นางมาจากเรือนเย่ฉ่าวของสวนน้ำค้างวสันต์ บิดาคือหนึ่งในผู้ถวายงานของสวน อีกทั้งยังรู้จักวิธีหาเงิน จัดการดูแลรากภูเขาครึ่งเส้นของสวนน้ำค้างวสันต์ คือเซียนดินโอสถทองที่สูงส่งเหนือใครในสายตาของราชวงศ์และกษัตริย์อัครเสนาบดีในโลกมนุษย์ ยามลงจากภูเขา ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ล้วนเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ของจวนชนชั้นสูงและตระกูลเซียนบนภูเขา ครั้งนี้นางลงจากภูเขามาก็เพื่อเชื้อเชิญคุณชายผู้มีบรรดาศักดิ์ที่อยู่ข้างกายคนนี้ให้เดินทางไปร่วมงานเลี้ยงฉลองอำลาวสันต์ของงานชุมนุมในสวนน้ำค้างวสันต์โดยเฉพาะ
เลียบมหาสมุทรของตะวันตกเฉียงใต้มีราชวงศ์ต้ากวานอยู่แห่งหนึ่ง ลำพังเพียงแค่แคว้นใต้อาณัติที่ห้อมล้อมก็มีถึงสามแคว้น คุณชายหนุ่มมีชาติกำเนิดมาจากจวนเถี่ยชงซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลชนชั้นสูงขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลที่สุดในราชสำนัก คนในตระกูลสืบทอดบรรดาศักดิ์กันมาทุกยุคทุกสมัย เดิมทีต่างก็เป็นขุนนางในเมืองหลวง ทว่าตอนที่เว่ยอิงเจ้าประมุขคนปัจจุบันยังเป็นหนุ่มได้โยนพู่กันเดินหน้าเข้าสู่สนามรบ และนั่นได้เป็นการบุกเบิกความรุ่งโรจน์อย่างใหม่ให้แก่ตระกูล ตอนนี้ในมือกุมอำนาจทางการทหาร คือเสาคานอันดับหนึ่งแห่งด่านชายแดน บุตรชายคนโตเป็นขุนนางในราชสำนัก แล้วก็ได้เป็นรองเจ้ากรมของกรมหนึ่งแล้ว ส่วนคุณชายเว่ย เว่ยป๋ายผู้นี้ ในฐานะบุตรชายคนเล็กของแม่ทัพใหญ่ นับตั้งแต่เด็กก็ได้รับความรักการพะเน้าพะนอเอาใจ อีกทั้งตัวเขาเองก็เป็นคนหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่ฝึกตนได้ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในราชสำนัก ถึงขั้นมีเรื่องเล่าขานที่งดงามอย่างหนึ่งบอกว่า มีครั้งหนึ่งบรรพจารย์ก่อกำเนิดท่านหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์ได้ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์อย่างที่ไม่ค่อยจะทำบ่อยนัก เมื่อเดินทางผ่านจวนเถี่ยชงของตระกูลเว่ย เขามองคู่พ่อลูกที่เปิดประตูใหญ่ให้การต้อนรับอย่างเต็มมารยาทพิธีการ ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า วันนี้เมื่อได้พบพวกเจ้าสองพ่อลูก ยามที่แนะนำแก่คนนอกแล้วพูดถึงเว่ยป๋าย ก็ยังคงต้องบอกว่าคือบุตรชายของแม่ทัพใหญ่เว่ยอิง แต่ไม่ถึงสามสิบปี ยามที่คนนอกพบพวกเจ้าพ่อลูกก็มีแต่จะพูดว่า เว่ยอิงคือบิดาของเว่ยป๋ายแล้ว
แม่ทัพใหญ่เว่ยอิงหัวเราะเสียงดังอย่างปิติยินดี ก็ไม่แปลกที่เขาจะชอบใจขนาดนี้ เพราะถึงอย่างไรบรรพจารย์แห่งสวนน้ำค้างวสันต์ก็ไม่ค่อยจะชมใครง่ายๆ
