“เจ้าหมายถึงอิงเอ๋อร์หรือ นั่นไม่ได้ นางกำลังฝึกฝนอยู่ในช่วงสำคัญ เกี่ยวข้องกับความแพ้ชนะของเจ้ากับข้า ไม่อาจรบกวนนางได้” มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวได้ยินคำนี้ก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสี ราวกับว่าชายชราแซ่อี้ไปสัมผัสกับจุดอ่อนของนางก็ไม่ปาน

“แน่นอนว่าข้าย่อมรู้ว่าเซียนอิงกำลังฝึกฝนอยู่ในช่วงสำคัญ แต่อย่าลืมล่ะ หากเจ้ากับข้าไม่อาจต้านทานการโจมตีของระดับมหายานเหล่านั้นได้ นางจะยังฝึกฝนต่ออย่างปลอดภัยได้อย่างไร การต้องออกจากการกักตนก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าก็เร็วแล้ว สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือเตือนเขาก่อนเท่านั้น หากระดับมหายานที่มาจากภายนอกไม่ได้บุกเข้ามาในเมืองของเรา หรือพวกเราไล่พวกเขาไปได้อย่างง่ายดาย เซียนอิงย่อมไม่จำเป็นต้องออกจากการกักตน” ชายชราแซ่อี้เอ่ยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

“ก่อนอิงเอ๋อร์จะกักตนนางได้กล่าวเอาไว้ว่าการฝึกฝนครั้งนี้ต้องเรียนรู้สิ่งที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าอันใดจะเกิดขึ้น ก็ห้ามรบกวนนาง เพื่อไม่ให้ทุกอย่างที่ทำมาล้มเหลว! ดังนั้นข้ายังต้องขบคิดให้ละเอียด ถึงจะตัดสินใจได้ ถึงอย่างไรเสียต่อให้เป็นแค่บอกข่าวนางก็อาจจะกระทบกับจิตใจของนาง” หลังจากที่เผ่าแมงมุมซิวหลัวลังเลเล็กน้อย ก็ยังคงสั่นศีรษะขณะเอ่ย

“เอาล่ะ ข้าแค่คิดแผนเผื่อไว้เท่านั้น ทว่าสองสามวันนี้กลับต้องให้เผ่าของเจ้าเปิดเขตอาคมต่างๆ ให้หมด นอกจากนี้ยังต้องใช้เขตอาคมลอยตัวกลางอากาศ ย้ายบ่อน้ำของเมืองไปไว้ที่อื่น แม้ว่าเพราะข้อจำกัดด้านเขตอาคม จึงไม่อาจบินไปได้ไกลนัก แต่ไม่แน่ว่าอาจจะถ่วงเวลาได้…” แม้ว่าชายชราแซ่อี้จะไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าเซียนอิงผู้นั้นสำคัญต่อมารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวขนาดไหน หลังจากเอ่ยสองสามประโยค ก็เอ่ยถึงเรื่องอื่น

หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เมืองหินของแมงมุมซิวหลัวตรงใจกลางเทือกเขาพลันมีรัศมีลำแสงระเบิดมาจากจุดต่างๆ ของหัวเมือง แล้วปกคลุมทั้งเมืองเอาไว้ข้างใน

จากนั้นในรัศมีสองสามร้อยลี้ก็เกิดการสั่นเทาอย่างรุนแรง

เมืองหินถูกถอนขึ้นมาจากพื้นดิน พลางบินไปอีกด้านท่ามกลางเสียงดังสนั่น

ไม่นานนักทั้งเมืองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย บนพื้นดินเหลือเอาไว้เพียงหลุมยักษ์สีดำสนิท

ตรงต้นไม้ที่ไม่สะดุดตาต้นหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหลุมยักษ์นัก มีลำแสงสีเขียวหมุนวนโคจรไปมา แล้วกลายเป็นชายหนุ่มสวมชุดสีเขียวผิวสีเขียวอ่อนคนหนึ่ง

ดูจากหน้าตาแล้วก็คล้ายคลึงกับหานลี่ถึงเจ็ดแปดส่วน!

