เล่มที่ 31 เล่มที่ 31 ตอนที่ 928 สตรีไล่ตามจีบบุรุษ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ห้องในเรือนพักมีเพียงพอ อวิ๋นจิ่น อู๋จุน ตงหลิงหวง และถังเสวี่ยทุกคนอยู่ห้องแยกเป็นส่วนตัว ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาอาศัยอยู่ในห้องเดียว อีกทั้งซูจิ่นซียังตั้งครรภ์ เกรงว่าจะรบกวน นางจึงอยู่ห้องที่ห่างจากผู้อื่นพอสมควร

ขณะที่ทุกคนมาถึงที่พัก เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงพลบค่ำแล้ว เยี่ยโยวเหยามีบางอย่างที่ต้องทำ จึงออกไปข้างนอก ลวี่หลีคอยปรนนิบัติซูจิ่นซีอยู่ในห้อง

ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีกำลังคิดอันใดอยู่เพียงลำพัง สีหน้าของนางดูครุ่นคิด จิตใจเหม่อลอย จากนั้นจึงถามลวี่หลีว่า “ลวี่หลี ตอนที่เจ้ากับแม่นมฮวามาหาข้า ทุกอย่างที่จวนซูเรียบร้อยดีหรือไม่? ”

ลวี่หลีเพียงคิดว่าซูจิ่นซีถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั่วไป จึงไม่ได้คิดอันใดมาก นางจัดเตียงนอนให้ซูจิ่นซีพลางตอบคำถาม “ตั้งแต่คุณชายน้อยอวี้กับฮูหยินปี้เข้ามาดูแลกิจการในจวน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั่วไปในสกุลซูหรือหอโอสถ พวกเขาล้วนจัดการได้ดีมากเจ้าค่ะ ตอนที่บ่าวอยู่ที่แคว้นจงหนิง ไม่ได้ยินว่าจวนซูเกิดปัญหาใหญ่อันใดเจ้าค่ะ”

“เยวี่ยหลี เด็กสาวผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าจำได้ว่าตอนที่ออกจากแคว้นจงหนิง นางยังช่วยงานอยู่ที่หอโอสถสกุลซู นางยังอยู่ที่นั่นหรือไม่? ”

ตอนกลางวันเห็นสตรีงามกลางทะเลทราย ทั้งยังเห็นคุณหนูจิ่วแห่งจวนอี้อ๋องด้านนอกประตูเมืองเสวียนเฉิง ทันทีที่ซูจิ่นซีถามเรื่องนี้ ลวี่หลีก็รู้ทันทีว่าซูจิ่นซีกำลังนึกถึงเรื่องในวันนี้ นางหยุดงานในมือทันทีและนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

ลวี่หลีเป็นสตรีใสซื่อ มีเรื่องอันใดไม่เคยปิดบัง อารมณ์ทุกอย่างล้วนปรากฏบนใบหน้า นางนิ่งเงียบไม่พูดอันใดครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีจึงรู้สึกผิดปกติ นางหันศีรษะไปหาลวี่หลี

“เกิดอันใดขึ้น? ”

ลวี่หลีจัดผ้าปูเตียงจนแล้วเสร็จ ก่อนจะเดินมาหาซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้า

“คุณหนู มีบางอย่าง บ่าวคิดว่าคุณชายน้อยอวี้ได้บอกกับท่านในจดหมายแล้ว บ่าวจึงไม่เคยบอกกับคุณหนูเลย”

“เรื่องอันใดหรือ? ”

ซูอวี้จะเขียนจดหมายถึงซูจิ่นซีเป็นระยะๆ ทว่าถึงกระนั้น เรื่องที่เขียนมามักจะเป็นข่าวดี ไม่ใช่ข่าวร้าย เขามักจะแบกรับความลำบากทั้งหมดไว้ด้วยตนเอง จุดนี้ซูจิ่นซีเข้าใจดี

อีกทั้ง ตั้งแต่ออกจากแคว้นตงเฉิน นางก็ไม่ได้รับจดหมายจากซูอวี้มานานแล้ว

สัญชาตญาณบอกซูจิ่นซีว่า สิ่งที่ลวี่หลีจะพูดนั้น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน

ลวี่หลีเม้มริมฝีปาก “คุณหนู แท้จริงแล้ว ไม่นานหลังจากที่คุณหนูจากไป แม่นางเยวี่ยหลีก็ไม่ได้อยู่ช่วยงานที่หอโอสถสกุลซูแล้วเจ้าค่ะ”