เว่ยป๋ายได้รับคำชื่นชมจากปากบรรพจารย์ก่อกำเนิดคนหนึ่ง การที่อีกฝ่ายยอมรับในพรสวรรค์ด้านการฝึกตนของเขาก็ยิ่งทำให้คนทั่วทั้งราชสำนักพากันอิจฉา แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังออกพระราชโองการมอบสมบัติหนักชิ้นหนึ่งในคลังลับให้แก่จวนเถี่ยชงโดยเฉพาะ ด้วยหวังว่าเว่ยป๋ายจะยิ่งขยันหมั่นเพียร ตั้งใจฝึกตน ได้กลายเป็นเสาคานค้ำยันแคว้นในเร็ววัน
อันที่จริงนางกับเว่ยป๋ายไม่ถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันสักเท่าไร
คราแรกที่คนทั้งสองได้รู้จักกัน ทางจวนเถี่ยชวงก็ตั้งใจจะจับคู่ให้พวกเขาอยู่แล้ว แม่ทัพใหญ่เว่ยอิงพูดต่อหน้านางว่า พวกเขาคือคู่รักเทพเซียนที่สวรรค์สรรค์สร้าง เพียงแต่ว่าเวลานั้นบรรพจารย์ผู้เฒ่าของสวนน้ำค้างวสันต์ยังไม่ได้ลงจากภูเขามาเยี่ยมเยือนราชวงศ์ต้ากวาน บิดาของนางจึงไม่ใคร่จะยินดีนัก รู้สึกว่าเว่ยป๋ายที่ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต อนาคตยากจะคาดเดา เพราะถึงอย่างไรเมื่อกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว ขอบเขตถ้ำสถิตถึงจะเป็นธรณีประตูใหญ่บานแรกอย่างแท้จริง
ภายหลังเมื่อเว่ยป๋ายเดินบนเส้นทางของการฝึกตนได้อย่างราบรื่น อายุน้อยๆ ก็มีหวังจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตถ้ำสถิต อีกทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์อย่างไม่มีปิดบัง จวนเถี่ยชางก็เป็นดั่งเรือที่ลอยขึ้นสูงตามกระแสน้ำไปพร้อมกับราชวงศ์ต้ากวานด้วย ผลกลับกลายเป็นบิดานางที่ต้องร้อนใจ เพราะจวนเถี่ยชางเริ่มปฏิเสธในทุกๆ ด้าน ดังนั้นนางถึงได้ลงเขามาในครั้งนี้ อันที่จริงไม่ต้องให้บิดาของนางเร่งรัด ตัวนางเองก็ยินยอมพร้อมใจอยู่แล้ว
นางไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วย เพราะแถบเลียบมหาสมุทรตะวันออกนี้ แม้อิทธิพลของสวนน้ำค้างวสันต์จะไม่ถือว่าอยู่ในระดับขั้นสูงสุด แต่ก็มีสหายกว้างขวาง ไม่ว่าใครก็ต้องเห็นแก่หน้าของผู้ฝึกตนสวนน้ำค้างวสันต์อยู่หลายส่วน
ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์อาน้อยของตำหนักจินอูที่ทุกๆ ระยะเวลาสองสามปีจะต้องเดินทางเพียงลำพัง หนึ่งคนหนึ่งกระบี่มุ่งหน้าไปดึงเอาน้ำในเทือกเขาที่เงียบสงัดของสวนน้ำค้างวสันต์มาต้มชาดื่ม
ทว่าข้างกายเว่ยป๋ายกลับมีผู้ติดตามอยู่สองคน คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนถวายงานของจวนเถี่ยชางที่นิสัยสุขุมพูดน้อย ว่ากันว่าเคยเป็นผู้ฝึกตนวิถีมาร ได้มาหลบภัยอยู่ที่จวนเถี่ยชางหลายสิบปีแล้ว และยังมีอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกยุทธร่างทองขอบเขตเจ็ดที่มากพอจะส่งอิทธิพลให้แก่โชคชะตาบุ๋นของแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติแคว้นหนึ่งได้!
เว่ยป๋ายหันหน้าไปมองผู้เฒ่าเรือนกายบึกบึนที่ยืนอยู่ด้านหลังของกลุ่มคน ถามว่า “อาจารย์เลี่ยว มองรากฐานของบัณฑิตคนนั้นออกหรือไม่?”