หลังจากเงยหน้ามองไปยังจุดที่เมืองหินหายไปแวบหนึ่ง มุมปากก็เผยรอยยิ้มประหลาดๆ ออกมา

จากนั้นก็เห็นชายหนุ่มใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ร่างทั้งร่างเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วจมหายเข้าไปในดินอย่างไร้ร่องรอย

ในเวลาเดียวกันกลางอากาศเหนือทุ่งหญ้าที่อยู่ไม่ไกลจากเทือกเขานัก สำเภาเหาะเหินสีขาวลำหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

หานลี่และม่อเจี่ยนหลีนั่งสมาธิอยู่ตรงหัวเรือ กำลังหลับตาเข้าสู่ภวังค์สมาธิ

เซี่ยหรานและเฮยหลินยืนเคียงไหล่กันอยู่ตรงหางเรือ ใช้เคล็ดวิชาถ่ายทอดเสียงพูดคุยกันอยู่เงียบๆ

ฉับพลันนั้นหานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ลืมตาทั้งสองข้างที่หลับอยู่ขึ้นอย่างช้าๆ มุมปากเผยรอยยิ้มประหลาดๆ ออกมา

“สหายหาน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?” ม่อเจี่ยนหลีสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของหานลี่ ภายใต้ความตกตะลึง จึงลืมตาขึ้นเอ่ยถามเช่นกัน

“ไม่มีอันใดแค่อีกไม่นานพวกเราต้องจัดการทางที่พวกเราจะไปสักหน่อย” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ

“อ๋อ ดูแล้วเจ้าคงกำลังวางกลไกกันอยู่สินะ!” ม่อเจี่ยนหลีพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ได้สติแล้วหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“ข้าแค่ทิ้งร่างแยกไว้ที่นั่น แม้ว่าพวกเขาจะย้ายรังไป แต่ก็ไม่มีทางไปได้ไกลนัก ยามนี้เคลื่อนที่เต็มอัตราเถิด มากสุดอีกหนึ่งวันพวกเราก็จะไปถึงแล้ว” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ

“ดูแล้วสหายหานคงมีแผนการอยู่แล้ว เช่นนั้นตาเฒ่าก็วางใจ” ม่อเจี่ยนหลีครุ่นคิดแล้วพยักหน้าขณะเอ่ย

“ไม่ถึงกับมีแผนหรอก แต่มีพี่ม่อและพวกคอยช่วยเหลือ การจัดการแมงมุมซิวหลัวเหล่านั้นก็ไม่ใช่ปัญหา ถึงยามนี้หลังจากที่ได้เส้นไหมทมิฬลำแสงมา ความยากลำบากจากเคราะห์สวรรค์ของพี่ม่อและพี่เอ๋าก็น่าจะมั่นใจขึ้นได้หลายส่วน” หานลี่ตอบกลับพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“หึๆ หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ทว่าการรบครั้งนี้จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากแน่ และยิ่งไปกว่านั้นถึงยามนั้นแม้แมงมุมซิวหลัวเหล่านั้นจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา แต่หากมันมีใจคิดหนี หากพวกเราจะจับมันเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย” ม่อเจี่ยนหลีลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็เอ่ยเรื่องที่ตนกังวลในใจออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“หากเป็นเช่นนั้น ก็จัดการยากแล้ว เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้ามีหุ่นเชิดระดับผสานอินทรีย์ที่ไม่หวาดกลัวความตายอยู่สองสามตัว พละกำลังไม่อ่อนแอ ต่อกรกับมารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวอาจจะไม่มีประโยชน์ แต่สำหรับแมงมุมซิวหลัวโตเต็มวัยระดับมหายานเชื่อว่าย่อมมีผลแน่” หานลี่ครุ่นคิดแล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา

“หุ่นเชิดระดับผสานอินทรีย์! หากมีหุ่นเชิดที่แข็งแกร่งระดับนั้นคอยช่วยเหลือ บางทีตาเฒ่าอาจจะรั้งแมงมุมซิวหลัวโตเต็มวัยเหล่านั้นได้สักหนึ่งถึงสองตัว ผู้แซ่ม่อจะยังไม่ขอบคุณ หากภารกิจครั้งนี้ได้ผลตอบแทน วันข้างหน้าจะต้องตอบแทนให้จงหนักแน่” ม่อเจี่ยนหลีได้ยินคำนี้ ชั่วขณะนั้นพลันดีอกดีใจ

