แก้มของลวี่หลีเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอีกครั้ง นางนิ่งเงียบอยู่นานโดยไม่พูดอันใด
หลังจากซูจิ่นซีครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็รู้สึกว่าเรื่องที่ลวี่หลีพูดออกมาไม่มีอันใดผิดปกติ ทว่าภาพวาดในปราสาทโบราณหลานลั่ว นางรำกลางทะเลทราย และคุณหนูจิ่วจวนอี้อ๋องจะต้องไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นแน่นอน
ไม่ได้แล้ว จะต้องไปสืบที่จวนอี้อ๋องสักครั้ง
คืนนี้เยี่ยโยวเหยายุ่งมาก คาดว่ากว่าจะกลับมาก็คงกลางดึก นางจึงใช้โอกาสนี้ไปสืบหาความจริงที่จวนอี้อ๋อง
จากนั้น ซูจิ่นซีจึงสั่งให้ลวี่หลีหาชุดกลางคืนให้นางมาหนึ่งชุด
ลวี่หลีปรนนิบัติสวมเสื้อผ้าให้ซูจิ่นซี พลางพยายามพูดห้ามด้วยท่าทางน่าสงสาร
“คุณหนู หากคุณหนูไม่คิดถึงตนเอง ก็ควรคิดถึงท่านอ๋องน้อยด้วยนะเจ้าคะ! ตอนนี้คุณหนูไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น! ”
“คุณหนูฟังคำทัดทานของบ่าวสักครั้ง! หากท่านอ๋องทรงทราบเข้า ท่านอ๋องต้องกริ้วมากทีเดียว ไม่แน่ว่า… ไม่แน่ว่า อาจตีบ่าวจนตายก็ได้นะเจ้าคะ”
“เจ้าเป็นบ่าวของข้า เขากล้าเฆี่ยนเจ้าจนตายหรือ? ”
“ต่อให้ไม่เฆี่ยนบ่าวจนตาย ทว่าคุณหนูอย่าไปเลยเจ้าค่ะ! คุณหนูตรึกตรองให้รอบคอบนะเจ้าคะ! ”
“ลวี่หลี เจ้าแยกไม่ออกว่าผู้ใดเป็นเจ้านายของเจ้ากันแน่หรือ? หากเจ้ายังพูดพล่ามอยู่เช่นนี้ ไม่ต้องรอให้เยี่ยโยวเหยาลงมือ ข้าจะจัดการเจ้าเสียก่อน! ”
ลวี่หลีหุบปากในทันที ไม่กล้าพูดอันใดอีก
นางจะสามารถหยุดสิ่งที่ซูจิ่นซีตัดสินใจไปแล้วได้อย่างไร
ทว่าหลังจากสวมชุดเดินทางกลางคืนเสร็จแล้ว ทุกอย่างเตรียมพร้อม เมื่อผลักประตูออกไป เสียงที่น่าเย้ายวนพราวเสน่ห์ก็ดังมาจากด้านบน
“แม่นางพิษน้อย เจ้าใจร้ายเกินไปแล้ว เรื่องเช่นนี้จะขาดพี่จุนไปได้อย่างไร เจ้าควรส่งข่าวให้พี่จุนรู้บ้าง! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันมองไปตามเสียง ก่อนจะเห็นอู๋จุนในชุดสีแดงลายเมฆภายใต้แสงจันทร์สว่างไสว เขานอนเอามือพาดศีรษะอยู่บนชายคาฝั่งตรงข้าม
อู๋จุนสบตาซูจิ่นซี ก่อนจะเหาะลงมาจากชายคา ลงมาอยู่เบื้องหน้านาง
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”
“พี่จุนมีญาณทิพย์ ล่วงรู้อดีตและอนาคต! จากการคำนวณของพี่จุน คืนนี้เจ้าต้องไปจวนอี้อ๋องแน่นอน ข้าจึงรอเจ้าอยู่ที่นี่ เพื่อไปพร้อมกับเจ้า! ”
แท้จริงแล้ว หากเป็นไปได้ อู๋จุนจะคอยคุ้มครองซูจิ่นซีอยู่ไม่ไกลมาตลอด ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สว่างไสวหรือค่ำคืนที่มืดมิดและหนาวเหน็บ ทว่าซูจิ่นซีไม่รู้ก็เท่านั้น!