เดิมทีคนผู้นี้กำลังหลับตาทำสมาธิ พอได้ยินคำถามของคุณชายน้อยจากจวนเถี่ยชางก็ลืมตาขึ้นแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ฟังจากลมหายใจและเสียงฝีเท้า น่าจะเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าทางชายแดนของราชวงศ์ต้ากวานพวกเรา เมื่อเทียบกับพวกไม่ได้ความขอบเขตห้าทั่วไปในยุทธภพแล้ว นับว่าแข็งแกร่งกว่าหนึ่งระดับ”
ข้างกายผู้เฒ่าร่างบึกบึนมีหญิงชราหน้าตาดุร้ายตามธรรมชาติคนหนึ่งยืนอยู่ นางพูดน้ำเสียงแหบพร่าว่า “คุณชายน้อย เจ้าเด็กน้อยเลี่ยวพูดได้ถูกต้องแล้ว”
ผู้เฒ่าแค่นเสียงเย็นในลำคอหนึ่งที
หากดูตามความต่างทางอายุของทั้งสองฝ่าย ถูกหญิงชราเรียกว่าเด็กน้อย อันที่จริงก็ไม่ถือว่าหญิงชราพูดผิด แต่ถึงอย่างไรตนก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่เคยผ่านการเข่นฆ่าบนสนามรบมาก่อน หญิงชราอาศัยสถานะของผู้ฝึกลมปราณ ถึงได้ไม่มีความเคารพนับถือตนแม้แต่น้อย
ชายฉกรรจ์ที่มาจากพรรคใหญ่ในยุทธภพแห่งหนึ่งของราชวงศ์ต้ากวานถูมือยิ้มกล่าว “คุณชายเว่ย ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปลองหยั่งเชิงผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่เหมือนลิงสวมมงกุฎคนนั้นดูหน่อยดีไหม ถือเสียว่าหาอะไรทำสนุกๆ ให้ทุกคนได้ผ่อนคลายอารมณ์แก้เบื่อ ถือโอกาสนี้ให้ข้าได้บังอาจขอคำชี้แนะด้านวิชาหมัดจากท่านอาจารย์เลี่ยวสักหน่อยด้วย”
พรรคที่เขาอยู่คือผู้นำอันดับหนึ่งในยุทธภพทางทิศใต้ของราชสำนักต้ากวาน ในพรรคมีคนมากมายเกือบหมื่นคน มีเงินทองไหลมาเทมาจากการคุมกิจการที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางน้ำและการค้าเกลือ อันที่จริงล้วนต้องยกคุณความชอบให้แก่ความมีหน้ามีตาของจวนเถี่ยชาง ไม่อย่างนั้นเงินนี้ก็คงกลืนลงท้องไม่ได้ เพราะย่อมร้อนลวกลำคอ ในพรรคมีปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธขอบเขตโอสถทองอยู่คนหนึ่ง เพียงแต่ว่าเขาเคยพูดให้ฟังเป็นการส่วนตัวว่า หากตนเจอกับเจ้าคนแซ่เลี่ยวผู้นั้น โอกาสแพ้ย่อมมากกว่าชนะ ส่วนในยุทธภพของทางทิศเหนือก็มีพรรคหนึ่งที่ทุกคนต่างใช้กระบี่ เจ้าประมุขรวมกับลูกศิษย์แล้วยังไม่ถึงร้อยกว่าคน แต่กลับสามารถออกคำสั่งแก่กลุ่มผู้กล้าในยุทธจักรของทางทิศเหนือได้ เจ้าประมุขผู้เฒ่าที่ชอบออกท่องยุทธภพเพียงลำพังผู้นั้นคือปรมาจารย์ใหญ่ที่เล่าลือกันว่าได้แอบเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเดินทางไกลเงียบๆ แล้ว เพียงแต่ว่าไม่เคยมีใครเห็นเขาออกกระบี่มาเกือบยี่สิบปีแล้ว ทว่าคนในยุทธภพทางทิศใต้ต่างก็พูดกันว่าการที่ตาเฒ่าผู้นี้เดินทางอยู่ตลอด ไม่ปักหลักที่ใดเป็นเวลานาน ก็เพื่อหลบเลี่ยงการท้าทายจากพวกเซียนดินบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกกระบี่ที่ยโสโอหังทั้งหลาย เพราะพรรคในยุทธภพแห่งหนึ่งกลับใช้คำว่า ‘จง’ อยู่ในชื่อ หากไม่วอนโดนจัดการ แล้วจะเรียกว่าอะไร?
