บทที่ 809 เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
หลังจากอาณาจักรอ้าวเฟิงและสำนักไร้ขอบเขตถูกทำลายลง ข่าวเรื่องนี้ก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้คนจำนวนมากรู้สึกตกตะลึงและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
ทั้งสำนักหรือผู้คนที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตใกล้เคียงกับป่าภูตนางฟ้านั้นมีจำนวนไม่น้อยที่เคยเกี่ยวข้องกับการรังแกพวกเผ่าภูตนางฟ้า
ดังนั้นเมื่อพวกเขารู้ว่าการล่มสลายนั้นเป็นผลพวงจากการแก้แค้นของพวกภูตนางฟ้า พวกเขาจึงพากันหวาดกลัวและส่วนใหญ่ต่างก็ตัดสินใจหลบหนีไปให้ไกลในทันที
ในทางกลับกัน หลิงตู้ฉิง ผู้ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่นั้นไม่ได้มีความคิดว่าจะออกไปไล่ฆ่าคนต่อแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาคิดว่าสิ่งที่เขาเพิ่งลงมือทำลงไปมันมากเพียงพอแล้วสำหรับเผ่าภูตนางฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นการทำลายกองกำลังที่ล้อมรอบป่าภูตนางฟ้า ทั้งการติดตั้งประตูเคลื่อนย้ายเพื่อให้พวกนางสามารถขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรจันทราได้รวมไปถึงบรรดาสมบัติที่ได้จากสำนักไร้ขอบเขตอีก ถ้าหลังจากนี้เผ่าภูตนางฟ้ายังเอาตัวไม่รอดอีก เขาก็จะปล่อยให้พวกนางตายไปตามยถากรรม
“นับจากนี้เจ้าจงดูแลเผ่าของเจ้าเอง” หลิงตู้ฉิงพูดกับจักรพรรดินีภูตนางฟ้า “จุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่นั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนวิชาผีเสื้อยมโลกเริงระบำเมื่อถึงเวลาเมื่อไหร่ข้าจะให้ลั่วเอ๋อมาถ่ายทอดให้กับพวกเจ้า เมื่อถึงเวลานั้นหากเจ้าใช้มันกับปีกเทพสังหาร ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังไหนที่อยากจัดการกับพวกเจ้า ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะต้องคิดกันอยู่หลายตลบ ส่วนเรื่องอื่น ๆ หากเจ้ามีปัญหาอะไรก็จงแจ้งไปยังลูกชายของข้ายี่เทียน เอาล่ะข้าขอตัวก่อน!”
จักรพรรดินีภูตนางฟ้าโค้งคำนับด้วยสีหน้าเคารพ “ขอบพระทัยองค์เหนือหัวที่เมตตาเผ่าภูตนางฟ้าของข้า!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและโบกมือลาพลางเดินหายเข้าไปในประตูเคลื่อนย้ายกลับไปที่คฤหาสน์สราญรมย์ทันที
ส่วนพวกของเทียนซ่ง ซวนหยวน และบรรพบุรุษของสำนักมหาอำนาจคนอื่น ๆ ที่ต่างก็เข้าร่วมกับหลิงตู้ฉิงเรียบร้อยแล้วโดยที่พวกเขาไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ต่างก็รู้สึกจนใจ และตามหลิงตู้ฉิงกลับไปที่คฤหาสน์สรารมย์เพื่อที่พวกเขาจะได้ถามแผนการในอนาคตต่อไปว่าพวกเขาต้องทำอะไรต่อ
แต่แล้วเมื่อพวกเขาผ่านประตูเคลื่อนย้ายไปโผล่ที่คฤหาสน์สราญรมย์ พวกเขาทุกคนก็ได้เห็นหมาสีทองตัวหนึ่งนอนอยู่ไม่ไกล ซึ่งซวนหยวนและคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันแม้แต่น้อย ยกเว้นก็แต่เซียงกวนที่รู้สึกหนาวไปจนถึงกระดูกสันหลัง
เขาไม่นึกเลยว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เคยอยู่หลังสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเขาแท้จริงแล้วจะมานอนเฝ้าบ้านให้กับหลิงตู้ฉิงแบบนี้!
เห็นเช่นนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจได้อีกอย่างหนึ่งว่า ทำไมหลิงตู้ฉิงถึงดูไม่เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของบ้านเขาเลยเมื่อเวลาเดินทางออกไปข้างนอกนาน ๆ..
ด้วยหมาตัวนี้ที่คอยปกป้องอาณาจักรจันทราอยู่ มันคงไม่มีใครสามารถทำอะไรอาณาจักรนี้ได้จริงไหม?
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ซวนหยวนและบรรพบุรุษของสำนักมหาอำนาจอื่น ๆ ที่ตามมาพบเขาถึงในคฤหาสน์สราญรมย์ และพูดว่า “ข้ารู้เหตุผลที่พวกเจ้ามาหาข้าและในเมื่อพวกเจ้าร่วมมือกับข้าแล้ว ดังนั้นข้าเปิดเผยความลับอย่างหนึ่งให้พวกเจ้ารู้ อันที่จริงลูกชายของข้า หลิงยี่เทียน นั้นมีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ ซึ่งในอนาคตเขาจะขึ้นรับตำแหน่งราชันแห่งมวลมนุษย์ได้แน่นอน”
“ดังนั้นพวกเจ้าที่เป็นมนุษย์หากร่วมมือกับลูกชายของข้า เมื่อถึงเวลาพวกเจ้าจะได้รับประโยชน์กันอย่างมหาศาล พวกเจ้าคงเข้าใจความหมายที่ข้าพูดใช่ไหม?”
