สิ้นเสียงแขนข้างหนึ่งของเฮยหลินก็เลือนราง ฉับพลันนั้นก็ตบไปด้านหลัง

เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น พลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งกลายเป็นตาข่ายห่อหุ้มลงมาอย่างรวดเร็ว

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น!

เงาร่างสีเหลืองที่เลือนรางสายหนึ่งปรากฏขึ้นในตาข่ายโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ทันใดนั้นก็ตกตะลึงร่างกายบิดเบี้ยว คาดไม่ถึงว่าจะใช้อิทธิฤทธิ์ใดก็สุดจะรู้ได้หนีออกมา จากนั้นรัศมีลำแสงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป

“หึ คิดจะไปยามนี้ คิดว่าพวกเราเป็นอันใดกัน” เฮยหลินมีสีหน้าโหดเหี้ยม ตบมือออกไปนิ้วทั้งห้างอลงแล้วดึงกลับมา

เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น เหนือเงาร่างคนสีเหลืองอ่อนที่อยู่ไกลออกไปมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ฝ่ามือยักษ์สีดำสนิทปรากฏขึ้น และตะปบลงมาราวกับสายฟ้า

ครั้งนี้อาศัยแค่เงาร่างคนสีเหลืองพยายามหลบหนี กลับไม่อาจหลบหนีได้

เห็นเพียงสีดำทะมึนม้วนวนเข้ามา เงาร่างคนสีเหลืองถูกฝ่ามือยักษ์ตะปบเอาไว้

เฮยหลินหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง มือหนึ่งกวักเรียก ฝ่ามือยักษ์ตะปบเงาร่างสีเหลืองกลับมา

ยามนี้หานลี่และพวกล้วนมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเงาร่างสีเหลือง

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชายหนุ่มร่างกายผ่ายผอมสวมชุดคลุมสีเหลือง

ทว่าใบหน้าของเขามีสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่ารู้ว่าตนตกอยู่ในมือของผู้ใดแล้ว หลังจากลังเลเล็กน้อย ปากก็ฝืนร่ายคาถาเสียงแผ่วเบาออกมา ผิวมีผลึกลำแสงสีเหลืองไหลวนโคจรไปมาไม่หยุด ร่างกายบวมพองขึ้น

“แย่แล้ว”

เฮยหลินเป็นสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้นทันใดนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนองแล้วร้องตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว นิ้วหนึ่งวาดไปกลางอากาศไปยังจุดที่ไกลออกไป

เสียงแหวกอากาศดัง “ฟิ้วๆ” เงาลวงตาสีดำร้อยจั้งพุ่งมาหาชายหนุ่ม

แต่การเคลื่อนไหวนี้กลับสายไปแล้ว

เห็นเพียงลำแสงสีดำทะลวงผ่านร่างของชายหนุ่ม เสียงดังสนั่นแสบแก้วหูดังขึ้นในเวลาเดียวกัน

ชายหนุ่มชุดสีเหลืองชิงระเบิดร่างกายตัวเองก่อน

รัศมีลำแสงเจิดจ้าและระลอกคลื่นรุนแรงทำให้ฝ่ามือสีดำสั่นเทาไม่หยุด

“บังอาจ กล้าระเบิดตัวเองต่อหน้าข้า” เฮยหลินหน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้ แล้วเอ่ยอย่างโกรธแค้น

ฝ่ามือยักษ์สีดำเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วสลายหายไปกลางอากาศ

“เคล็ดวิชาลวงตาของคนผู้นี้สูงส่งมาก ทว่าการตัดสินระเบิดตัวเองเช่นนี้ เกรงว่าคงมีความลึกลับในนั้นแน่” หานลี่กวาดสายตาไปยังจุดที่ชายหนุ่มระเบิดตัวเอง ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยพร้อมกับหัวเราะ

“อ๋อ สหายหานหมายถึงการระเบิดตัวเมื่อครู่ไม่ใช่ร่างเดิมของคนผู้นั้น?” เซี่ยหรานแววตาเปล่งประกาย กลับมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว

ม่อเจี่ยนหลีได้ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

“กว่าครึ่งสินะ ทว่าน่าจะไม่ใช่หุ่นเชิดหรือร่างแยกธรรมดาๆ กลิ่นอายระดับผสานอินทรีย์ชัดๆ หากระเบิดตัวเองล่ะก็ คงไม่ได้มีอานุภาพแค่นี้” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

“อืม เช่นนั้นก็แปลกจริงๆ แต่การระเบิดตัวเองเมื่อครู่ ข้าเห็นจะๆ ในร่างของเขาไม่มีทารกวิญญาณอยู่” เซี่ยหรานพยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิด

และในยามนี้เฮยหลินกลับตบเท้าอย่างไม่ยินยอม ร่างทั้งร่างกลายเป็นเมฆสีดำพุ่งไปตรวจสอบทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน

ชั่วพริบตาเมฆสีดำก็ค้นหาทุกที่ในรัศมีสองสามหมื่นลี้ แต่กลับไม่ได้พบอันใด ทำได้เพียงทยอยกันกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง และกลายร่างเป็นมนุษย์ร่อนลงบนยอดเขา

“เจ้านั้นบังอาจไม่น้อย ไม่ได้แอบอยู่ใกล้ๆ นับว่าเขาโชคดี ให้หลบหนีไปได้ มิเช่นนั้นหากตกอยู่ในมือของข้าล่ะก็…” สีหน้าโหดเหี้ยมของเฮยหลินหายวับไป แล้วเอ่ยอย่างเคียดแค้น

“ฮ่าๆ ช่างเถิด แม้ว่าคนผู้นั้นจะแอบมองพวกเราอยู่ แต่ที่นี่ถูกวางเขตอาคมกั้นเสียงเอาไว้ ไม่อาจรู้ว่าพวกเรากำลังปรึกษาอันใดกันได้” เซี่ยหรานโบกมือ แล้วเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น

“แต่คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวผู้นั้นส่งมาสินะ” ม่อเจี่ยนหลีลูบเครากลับเอ่ยอย่างเคร่งเครียด

“วางใจ ต่อให้เป็นสายลับของแมงมุมซิวหลัว มองอยู่ไกลๆ จะเห็นอันใด สุดท้ายสงครามคครั้งนี้ก็ต้องดูที่พละกำลังที่แท้จริง” เฮยหลินไม่ใส่ใจ

“พี่เฮยหลินพูดมีเหตุผล ทว่าเพื่อความปลอดภัย พวกเราอย่าพักผ่อนอยู่ที่นี่เลย ไปแถวๆ รังของอีกฝ่ายในคืนนี้แล้วค่อยว่ากันเถิด เช่นนั้นต่อให้พวกมันได้ข่าวอันใด ก็ไม่ทันได้ทำอันใด” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา

“รีบไปคืนนี้!” เซี่ยหรานขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วย

“จากพลังยุทธ์ของพวกเรา ขอแค่พักผ่อนบนอาวุธเหาะเหิน ก็น่าจะฟื้นฟูพลังยุทธ์ได้แล้ว และก็ทำให้แมงมุมซิวหลัวทำอันใดไม่ถูกด้วย นั่นย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสก่อน ถึงยามนั้นก็ทำให้พวกเราเป็นฝ่ายได้เปรียบในตอนสุดท้ายของสงคราม” หานลี่เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน

“ได้ เดิมผู้แซ่เซี่ยก็คิดจะใช้เวลาครึ่งวันฝึกฝนเคล็ดวิชาลับเพิ่มพลังอยู่แล้ว ฟังพี่หานกล่าวเช่นนี้ คว้าโอกาสงามๆ ไว้ก่อนสำคัญกว่า” เซี่ยหรานได้ยินคำชักจูงของหานลี่ ในที่สุดก็ตอบรับ

“การกระทำของสหายเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดนัก พวกเราไปกันเถิด” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวก็เปล่งแสงสว่างวาบ สำเภาเหาะเหินสีขาวลำหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ

เซี่ยหราน เฮยหลินและพวกเห็นเช่นนั้นย่อมไม่ได้เกรงใจอันใด ร่างกายพลิ้วไหวไป ทยอยกันเหยียบขึ้นไปบนสำเภาลำนั้น

หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม สำเภาเหาะเหินสีขาวแค่ส่งเสียงหึ่งๆ แล้วกลายเป็นลำแสงสีขาวดวงหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป

เวลาหนึ่งกาน้ำชาต่อมา ในป่าลับห่างจากยอดเขาเดิมของหานลี่และพวกไปแสนลี้ ลำแสงสีเหลืองปรากฏขึ้น ชายหนุ่มชุดสีเหลืองอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองทิศทางที่สำเภาเหาะเหินสลายหายไป ถึงได้เอ่ยพึมพำด้วยสีหน้าหวาดกลัว

“โชคดีที่ข้ามีไหวพริบ ซ่อนตัวไกลเช่นนี้ มิเช่นนั้นครั้งนี้คงมีอันตรายถึงชีวิตแล้ว จะว่าไปแล้ว คนนอกที่เข้ามาในแดนนี้แข็งแกร่งมาก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นระดับมหายานสี่คน น่าเสียดายที่ร่างแยกอยู่ไกลเกินไป จึงไม่ได้ยินเนื้อหาที่อีกฝ่ายคุยกัน และไม่รู้ว่ามาหาเผ่าแมงมุมซิวหลัวหรือไม่”

ชายหนุ่มชุดสีเหลืองมีสีหน้าเคร่งขรึม

แต่ไม่นานนัก เขาก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา

“ช่างเถิด ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมาหาเผ่าแมงมุมซิวหลัวหรือไม่ ขอแค่ข้าส่งข่าวกลับไป สองสามวันนี้ก็รออยู่ด้านนอก ต่อให้มีหายนะอันใดก็หนีทัน”

เขาตัดสินใจอ้าปากพ่นแผ่นป้ายไม้สีขาวนวลออกมา มือหนึ่งกำเอาไว้ มือหนึ่งชี้ไปกลางอากาศ

ชั่วขณะนั้นผิวของแผ่นไม้พลันมีลำแสงสีเงินสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นอักขระยันต์สีเงินขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร หลังจากเลือนรางไป ก็ทยอยกันจมหายเข้าไปในแผ่นป้ายไม้แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในเวลาเดียวกันในเมืองศิลารังของแมงมุมซิวหลัว มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวและชายชราแซ่อี้ผู้นั้นกำลังปรึกษาอันใดกันอยู่ในห้องลับ

ฉับพลันนั้นเบื้องหน้าทั้งสองก็มีเสียงร้องต่ำๆ ดังออกมาจากแท่นหินสีดำสนิท ลำแสงสีเงินค่อยๆ ปรากฏขึ้นด้านบน

มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น อาคมสายหนึ่งดีดออกไป โจมตีไปที่แท่นหินพอดี

แท่นหินสีดำมีรัศมีลำแสงรวมตัวกัน อักขระสีเงินหมุนคว้างแล้วปรากฏออกมา

มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวและชายชราแซ่อี้ย่อมมองเห็นเนื้อหาในนั้นอย่างชัดเจน ผลคือพลันหน้าเปลี่ยนสี

“ระดับมหายานสี่คน คาดไม่ถึงว่าจะมากมายเช่นนี้” ชายชราเอ่ยพึมพำ

“คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะมีผู้ช่วยระดับมหายานจริงๆ รับมือยากแล้ว” ฮูหยินเองก็มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส

“คนเหล่านี้ไม่ได้จำเป็นต้องมาหาพวกเรา แต่ก็ต้องระวังไว้จะดีกว่า ใช่แล้ว เรียกลูกน้องของเจ้ากลับมาให้หมด” ชายชราเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“สหายอี้วางใจ นอกจากสองสามคนที่รับภารกิจสำคัญแล้ว ไม่อาจกลับมาได้แล้ว คนอื่นๆ ล้วนเรียกกลับมาในเมืองหมดแล้วแม้กระทั่งข้ายังให้คนไปคลายผนึกซากทมิฬที่แช่อยู่ในแม่น้ำทมิฬทั้งเก้าด้วย มากสุดคงใช้เวลาอีกสองวัน ซากทมิฬเหล่านี้ก็จะกลับมาถึงเมือง” มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด

“อืม เช่นนั้นย่อมดีเยี่ยม ตาเฒ่าจะส่งข่าวไป เตรียมเรียกสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงดูอยู่ในจุดห่างไกลกลับมา แต่ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน อาศัยเพียงสิ่งนี้เกรงว่าคงไม่อาจรับประกันได้ว่าพวกเราจะเอาชนะคนนอกได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตาเฒ่าและเชอชี่จื่อเคยพบกันสองสามครั้ง ไม่สู้มอบประโยชน์ให้เขา ให้เขามาอยู่ที่เมืองเราชั่วคราวเป็นอย่างไร?” ชายชราแซ่อี้แววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยอย่างแช่มช้า

“อันใดนะ เชอชี่จื่อ! ไม่ได้ เจ้านั่นจ้องจะเขมือบเผ่าแมงมุมซิวหลัวของพวกเรามานานแล้ว เอามันมาอยู่ในเมือง ไม่เป็นประตูหน้าขวางพยัคฆ์แต่หมาป่าเข้าประตูหลังหรือ” มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวได้ยิน ชั่วขณะนั้นพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วสั่นศีรษะราวกับรัวกลอง

“สหายหลัววางใจ ข้ารู้ว่าเชอชี่จื่อนั้นมีข้อจำกัดกับเผ่าเต่า แต่ต่อให้มันร้ายกาจขนาดไหน มันก็แค่สัตว์ร้ายตัวเดียวเท่านั้น หากเจ้ากับข้าร่วมมือกัน จะกลัวมันอีกหรือ เอาเรื่องสำคัญก่อนดีกว่า” ชายชราแซ่อี้ขมวดคิ้วขณะเอ่ย

“หึ หากจะเชิญมันมาจริงๆ ค่าตอบแทนต้องไม่น้อย” ฮูหยินดูเหมือนจะถูกคำพูดของชายชราแซ่อี้ทำให้สนใจ พลางตอบอย่างเชื่องช้า

“อืม ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า…” ชายชราแซ่อี้กลับดูเหมือนจะขบคิดไว้นานแล้ว ริมฝีปากขยับเบาๆ อย่างไร้สุ้มเสียง คาดไม่ถึงว่าจะถ่ายทอดเสียงไป

“อันใด เจ้าจะให้ข้าทำเช่นนี้ ค่าตอบแทนมันมากเกินไปหน่อยกระมัง” มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวได้ยินพลันร้องอุทานเสียงหลงออกมา

“แค่ไข่ตายแล้วไม่อาจฟักได้ของเผ่าเจ้าสองสามลูก เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่จากที่ข้าเข้าใจเชอชี่จื่อ ของเหล่านี้กลับทำให้มันสนใจได้” ชายชราแซ่อี้หัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย

“เรื่องนี้ข้าต้องขบคิดให้ดี” ฮูหยินกลับไม่ได้ตอบตกลงทันที กลับเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ได้ สหายหลัวขบคิดก่อนแล้วค่อยว่ากัน อย่าลืมส่งข่าวให้ผู้ที่อยู่ในบ่อโลหิตด้วยล่ะ หากเกิดเรื่องอันใดที่ไม่คาดฝันจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องอาศัยอิทธิฤทธิ์ของเขา” ชายชราแซ่อี้พยักหน้า เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา แล้วเอ่ยถึงคนลึกลับอีกคนหนึ่ง…