ได้ยินถ้อยคำกระตือรือร้นของชายฉกรรจ์คนนั้น เว่ยป๋ายกลับส่ายหน้ายิ้ม “ข้าว่าอย่าดีกว่า ผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเจ้าลงจากภูเขาก็ไม่ต่างจากขุนพลบนสนามรบของจวนเถี่ยชางพวกเรา แต่ละคนช่างมีหน้ามีตาไม่แพ้กัน ข้าว่าผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนนั้นเองก็ยากลำบากไม่น้อย น่าจะรู้สึกว่ากว่าตนจะช่วงชิงโชควาสนาที่เดิมทีควรเป็นของผู้ฝึกตนด้วยการทำให้ภูตน้ำน้อยตนนั้นยอมรับตัวเองเป็นนายได้ไม่ใช่ง่ายๆ ดังนั้นออกเดินทางมาหาประสบการณ์ครั้งนี้ แม้จะขึ้นมาบนเรือข้ามฟากตระกูลเซียน แต่ก็ยังไม่ลืมนิสัยที่เคยใช้ในยุทธภพ ชอบโอ้อวดไปทั่ว ปล่อยเขาไปเถอะ พอไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ ปลาและมังกรปะปนกัน หากยังกล้าทำตัวไม่สำรวมแบบนี้ ต้องลำบากแน่นอน”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นพูดด้วยสีหน้านับถือ “คุณชายเว่ยช่างมีจิตใจของพระโพธิสัตว์ มีมาดของเซียนจริงๆ”
เว่ยป๋ายส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้าจะถือเป็นเซียนได้ที่ไหน ไว้ค่อยว่ากันวันหน้าเถอะ”
เขาพลันหันหน้ามา “แต่เจ้าติงถงคือคนในยุทธภพ ไม่ใช่ผู้ฝึกตนอย่างพวกเรา ขอแค่มีชีวิตได้ยาวนานอีกหน่อยก็ถือว่าดีแล้ว เหมือนกับเจ้าประมุขเผิงที่ไม่เคยหยุดอยู่นิ่งคนนั้น ที่ถึงจะได้มีโอกาสเอ่ยถ้อยคำทำนองนี้”
หญิงชราที่ยืนอยู่หน้าประตูด้านหลังทุกคนเคียงบ่ากับผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่หลุดหัวเราะพรืด “เจ้าคนแซ่เผิงผู้นั้น สมควรแล้วที่ได้กลายเป็นขอบเขตเดินทางไกล แล้วยังต้องคอยหลบเลี่ยงซ่อนตัวไปเรื่อย หากเป็นขอบเขตร่างทองเหมือนกับเจ้าเด็กเลี่ยว ก็คงไม่มีทางสร้างปัญหาอะไรได้ เหยียบเขาให้ตายด้วยฝ่าเท้า ผู้ฝึกตนอย่างพวกเรายังรังเกียจที่พื้นรองเท้าสกปรก ตอนนี้แอบเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด กลายเป็นตั๊กแตนที่ตัวใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย แต่กลับยังฝึกกระบี่ ใช้คำว่าจงตั้งชื่อพรรค คนบนภูเขาไม่เหยียบเขาให้ตายแล้วจะเหยียบใคร?”
ผู้เฒ่าร่างบึกบึนแซ่เลี่ยวหัวเราะเสียงหยัน “คำพูดประโยคนี้เจ้ากล้าไปพูดต่อหน้าตาเฒ่าเผิงไหมล่ะ?”
