึ่ง

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เซี่ยหรานถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า

“หากสหายหานมั่นใจปานนั้น เราสองพี่น้องย่อมต้องพยายามเต็มที่ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฟังจากน้ำเสียงของพี่หานก่อนหน้านี้ มารดาแมงมุมซิวหลัวผู้นั้นเป็นผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่งที่สุด เราสองคนจะรับหน้าที่จัดการมันเอง ทว่าบอกไว้ก่อนนะพวกเราสี่คนล้วนมาเพื่อแก่นผลึกแมงมุมซิวหลัว หากชนะจริงๆ จะแบ่งกันอย่างไร?”

“เรื่องนี้นั้นง่ายมาก ย่อมต้องเป็นผู้ใดสังหารได้ แก่นผลึกย่อมต้องเป็นของผู้นั้น” หานลี่เอ่ยอย่างแทบจะไม่ต้องขบคิด

ม่อเจี่ยนหลีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

เซี่ยหรานและเฮยหลินได้ยินกลับเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา

“สหายหานพูดจาตรงไปตรงมาดังคาด ทว่าเช่นนี้พี่หานก็เสียเปรียบสิ”

“เสียเปรียบ ไม่เห็นจะเสียเปรียบ หากข้าน้อยจัดการคู่ต่อสู้ได้ก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะหาแมงมุมซิวหลัวโตเต็มวัยตัวอื่นในรังพบ ถึงยามนั้นคงไม่ถ่อมตนอีกต่อไป ไม่ก็ถึงยามนั้นทุกท่านอาจจะจัดการกับคู่ต่อสู้ไม่ได้ ผู้แซ่หานก็จะลงมือเอง” หานลี่หาววอดแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

“หากพี่หานจัดการคู่ต่อสู้ได้ไวกว่าพี่น้องอย่างพวกเรา ให้เจ้าลงมือช่วยก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องและเหมาะสม เราสองคนจะไม่โกรธเคืองแน่” เซี่ยหรานหัวเราะร่า ดูเหมือนจะเชื่อมั่นในตนมากยิ่งขึ้น

“ในเมื่อไม่มีปัญหา เช่นนั้นพวกเราก็พักผ่อนสักครึ่งวันก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยไปรังของอีกฝ่าย ถึงอย่างไรเสียพวกเราก็เหลือเวลาไม่มากนัก ต้องรีบแล้ว” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วแนะนำ

ครั้งนี้เซี่ยหรานและพวกย่อมไม่คัดค้าน ทยอยกันพยักหน้าเห็นด้วย

“ทว่าก่อนหน้านี้ให้ข้าจัดการปัญหาก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” เฮยหลินพลันยืนขึ้น เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาขณะเอ่ย