หลังจากซวนหยวนและเทียนซ่งจากไป หลิงตู้ฉิงจึงไปหาหลิงยี่เทียนเพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องการบุกอาณาเขตอื่น ๆ ในอนาคต “เดี๋ยวพ่อจะทำการสร้างมหาค่ายกลระดับศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องทั้งอาณาเขตนภาเอาไว้ เพื่อคอยป้องกันไม่ให้พวกตำหนักดับเซียนเข้ามาสร้างปัญหาให้กับเจ้าได้ถึงที่นี่ หากพวกเขาผ่านมหาค่ายกลเข้ามาเมื่อไหร่พวกเขาจะตายในทันที”
“ส่วนเจ้าเอง ช่วงนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งออกไปไหนเพราะตำหนักดับเซียนยังคงเป็นภัยคุกคามใหญ่สำหรับเจ้า ถึงแม้ว่าอาณาจักรของเจ้าจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่มากพอที่พวกเขาจะปกป้องเจ้าได้เต็ม 10 ส่วน เอาไว้เจ้ารอจนกว่าเผ่าภูตดินจะส่งภูตดินขอบเขตมหาจักรพรรดิเข้ามาเพิ่ม เมื่อนั้นหากเจ้าจะออกไปไหนพ่อก็จะไม่ว่า”
หลิงยี่เทียนหัวเราะ “ท่านพ่อ อันที่จริงข้าเพิ่งได้รับการสนับสนุนจากยอดเขาหยกจักรพรรดิ ซึ่งพวกเขากำลังจะส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิมาให้กับข้า 2 คน”
“2 คนมันพอซะที่ไหนกัน!” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เจ้าจงไปเผยตัวของเจ้ากับพวกยอดเขาหยกจักรพรรดิว่าแท้จริงแล้วเจ้ามีสายเลือดของราชันมวลมนุษย์ และบอกให้พวกเขาส่งคนมาเพิ่มเติม พร้อมกับให้ส่งบรรดาผู้คนที่บ่มเพาะเต๋าดวงใจจักรพรรดิมาให้เจ้าด้วย เพื่อที่เจ้าจะได้ใช้พวกเขาให้ขยายอาณาเขตให้กับเจ้าเหมือนแบบที่เจ้าสั่งกับหยูไท่ฉวน”
“พวกเขาจะฟังข้าเหรอท่านพ่อ?” หลิงยี่เทียนถามกลับ
“ยอดเขาหยกจักรพรรดิแท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในสาขาของทำเนียบราชันมนุษย์ ซึ่งหน้าที่หลัก ๆ ของพวกเขาก็คือคอยช่วยสนับสนุนผู้ที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์” หลิงตู้ฉิงอธิบาย “ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เจ้าเผยความจริงกับพวกเขาว่าเจ้ามีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ พวกเขาย่อมสนับสนุนเจ้าอย่างสุดตัว แต่ก่อนที่พวกเขาจะสนับสนุนเจ้าอย่างสุดตัว เจ้าเองจะต้องถูกพวกเขาทดสอบเช่นกัน ซึ่งตรงนี้เจ้าอาจจะต้องรับมือกับพวกเขาให้ดี”
หลิงยี่เทียนพยักหน้าและถามขึ้นว่า “หากพวกเขาสนับสนุนข้าอย่างหมดใจจริง ๆ ถ้างั้นข้าใช้ให้พวกเขาลองสืบเรื่องสภาอสูรสวรรค์กับอาณาจักรผู้กล้าได้ใช่ไหมท่านพ่อ?”
“เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก หากเจ้าจะใช้พวกเขาก็ย่อมได้ แต่เจ้าเองก็ต้องเลือกคนให้ดี ๆ เอาที่มีความสามารถและภักดีต่อเจ้าอย่างสุดหัวใจเท่านั้นให้มารับหน้าที่นี้” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ชื่อสองชื่อนี้นั้นสำคัญกับเผ่าอสูรเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นลิงเชื่อมวิญญาณนั่นคงจะไม่เก็บสองชื่อนี้ไว้ในห้วงความทรงจำส่วนลึกที่สุดของมัน แถมเมื่อมันรู้ว่าพ่อเห็นชื่อเหล่านี้มันก็รีบฆ่าตัวตายทันทีเพื่อปกปิด”
“ข้าทราบแล้วท่านพ่อ” หลิงยี่เทียนพยักหน้า “อ๋อท่านพ่อ เมื่อวันก่อนเกาหยูและนักเรียนที่ท่านเคยสอนคนอื่น ๆ มาพบกับข้าและแจ้งกับข้าว่าพวกเขาอยากจะขอพบกับท่าน ท่านสะดวกที่จะเจอกับพวกเขาไหม?”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ได้สิ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของพ่อ แต่พวกเขาก็คือคนที่พ่อเคยชี้แนะให้ ดังนั้นการเจอพวกเขาสักหน่อยก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลว”
นับตั้งแต่ที่เขาลงมาเกิดใหม่ หลิงตู้ฉิงในตอนนี้มีศิษย์ที่แท้จริงเพียงคนเดียว ซึ่งก็คืออุลบา และศิษย์ในนามของเขาก็มีแค่คนเดียวเหมือนกัน ซึ่งก็คือหนานกงหลิง
ส่วนบรรดานักเรียนของเขานั้นเขาไม่นับคนเหล่านั้นว่าเป็นศิษย์ของตัวเอง เพราะถึงแม้ว่าเขาจะชี้แนะแนวทางการบ่มเพาะไปบ้าง แต่หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้ใส่ใจพวกนักเรียนเหล่านั้นอีก..
อย่างไรก็ตาม พวกนักเรียนเหล่านั้นก็ถือว่าโชคดีเป็นอย่างมากที่เคยได้รับการชี้แนะจากเขาไป
ตราบใดที่นักเรียนเหล่านั้นไม่เกียจคร้าน อนาคตของพวกเขาทั้งหลายก็คงไม่มีทางด้อยไปกว่าเหล่าอัจฉริยะจากสำนักระดับสูง
เมื่อได้รับคำอนุญาตให้เข้าพบกับหลิงตู้ฉิงได้ เกาหยูและคนอื่น ๆ ที่เคยเป็นนักเรียนของหลิงตู้ฉิงก็พากันมาเข้าพบด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ในใจของพวกเขา พวกเขาต่างรู้สึกเคารพและสำนึกในบุญคุณของหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากในอดีตพวกเขาไม่ได้รับการชี้แนะจากหลิงตู้ฉิง วันนี้พวกเขาคงไม่ประสบความสำเร็จกันแบบนี้แน่นอน
ดังนั้นเมื่อพวกเขาพบกับหลิงตู้ฉิงอีกครั้ง พวกเขาจึงคุกเข่าลงคำนับด้วยความบริสุทธิ์ใจ
“ลุกขึ้นเถอะ!” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “พวกเจ้าก้าวหน้ากันไปมากจริง ๆ ไม่เสียแรงที่ข้าเคยชี้แนะให้กับพวกเจ้า! เกาหยู ตอนนี้เจ้าอยู่ในระดับนักบุญแล้วสินะ เจ้าน่าจะบ่มเพาะเร็วที่สุดในรุ่นแล้วใช่ไหม? แต่ข้าต้องย้ำเตือนเรื่องหนึ่งให้เจ้าจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่า วิชาปีศาจศักดิ์สิทธิ์กลืนสวรรค์นั้นไม่ใช่วิชาที่ชั่วร้ายโดยสมบูรณ์ แต่มันก็ไม่ใช่วิชาสายธรรมะเช่นกัน ดังนั้นจะดีหรือว่าจะเลวย่อมขึ้นอยู่ที่การกระทำของเจ้าทั้งหมด จงอย่าลืมเจตจำนงแรกที่เป็นแรงผลักดันให้เจ้าบ่มเพาะมัน ไม่เช่นนั้นชะตากรรมของเจ้าจะจบลงอย่างน่าอนาถ”
“หลูหลิง เจ้าจงคำของข้าเอาไว้เช่นกัน ไม่ว่าจะโลกนี้หรือว่าโลกไหน ๆ ล้วนมีแต่พิษมากมายหลากหลายอยู่เต็มไปหมด แต่พิษที่ร้ายแรงที่สุดนั้นยังไม่อาจทัดเทียมได้เท่ากับใจของมนุษย์! เจ้าจงใช้เส้นทางเต๋าแห่งพิษเข้าใจในความรู้สึกนี้ให้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นอนาคตของเจ้านั้นจะกลายเป็นไม่ต่างอะไรกับเหล่าผู้บ่มเพาะพิษธรรมดา ๆ ที่เอาแต่เล่นกับพิษไปวัน ๆ”
“จิ๋นชาน เคล็ดวิชาที่ข้ามอบให้เจ้านั้นมันมีบ่วงกรรมผูกมัดเอาไว้อยู่ เอาไว้เดี๋ยวข้าจัดการกับเรื่องต่าง ๆ เสร็จเมื่อไหร่ข้าจะพาเจ้าไปบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์!”