หญิงชราจุ๊ปากพูด “อย่าว่าแต่พูดต่อหน้าเลย หากเขากล้ามายืนต่อหน้าข้า ข้ายังจะชี้หน้าด่าเขาด้วยซ้ำ”
ชายชราขอบเขตโอสถทองคร้านจะโต้เถียงกับหญิงชรา จึงเริ่มหลับตาทำสมาธิอีกครั้ง
ชายฉกรรจ์ที่มีสถานะเป็นผู้ฝึกยุทธคนนั้นไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ด่าเขาสักหน่อย ต่อให้ด่าเขาแล้วอย่างไร การที่สามารถทำให้ผู้ถวายงานผู้เฒ่าของจวนเถี่ยชางพูดถึงได้สักสองสามคำ นั่นถือเป็นเกียรติยิ่งใหญ่ กลับไปถึงพรรคก็ย่อมกลายเป็นเรื่องเล่าขานอย่างหนึ่ง
เว่ยป๋ายยื่นมือมาจับประคองราวรั้ว พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ว่ากันว่าเจ้าสำนักเฮ้อทางทิศเหนือผู้นั้นเพิ่งจะลงใต้มาเมื่อไม่นานนี้ เจ้าสำนักเฮ้อไม่เพียงแต่พรสวรรค์เลิศล้ำ อายุน้อยแค่นี้ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว อีกทั้งยังมีโชควาสนาเข้ามาหาไม่ขาดสาย ในฐานะผู้ฝึกตนที่มาจากสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปนั่น สามารถมาเยือนอุตรกุรุทวีปของพวกเรา อันดับแรกก็เจอถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งก่อน จากนั้นก็กำราบปีศาจมารร้ายมากมายติดต่อกัน สุดท้ายสามารถสร้างตระกูลเซียนที่มีอักษรจงอยู่ในชื่อได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ อีกทั้งนางยังหยัดยืนได้มั่นคง อาศัยค่ายกลปกป้องภูเขาและถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กจู่โจมให้ขอบเขตหยกดิบสองคนถอยร่นไป ช่างเป็นคนที่น่าเลื่อมใสเสียจริง! ในอนาคตหากได้เดินทางไปเยือนทิศเหนือจะต้องไปพบนางสักครั้งให้จงได้ ต่อให้ได้แค่มองอยู่ไกลๆ ก็คุ้มแล้ว”
ผู้ฝึกตนหญิงของเรือนเย่ฉ่าวสวนน้ำค้างวสันต์ผู้นั้นรู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างห้ามไม่ได้
เพียงแต่ว่าไม่นานนางก็ปล่อยวางได้
เพราะเว่ยป๋ายเองก็รู้ดีว่า เขากับเจ้าสำนักเฮ้อที่สูงส่งจนมิอาจป่ายปีนผู้นั้น ฝ่ายเขาก็ได้แต่มีโอกาสมองจากที่ไกลๆ เท่านั้น
เว่ยป๋ายพลันขยับตัวเข้าใกล้สตรีข้างกาย พูดเสียงเบาว่า “ชิงชิง พระจันทร์บนท้องฟ้าคือพระจันทร์บนท้องฟ้า คนตรงหน้าคือคนตรงหน้า ในใจข้ารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร”
หัวคิ้วที่ขมวดด้วยความกลัดกลุ้มของผู้ฝึกตนหญิงพลันคลายออก คลี่ยิ้มหวานได้ทันที
ทางฝั่งของระเบียงเรือชั้นหนึ่ง เจ้าขยะตัวน้อยที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นั้นยังคงวิ่งทะยานอยู่บนราวระเบียงอย่างลิงโลด
ส่วนคนหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีขาวสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ดก็ยังคงเดินกินลมชมทัศนียภาพ โบกพัดพับเบาๆ อย่างผ่อนคลาย
เว่ยป๋ายพลันยิ้มอย่างชอบใจ
อีกฝั่งหนึ่งของชั้นสอง ในที่สุดก็เริ่มมีคนรู้สึกว่าขวางหูขวางตา และเลือกที่จะลงมือแล้ว
เว่ยป๋ายขมวดคิ้ว
การลอบโจมตีจากปราณวิญญาณที่รวมตัวเป็นลูกธนูนั้น เดิมทีควรยิงเข้าที่ขาของแม่นางน้อยชุดดำ หลังจากโจมตีให้หัวเข่านางแหลกสลาย ลูกศรดอกนั้นก็จะทะลุกระดูกนางออกไป แล้วก็จะสามารถพุ่งผ่าปราการค่ายกลบางๆ ของเรือข้ามฟากไปได้พอดี คนนอกมองอยู่ก็แค่เห็นว่าเด็กน้อยยืนได้ไม่มั่นคงจึงพลัดหล่นจากเรือ หลังจากนั้นร่างก็กระแทกตายไปโดยไม่ระวังเท่านั้น ทางฝั่งของเรือข้ามฟากก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ เดินพลัดตกราวระเบียงตายไปเอง เรือข้ามฟากยังไม่ได้โยกคลอนสักครั้ง จะโทษใครได้เล่า?