“เจ้ากับข้าเป็นคนเผ่าเดียวกัน หุ่นเชิดเหล่านี้ไม่นับว่ามีค่าอันใด พี่ม่อไม่ต้องใส่ใจ” หานลี่หัวเราะแห้งๆ มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ ในมือมีวงแหวนสีดำสนิทเพิ่มขึ้นมา และส่งให้กับม่อเจี่ยนหลี

ด้านในมีหุ่นเชิดผลึกมารระดับผสานอินทรีย์ที่เขาได้มาจากแดนมารสองสามตัว

หุ่นเชิดเหล่านี้ครึ่งหนึ่งถูกเขาเก็บไว้บนสำเภาวิญญาณมารศักดิ์สิทธิ์ในแดนวิญญาณ ครึ่งหนึ่งถูกเขาพกติดตัวเอาไว้ เพื่อเอาไว้ใช้

ม่อเจี่ยนหลีรับกำไลเก็บของไปด้วยสีหน้ายินดี หลังจากกวาดจิตสัมผัสเข้าไปอย่างละเอียดก็เอ่ยขอบคุณเป็นพัลวัน

มีหุ่นเชิดที่ไม่หวาดกลัวความตายคอยช่วยเขาถ่วงเวลาแมงมุมซิวหลัวโตเต็มวัย ในที่สุดความกังวลในใจของเขาก็มลายหายไป

เวลาต่อมาม่อเจี่ยนหลีเริ่มศึกษาวิธีควบคุมหุ่นเชิดผลึกมารสองสามตัวที่อยู่ในกำไลเก็บของ

หานลี่เข้าสู่ภวังค์สมาธิอีกครั้ง

หนึ่งวันต่อมาตรงขอบเทือกเขาที่เป็นที่ตั้งของเมืองศิลาเดิมพลันมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ หานลี่และพวกที่โดยสารสำเภาเหาะปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ

ทว่าสำเภาเหาะไม่ได้หยุดที่ขอบหลังจากกะพริบวาบสองสามครั้งก็พุ่งไปข้างหน้าต่อ

หลังจากผ่านไปชั่วครู่สำเภาเหาะก็พุ่งผ่านใจกลางของเทือกเขาไป แล้วสลายหายไปที่ขอบฟ้า

ในโพรงต้นไม้ลับแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านล่าง เงาร่างคนที่เลือนรางไม่ชัดเจนเงยหน้าขึ้นมองทุกอย่าง

เขารอให้สำเภาเหาะบินไปไกลถึงได้กลายเป็นสายลมอ่อนๆ ปรากฏร่างที่ชัดเจนขึ้น

เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าสวมชุดสีเงิน

เขามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม หลังจากมองท้องฟ้าอยู่นาน ถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกลายเป็นพายุอ่อนๆ สลายหายไปอีกครั้ง

อีกด้านสำเภาเหาะบินผ่านทะเลสาบและป่าลึกไปอย่างต่อเนื่อง เบื้องหน้าพลันมีที่ราบสูงสีเหลืองที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตาปรากฏขึ้น

ยามนี้หานลี่ที่อยู่ตรงหัวเรือถึงได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันปากก็เอ่ยอย่างราบเรียบ

“ใกล้ถึงแล้ว สหายทุกท่านเตรียมตัวเถิด”

สิ้นเสียงร่างของหานลี่ก็เลือนราง แล้วยืนตัวตรง

ม่อเจี่ยนหลีและเซี่ยหราน เฮยหลินที่อยู่ด้านหลังได้ยินคำนี้ก็ไม่กล้าดูแคลน พลันลืมตาหยัดกายลุกขึ้นเช่นกัน แล้วบินไปตรงหัวเรือ

ผลคือนอกจากพายุสีเหลืองที่พัดโชยเข้ามาแล้ว ไหนเลยจะมีเมืองใดๆ

“สหายหาน รังของแมงมุมซิวหลัวล่ะ!” เซี่ยหรานขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากถาม

“พี่เซี่ยไม่ต้องกังวล อีกสองสามหมื่นลี้ก็จะเห็นแล้ว” หานลี่เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน

“หมื่นลี้” เฮยหลินได้ยินก็ใช้นิ้วแตะหว่างคิ้วอย่างไม่ต้องขบคิด แล้วปล่อยจิตสัมผัสมหาศาลออกไป

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ระดับมหายานจากชนต่างเผ่าผู้นี้ก็หัวเราะร่าออกมา