อย่างไรก็ตาม นางรู้ดีว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางไม่มีทางสลัดอู๋จุนออกไปได้แน่ หากล่าช้าไปกว่านี้ เกรงว่ารอจนเยี่ยโยวเหยากลับมา เรื่องไปสืบจวนอี้อ๋องคงยากยิ่งขึ้นไปอีก
นางจึงพูดว่า “มีเพิ่มอีกคนก็ดี ในเมื่อต้องการไป ก็ไปด้วยกัน! ”
พูดจบ ซูจิ่นซีก็เดินอ้อมออกไปทันที
“ตกลง! ” อู๋จุนตอบตกลงเสียงดังมีความสุข และเดินตามซูจิ่นซีไป
หลังจากทั้งสองออกจากที่พัก ก็เดินไปตามเส้นทางที่จำได้ในตอนกลางวัน ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงถนนด้านนอกจวนอี้อ๋อง
องครักษ์หน้าประตูมีมากกว่าในเวลากลางวัน เห็นได้ชัดว่าการจะเข้าไปในจวนอี้อ๋องจากถนนสายนี้คงเป็นไปไม่ได้แน่ ทั้งสองจึงพุ่งเป้าไปที่ประตูด้านข้างกำแพงที่อยู่ไม่ไกลนัก โดยคิดว่าแอบเข้าไปในจวนอี้อ๋องจากจุดนั้นคงมีองครักษ์ไม่มากนัก
สถานที่ที่ทั้งสองเข้ามาเป็นเรือนชั้นในของจวนอี้อ๋อง องครักษ์ที่คอยเดินตรวจภายในจวนมีน้อยกว่าด้านนอก จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาถึงข้างสระบัวแห่งหนึ่ง
โดยทั่วไปแล้ว สถานที่เช่นนี้จะอยู่ศูนย์กลางของจวน พวกเขาเข้ามาอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางแล้ว ทว่ารอบด้านมีเรือนหลายหลัง เรือนใดเป็นเรือนของคุณหนูจิ่วกันแน่?
ซูจิ่นซีแสดงท่าทางด้วยมือไปทางอู๋จุน เพื่อให้ทั้งสองแยกกันออกไปตามหา อู๋จุนไปหาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซูจิ่นซีไปหาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้
ทว่าหลังเดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไม่กี่ก้าว ซูจิ่นซีก็รู้สึกว่ามีคนตามมาจากด้านหลัง นางหันศีรษะไปดู พบว่าเป็นอู๋จุน
นางจงใจลดเสียงต่ำและถามว่า “เจ้ามาทำอันใดที่นี่ ข้าบอกให้เจ้าไปหาทางตะวันออกเฉียงเหนือมิใช่หรือ? เจ้าตามข้ามาเพื่ออันใด? ”
อู๋จุนลดเสียงต่ำเช่นกัน “เราสองคนตามหาพร้อมกัน แยกกันตามหาโดยลำพัง พี่จุนไม่วางใจ”
ซูจิ่นซีพูดอย่างช่วยไม่ได้ “จะกังวลเรื่องอันใด? ” ในด้านวรยุทธ์ นางสูงส่งกว่าอู๋จุนมาก
อู๋จุนหัวเราะ แหะ แหะ “พี่จุนเป็นคนขี้ขลาด หากพี่จุนตกอยู่ในอันตรายจะทำอย่างไร? ไม่มีเจ้าอยู่ข้างกาย ผู้ใดจะปกป้องข้า? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น “ถึงเวลานี้แล้ว เจ้ายังพูดจาเลอะเลือนอยู่อีก! ”
ทั้งสองกำลังสนทนากัน ทันใดนั้น เสียงเครื่องลายครามแตกก็ดังมาจากเรือนที่อยู่ด้านหน้า เพราะพวกเขาอยู่ห่างจากเรือนหลังนั้นค่อนข้างใกล้ อีกทั้งเสียงนั้นยังดังอย่างชัดเจน พวกเขาจึงได้ยินเสียงชัดมาก