ซูจิ่นซีนิ่งเงียบ ปล่อยให้ลวี่หลีเล่าต่อ

“รายละเอียดนั้น บ่าวก็ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก บ่าวรู้เพียงว่า แม่นางเยวี่ยหลีตรวจอาการคนไข้และจ่ายเทียบยาผิด แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก ทว่ากลับทำลายชื่อเสียงหอโอสถ ต่อมานางจึงไม่สามารถอยู่ช่วยงานที่หอโอสถได้อีก”

“จ่ายเทียบยาผิดหรือ? ”

ซูจิ่นซีรู้สึกสงสัยคำพูดเหล่านี้อย่างชัดเจน เพราะนางรู้จักหลานเยวี่ยหลีดี หลานเยวี่ยหลีไม่ใช่ผู้ที่ประมาทเลินเล่อ การจ่ายเทียบยาผิดเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ไม่มีทางเกิดขึ้นกับนางแน่นอน

ลวี่หลีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวเสริมว่า “แท้จริงแล้วยังมีปัจจัยด้านจวนหลานอีกส่วนหนึ่งเจ้าค่ะ บุตรชายคนโตของสกุลหลานกลับมาแล้ว เขากับแม่นางเยวี่ยซินคอยจับตาแม่นางเยวี่ยหลีอย่างใกล้ชิด พวกเขาทั้งคู่ล้วนไม่เต็มใจให้แม่นางเยวี่ยหลีไปที่หอโอสถหรือแสดงตัวในที่สาธารณะ ตอนนั้นแม่ทัพใหญ่หลานออกทัพเฝ้าระวังอยู่ที่ชายแดนแคว้นจงหนิงกับแคว้นซีอวิ๋น เรื่องนี้แม่นางเยวี่ยหลีไม่มีทางตัดสินใจได้เอง”

ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้!

แม้นางจะอภิเษกกับเยี่ยโยวเหยา อภิเษกกับเชื้อพระวงศ์ ทว่าสกุลซูยังไม่มีสถานะอันใด โทษสกุลหลานก็ไม่ได้

ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีกำลังครุ่นคิดอันใดอยู่ นางนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ลวี่หลีก็ไม่พูดอันใดต่อ

หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีจึงถามอีกครั้ง “เรื่องระหว่างอวี้เอ๋อร์กับหลานเยวี่ยหลีเป็นอย่างไรบ้าง? นางไม่ไปหอโอสถ เรื่องนี้ก็จบแล้วหรือ? ”

อย่างไรเสีย คำถามนี้ก็ตรงประเด็น ลวี่หลีเป็นสตรีที่ไม่เคยออกเรือน แก้มของนางแดงระเรื่อและไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร

ซูจิ่นซีพูดว่า “มีเรื่องอันใดก็พูดออกมาตามตรง ตอนนี้ไม่มีคนนอก มีเพียงเจ้ากับข้า ข้าหัวเราะเยาะเจ้าได้หรือ? ”

ลวี่หลีจึงบอกซูจิ่นซีทุกอย่างที่นางรู้

“บ่าวได้ยินมาว่าตอนแรก ฮูหยินปี้ต้องการให้คุณชายน้อยอวี้กับแม่นางลวี่หลีไปมาหาสู่กัน ทว่าตั้งแต่เกิดเรื่องเขียนเทียบยาผิด อีกทั้งคุณชายใหญ่หลานยังมาหาคุณชายน้อยอวี้ จากนั้นฮูหยินปี้ก็ไม่ต้องการให้คุณชายน้อยอวี้ไปมาหาสู่กับแม่นางเยวี่ยหลีอีกเลยเจ้าค่ะ”

“อวี้เอ๋อร์ เขาคิดเห็นอย่างไร? ”

ลวี่หลีขมวดคิ้ว “คุณหนู บ่าวไม่ใช่พยาธิในท้องของคุณชายน้อยอวี้เสียหน่อย! จะรู้ว่าเขาคิดอย่างไรหรือเจ้าคะ? ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย

เมื่อลวี่หลีเห็นสีหน้าของซูจิ่นซี ท่าทางของลวี่หลีก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น นางแย้มยิ้ม “คุณหนู บ่าวล้อคุณหนูเล่นเจ้าค่ะ! แม้บ่าวจะไม่ใช่พยาธิในท้องของคุณชายน้อยอวี้ ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นเรื่องของบุคคลที่คุณหนูเป็นห่วงเป็นใย หากเกิดอันใดขึ้น บ่าวย่อมให้ความสนใจเป็นพิเศษเจ้าค่ะ! ”

ซูจิ่นซีใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของลวี่หลี “เจ้านี่นะ กล้าเย้าหยอกข้าแล้วหรือเนี่ย! ”