“ใช่แล้ว ทางนั้นมีทะเลทราย มีเมืองแห่งหนึ่งซ่อนอยู่ใต้ผืนทรายจริงๆ”

“ได้ ไม่มีปัญหา เตรียมลงมือเถิด!” เซี่ยหรานได้ยิน ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ

จากนั้นก็เห็นเขาอ้าปากพ่นลำแสงสีดำออกมา

กลางลำแสงสีดำเตาหลอมสีดำขนาดเท่ากำปั้น ด้านในมีเทียนหอมปักอยู่

ยาวสองสามชุ่น เป็นสีแดงสดราวกับโลหิต

เซี่ยหรานใช้มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ นิ้วชี้ไปกลางอากาศ

ชั่วขณะนั้นเตาหลอมก็หมุนคว้างขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสองสามจั้ง

เซี่ยหรานอ้าปากออกพ่นอีกครั้ง เปลวเพลิงสีแดงสดแฉลบผ่านไป ชั่วพริบตาก็เผาไหม้เทียนหอม กลิ่นประหลาดๆ โชยออกมา

จากนั้นเซี่ยหรานก็บริกรรมคาถา ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน

แต่ในธูปหอมด้านหน้าเขามีเสียงภูตผีกรีดร้องดังขึ้น ลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นลางๆ บนเตาหลอม

ในเวลาเดียวกันบนร่างของเซี่ยหรานพลันมีลูกบอลลำแสงสีโลหิตแปดลูกบินออกมา ด้านในมีทารกที่นั่งสมาธินิ่งอยู่ ผิวขาวเนียนเต็มไปด้วยอักขระสีแดงโลหิต และเผยรอยยิ้มประหลาดยิ่งออกมา

เฮยหลินที่ยืนอยู่ด้านข้างหัวเราะหึๆ มือหนึ่งตบไปที่ถุงหนังตรงหว่างเอว

เสียง “ปัง” ดังขึ้น ปากถุงหนังเปิดออก ด้านในมีไอสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากผนึกรวมตัวกันกลางอากาศ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเมฆสีดำขนาดสองสามหมู่

ด้านในมีเสียง “ซือๆ” ดังขึ้นไม่หยุด เหมือนมีอันใดซ่อนอยู่ด้านใน

จากนั้นเฮยหลินก็สะบัดแขนเสื้อ ด้านในมีท่อนไม้สีดำสนิทบินออกมาสิบกว่าท่อน หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็จมหายไปกลางอากาศ

ยามนี้ม่อเจี่ยนหลีก็ควักวงแหวนเก็บอสูรวิญญาณออกมาสองวง หลังจากโยนไปรอบๆ สำเภาเหาะ ก็แบ่งกันมีพยัคฆ์เหินสีขาวหิมะตัวหนึ่ง และวิหคเพลิงสีแดงสดตัวหนึ่งบินออกมาเวียนวนอยู่เหนือศีรษะ

ทั้งสองมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะมีพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์

จากนั้นม่อเจี่ยนหลีก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคมอีกครั้ง สมบัติอาคมที่แตกต่างกันสองสามชิ้นบินออกมาจากร่างของเขา

หานลี่มองทุกอย่างอย่างราบเรียบ สองมือหดเข้าไปในแขนเสื้อ แต่กลับไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ

ห่างออกไปสองสามหมื่นลี้ สำหรับหานลี่แล้วย่อมไปถึงได้ในพริบตา

ยามที่ตรงหน้ามีทะเลทรายสีเหลืองนวลปรากฏขึ้น หานลี่ก็ใช้เท้าหนึ่งย่ำไปบนอาวุธใต้ฝ่าเท้า ชั่วขณะนั้นสำเภาเหาะพลันสั่นเทาแล้วหยุดอยู่กลางอากาศ

เซี่ยหรานกวาดตามองทะเลทรายบนเนินทรายด้านล่างแวบหนึ่ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ในใจพลันร่ายอาคมกระตุ้น ปากก็พ่นคำว่า “ระเบิด” ออกมา

ชั่วขณะนั้นรอบกายของเขาพลันมีทารกในลำแสงสีโลหิตปรากฏขึ้นแปดคน รอยยิ้มจางหายไป ทยอยกันมองไปด้านล่าง

เสียง “ตึงๆ” ดังสนั่นขึ้น เสาลำแสงสีโลหิตแปดสายพุ่งออกมาจากสำเภาเหาะ…