จากนั้น เสียงสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้น “พวกบ่าวโง่ พวกไร้ประโยชน์! เจ้าคิดจะลวกข้าให้ตายหรือ? ”
เสียงนี้ฟังคุ้นหูอย่างมาก
ซูจิ่นซีกับอู๋จุนมองหน้าอย่างเห็นพ้องต้องกัน จากนั้นจึงย่องไปที่เรือนหลังนั้น ทั้งสองหาที่สะดวกเพื่อขึ้นไปบนหลังคาเรือนหลังนั้น
จากที่สูง พวกเขาเห็นทุกอย่างภายในเรือนอย่างชัดเจน
แม้จะเป็นเรือนแบบเดี่ยว ทว่าเล็กกว่าเรือนอื่นมาก ภายในเรือนมีสวนดอกไม้มากมาย ล้วนตกแต่งและประดับประดาอย่างประณีตงดงาม
ใต้ต้นเหมยภายในเรือน มีสตรีนางหนึ่งสวมชุดสูงศักดิ์และสาวใช้อีกจำนวนหนึ่ง
สาวใช้ทั้งหมดต่างก้มศีรษะคุกเข่าลงกับพื้น ไม่กล้าส่งเสียง หนึ่งในนั้นคุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เนื้อตัวสั่นเทา มีถ้วยแตกอยู่ข้างกายนาง
“คุณหนู ไว้ชีวิตบ่าวด้วยเถิด คุณหนู บ่าวไม่ได้ตั้งใจ คุณหนูไว้ชีวิตบ่าวด้วย! ”
“ไม่ได้ตั้งใจหรือ เช่นนั้นเจ้าภักดีซื่อสัตย์หรือ? ว่ามา ใครส่งเจ้ามาทำร้ายข้ากันแน่? ”
“คุณหนู ไม่ใช่ บ่าวไม่ใช่ ไม่มีใครส่งบ่าวมาเจ้าค่ะ บ่าวอยู่ปรนนิบัติข้างกายคุณหนูมาตลอด คุณหนู บ่าวไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เจ้าค่ะ! ”
“ไม่พูดใช่หรือไม่? ได้ เจ้าไม่พูด ดูกันว่าข้าจะทำให้เจ้าพูดได้อย่างไร! ”
นางพูดพลางหยิบแส้บนโต๊ะหินด้านข้าง และฟาดไปที่บ่าวรับใช้ผู้นั้น
สตรีนางนั้นลงมือโหดเหี้ยม ทุกครั้งที่นางฟาดลงไป แส้จะแหวกผ่านลมและฟาดลงบนร่างของสาวใช้ผู้นั้นจนเสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อของนางปริแตก
ในไม่ช้า เสียงกรีดร้องอันน่าสลดใจก็ดังขึ้นจากเรือนหลังนั้น สาวใช้คนอื่นตัวสั่นเทา ต่างก้มศีรษะลงต่ำจนติดแนบพื้น
แม้แสงจันทร์จะมืดสลัวเล็กน้อย นอกจากเงาของคนจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดได้เลย ทว่าสายตาของซูจิ่นซีเฉียบแหลม นางสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสตรีที่เฆี่ยนสาวใช้ผู้นั้นคือคุณหนูจิ่วแห่งจวนอี้อ๋อง คนที่นางเห็นบนถนนทางเข้าประตูเมืองเมื่อตอนกลางวัน
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วรุนแรง
นางมีใบหน้าเหมือนกับหลานเยวี่ยหลีมาก ทว่าการกระทำของนางกลับตรงข้ามกับหลานเยวี่ยหลี รวมถึงอุปนิสัยก็ยังโหดร้าย หยิ่งผยอง และวางอำนาจ
ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกหัวใจเย็นวาบ
นางใช่หลานเยวี่ยหลีหรือไม่?