ศีรษะของลวี่หลีโน้มไปตามแรงนิ้วของซูจิ่นซี นางพูดอีกครั้งว่า “คุณหนู บ่าวเพียงเห็นคุณหนูจิตใจเลื่อนลอย เกรงว่าหากคิดมากไปจะเป็นผลเสียต่อท่านอ๋องน้อยเจ้าค่ะ! ”

“เหตุใดเจ้าถึงเป็นเหมือนเยี่ยโยวเหยา ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นชายหรือหญิง ทว่าก็เรียกท่านอ๋องน้อยกันไปเสียแล้ว หรือว่าพวกเจ้าเห็นชายสำคัญกว่าหญิง คาดหวังจะให้เป็นชายเท่านั้น”

“คุณหนู มีเรื่องแบบนี้ที่ใด? จะชายหรือหญิงล้วนเป็นนายน้อยของบ่าวอยู่แล้วเจ้าค่ะ! อีกทั้งบ่าวเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ท่านอ๋องจะต้องพอพระทัยแน่เจ้าค่ะ ขอเพียงคุณหนูคลอดออกมา ท่านอ๋องย่อมพอพระทัยอยู่แล้ว! ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย และจิ้มหน้าผากของลวี่หลีอีกครั้ง

“เหตุใดครั้งนี้เจ้าจึงพูดออกมาโดยไม่รู้สึกเหนียมอายแม้แต่น้อย? ”

ลวี่หลีเอียงศีรษะตามมือของซูจิ่นซี พลางหัวเราะคิกคัก

ซูจิ่นซีหรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าเองก็อย่าพูดไป เกี่ยวกับเรื่องที่เยี่ยโยวเหยาชอบเด็กชายหรือเด็กหญิง ข้าต้องหาโอกาสทดสอบเยี่ยโยวเหยาดูสักครั้ง บางทีเขาอาจจะชอบเด็กชายก็เป็นได้? ”

ต้องทราบว่าในยุคสมัยนี้ แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงนั้นรุนแรงมาก

เมื่อซูจิ่นซีหันไปมองดวงตากลมโตราวกับองุ่นของลวี่หลี ที่กำลังมองมายังตน นางจึงเคาะศีรษะของลวี่หลีไปหนึ่งครั้ง

“กำลังคิดอันใดอยู่? ยังไม่รีบพูดอีก เกิดเรื่องอันใดระหว่างอวี้เอ๋อร์กับหลานเยวี่ยหลี? ”

ลวี่หลีหดศีรษะ และรีบคิดหาถ้อยคำที่เหมาะสม

“ตอนนั้นบ่าวก็ไม่ได้เห็นกับตาตนเอง ทว่าได้ยินมาจากเด็กจัดยาที่หอโอสถเมื่อตอนไปรับยา

พวกเขาพูดกันว่า เดิมที ช่วงเวลาที่แม่นางเยวี่ยหลีไปช่วยงานที่หอโอสถสกุลซู นางไม่ได้จ่ายเทียบยาผิด ฮูหยินปี้ตั้งใจจะจับคู่คุณชายน้อยอวี้กับแม่นางเยวี่ยหลี ฮูหยินปี้จึงปรับตำแหน่งให้แม่นางเยวี่ยหลีไปทำงานที่เดียวกับคุณชายน้อยอวี้ เพื่อให้ทั้งสองคนสนิทสนมกันมากขึ้น

ทว่าคุณชายน้อยอวี้ไม่เคยคิดกับแม่นางเยวี่ยหลีเป็นอื่น ทั้งยังพยายามหลบเลี่ยงแม่นางเยวี่ยหลีตลอดเวลา

หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเรื่องจ่ายเทียบยาผิด แม่นางเยวี่ยหลีจึงจำเป็นต้องออกจากหอโอสถ

เกิดอันใดขึ้นหลังจากนั้น บ่าวก็ไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ”

ขณะที่ลวี่หลีกำลังเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ดวงตาของซูจิ่นซีปรากฏความเคร่งขรึมเล็กน้อย รอจนสิ้นเสียงพูดของลวี่หลี ซูจิ่นซีจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทอดยาว “แม้ข้าไม่ได้ต่อต้านเรื่องที่สตรีไล่ตามจีบบุรุษมากนัก ทว่าเรื่องนี้ข้าต้องบอกว่า สิ่งที่ฮูหยินปี้ทำไปนั้นขาดการไตร่ตรองอยู่บ้าง”

แม้แนวคิดสตรีไล่ตามจีบบุรุษจะเป็นเรื่องปกติในสามพันปีต่อมา ทว่านี่มันยุคโบราณ!

ยุคโบราณที่ยังมีแนวคิดเคารพบุรุษมากกว่าสตรี!