เทียนซ่งและเซียงกวนแสดงสีหน้าลังเล แต่ซวนหยวนกลับยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “สำนักเต๋าสวรรค์คือสำนักของผู้บ่มเพาะเต๋า ดังนั้นถ้าจะให้พวกเราร่วมทัพโดยตรงกับอาณาจักรจันทรานั้นมันย่อมเป็นอะไรที่ขัดกับหลักการของพวกเราสักหน่อย เอาเป็นว่าข้าจะส่งคนมาที่อาณาจักรจันทราก็แล้วกัน แต่ไม่ใช่ในฐานะเป็นทหาร แต่เป็นในฐานะผู้ติดตามของว่านถิง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นนางอาจจะให้พวกเขาช่วยเหลือน้องชายรับมือกับศัตรูหรืออะไรก็แล้วแต่นาง ถ้าทำแบบนี้มันก็ถือว่าไม่ผิดหลักเกณฑ์ของพวกเรา”
“แบบนั้นก็ได้เช่นกัน!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ข้าจะให้ยี่เทียนคุยเรื่องนี้กับว่านถิงเอง”
เทียนซ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “ถ้างั้นสำหรับสันเขาทรราชของข้า ข้าจะส่งผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากขึ้นให้มาคอยติดตามยู่ชานก็แล้วกัน ซึ่งยู่ชานจะมีอำนาจสั่งการพวกเขาอย่างเต็มที่ ด้วยวิธีนี้หากยู่ชานจะสั่งให้ผู้ติดตามช่วยเหลือน้องของเขามันก็จะดูไม่แปลกอะไร”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและตอบกลับ “ถ้างั้นเรื่องนี้เจ้าจะต้องไปปรึกษากับยู่ชานก่อน ซึ่งเขาจะต้องเต็มใจเท่านั้นเจ้าถึงจะทำแบบนั้นได้”
ในเวลาเดียว เซียงกวนก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าขมขื่น “ทางด้านสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเราหากจะให้ชิงเฉิงออกหน้าแทนมันก็คงจะไม่งามสักเท่าไหร่ ดังนั้นข้าคิดว่าท่านคงจะต้องส่งคนของท่านเองที่ท่านไว้ใจพร้อมกับทหารให้เดินทางไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเรา เพื่อที่พวกเราจะได้ร่วมมือกันในการไล่ยึดอาณาเขตรอบ ๆ อาณาเขตอักขระศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่มันจะเป็นการดีที่สุดที่ชิงเฉิงจะมีลูกชายสักคน…”
ถึงแม้เซียงกวนจะยกประเด็นทายาทขึ้นมา แต่เขาก็ไม่กล้าพูดต่อเพราะตรงนี้มีผู้คนอยู่เยอะแยะ ซึ่งการที่เขาหยิบเรื่องใต้สะดือขึ้นมาพูดแบบนี้มันย่อมไม่เหมาะเท่าไหร่
หลิงตู้ฉิงไม่ได้ใส่ใจประเด็นเรื่องทายาทของเซียงกวนแม้แต่น้อย เขาครุ่นคิดอยู่สักพักและพูดว่า “ถ้างั้นไว้รอให้ข้าถามยี่เทียนก่อนว่าควรส่งใครไปดี และเมื่อได้คำตอบแล้วข้าจะส่งรายละเอียดเพิ่มเติมให้กับเจ้า”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ หลังจากข้ากลับไป ข้าจะไปเตรียมคนในสำนักให้พร้อมทำสงครามโดยเร็วที่สุด” เซียงกวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจนใจ
อันที่จริงหากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากที่จะส่งคนของเขาออกไปสู้รบ
ถึงแม้ว่าการรบในยุคนี้สำนักของเขาจะได้รับการสนับสนุนจากหลิงตู้ฉิง แต่มันเป็นเพราะหลิงตู้ฉิงที่สนับสนุนพวกเขามันจึงทำให้สงครามที่กำลังจะบังเกิดขึ้นในอนาคตมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น!
อย่างไรก็ตามเมื่อเขานึกถึงเรื่องที่หลิงยี่เทียนนั้นมีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ เขาจึงอยากจะลองดูสักตั้งเช่นกัน!
ในทางกลับกัน เฟิงปิงพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าจริงจังว่า “องค์เหนือหัว อันที่จริงภูเขาฟีนิกซ์ของข้าพร้อมมานานแล้ว แต่ด้วยเหตุผลที่แดนกระดูกขาวยังดำรงอยู่มันจึงทำให้พวกเราเคลื่อนทัพใหญ่ได้ลำบากมาก หากแดนกระดูกขาวยังไม่ได้รับการแก้ไขอยู่แบบนี้ ข้าเกรงว่าพวกเราคงจะไม่อาจร่วมการรบที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างเต็มกำลัง!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ไม่ต้องกังวล ข้าจะแก้ไขปัญหาแดนกระดูกขาวให้กับพวกเจ้าแน่นอน ตอนนี้พวกเจ้าก็ตั้งใจบ่มเพาะเพื่อเตรียมตัวสู้ศึกในอนาคตกันไปก่อน ข้ารับประกันได้เลยว่าการรบในยุคนี้มันจะน่าตื่นเต้นมากกว่ายุคที่แล้วแน่นอน!”
คนอื่น ๆ ที่ได้ยินเช่นนี้ต่างก็แสดงสีหน้าเหนื่อยใจพร้อมกับคิดว่า น่าตื่นเต้นงั้นเหรอ? น่าสะพรึงกลัวมากกว่าต่างหาก!