“แต่ข้าเตือนเจ้าไว้อย่างว่าเจ้าอย่าได้กลายเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์คนอื่น ๆ ที่ละทิ้งไปหมดซะทุกอย่าง เจ้าจงเอาแนวทางปฏิบัติอันดีงามของการเป็นพระโพธิสัตว์มาใช้ร่วมกับความเป็นตัวตนของเจ้าเอง อันที่จริงพอพูดถึงตรงนี้ข้าคิดว่าเจ้าอย่าไปภูมิภาคอี้ซางกับข้าจะดีกว่า ที่นั่นมันมีแต่พวกจิตใจตายด้านละทิ้งทุกสิ่งไปจนหมด ขืนข้าให้เจ้าไปที่นั่นข้าเกรงว่ามันจะเป็นผลเสียต่อเจ้ามากกว่าจะได้ประโยชน์!”
“… …”
หลิงตู้ฉิงไล่ชี้แนะไปทีละคนเรื่อย ๆ ตามความเหมาะสมกับเส้นทางการบ่มเพาะของพวกเขา
หลังจากหลิงตู้ฉิงชี้แนะให้กับเหล่านักเรียนของเขาจนครบทุกคน เขาจึงพูดขึ้นว่า “ส่วนเรื่องของศาลาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อไหร่ที่พวกเจ้าแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว พวกเจ้าทุกคนจงกลับไปที่นั่นและทิ้งมรดกของพวกเจ้าเอาไว้สักหน่อย! ที่นั่นคือสถานที่ที่พวกเจ้าเริ่มต้น ดังนั้นพวกเจ้าควรจะทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับชนรุ่นหลังให้พวกเขาสามารถตามรอยพวกเจ้าได้สืบต่อไป ด้วยสิ่งนี้จะยิ่งทำให้พวกเจ้ามีอนาคตที่สดใสมากขึ้น”
เหล่านักเรียนทั้งหลายต่างพยักหน้าและตอบกลับอย่างพร้อมเพรียง “น้อมรับบัญชาอาจารย์หลิง!”
นอกเหนือจากการมาทำความเคารพ เหตุผลที่พวกเขามาอีกอย่างก็คือการมาแสดงให้หลิงตู้ฉิงเห็นว่าพวกเขาพัฒนาไปขนาดไหนแล้ว และถ้าหากเป็นไปได้พวกเขาก็อยากให้หลิงตู้ฉิงชี้แนะให้พวกเขาเพิ่มอีกสักหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้เมื่อพวกเขาได้รับการชี้แนะกันทุกคน พวกเขาจึงรู้สึกเบิกบานกันเป็นอย่างมาก จากนั้นพวกเขาจึงขอตัวลาแยกย้ายกันไปบ่มเพาะกันต่อ
หลังจากคนอื่น ๆ จากกันไปหมดแล้ว หลิงตู้ฉิงจึงเริ่มหยิบวัสดุจำนวนมากออกมาจากแหวนมิติ และทำการปรับแต่งพวกมันเพื่อใช้พวกมันในการสร้างมหาค่ายระดับศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมันจะคอยปกป้องอาณาเขตนภาเอาไว้ตลอดกาลจากเหล่าศัตรู