น่าเสียดายก็แต่ลูกธนูปราณวิญญาณที่อำพรางตัวได้อย่างดีเยี่ยมลูกนั้นกลับถูกบัณฑิตชุดขาวใช้พัดต้านรับเอาไว้ แต่มองดูแล้วเขาเองก็ไม่ได้ผ่อนคลายนัก เพราะต้องถอยหลังเร็วๆ ไปสองก้าว เอนหลังพิงราวรั้วกว่าจะยืนได้มั่นคง
เว่ยป๋ายส่ายหน้า
ที่แท้ก็เป็นเศษสวะคนหนึ่งจริงๆ เสียด้วย
ก่อนหน้านี้โชคดีที่ไม่ได้บอกให้เจ้าสุนัขรับใช้ข้างกายผู้นั้นลงมือ ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะไม่ทำให้ตนและจวนเถี่ยชางขายหน้าแย่หรอกหรือ การเดินทางไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ครั้งนี้ก็จะกลายเป็นว่ามีแต่เรื่องน่าหงุดหงิดรำคาญใจ
บัณฑิตชุดขาวผู้นั้นมีสีหน้าเดือดดาล ตะโกนเสียงดังว่า “เรือข้ามฟากของพวกเจ้าไม่คิดจะดูแลกันบ้างเลยหรือ บนชั้นสองมีคนร้าย!”
แม่นางน้อยรีบหยุดเดิน กระโดดลงมาจากราวระเบียง มาหลบอยู่ข้างกายเขา ใบหน้าของนางซีดเผือด ไม่ลืมทำตามคำกำชับเขาก่อนหน้านี้ ใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบหัวใจสอบถาม “ร้ายกาจกว่าบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองหรือไม่?”
บัณฑิตชุดขาวไม่ได้ใช้เสียงในหัวใจตอบกลับ แต่พยักหน้าพูดเสียงเบาออกมาตามตรง “ร้ายกาจกว่ามากเลย”
เพียงแต่ว่าไม่ได้ร้ายกาจในด้านตบะบำเพ็ญ แต่ร้ายกาจเพราะมีความคิดชั่วช้าอยู่เต็มท้อง
แม่นางน้อยร้อนใจทันใด “ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบหนีกันเถอะ?”
บัณฑิตชุดขาวพลันเปลี่ยนสีหน้า ใช้มือข้างหนึ่งวางไว้บนศีรษะนาง หุบพัดเข้าหากัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันนี้พวกเราหนีไป แล้วก็ปล่อยให้เจ้าคนชั่วกลุ่มนี้ไปทำร้ายคนอื่นวันหน้างั้นหรือ? วิถีทางโลกคือโจ๊กหม้อหนึ่ง เศษแมลงวันทั้งหลายควรจะถูกตักออกมาแล้วโยนทิ้งไป เห็นตัวหนึ่งก็ตักทิ้งตัวหนึ่ง ยังจำคนกลุ่มนั้นที่พวกเราเจอในยุทธภพได้ไหม? จำได้ไหมว่าหลังจบเรื่องข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร?”
แม่นางน้อยคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “เจ้าบอกว่าเมื่อหายนะมาเยือนจริงๆ ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็เป็นคนอ่อนแอ ทว่าก่อนหน้านั้นทุกคนกลับคล้ายจะเป็นผู้แข็งแกร่งกันทั้งนั้น นี่ก็เป็นเพราะว่ามักจะมีคนอ่อนแอที่อ่อนแอยิ่งกว่าอยู่เสมอ”
—–