ก่อนหน้าพวกเขาเดินขึ้นเขาไปด้วยกันช้าๆ ตามคำบอกของชาวบ้านในพื้นที่ ช่วงนี้บนภูเขาลูกนั้นมีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจึงอยากจะลองไปดูสักหน่อย
บนถนนภูเขาที่เงียบสงบ พวกเขาเจอกับเหล่าผู้กล้าในยุทธภพที่ควบม้าร่ำสุราด้วยความฮึกเหิม พูดคุยกันเสียงดังว่าต้องสังหารภูตตัวนั้นให้ได้ ชื่อเสียงจึงจะระบือไปแปดทิศ
ไม่รู้ว่าเหตุใด ตอนนั้นบัณฑิตชุดขาวที่เดินอยู่กลางทางถึงไม่ได้เบี่ยงตัวหลบ จากนั้นเขาก็ถูกม้าตัวสูงใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งชนจนลอยกระเด็นออกไป พวกคนที่อยู่บนหลังม้าพากันแผดเสียงหัวเราะดังลั่น ฝีเท้าม้าควบดังค่อยๆ ห่างไกลออกไป
แต่ตอนนั้นนางกลับไม่ได้กังวลนัก
นั่นคือเซียนกระบี่คนหนึ่งที่สังหารบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองให้ตายได้เชียวนะ
อีกทั้งตอนนั้นเขาก็ไม่ได้เรียกกระบี่บินออกมาจากในน้ำเต้าด้วย
แต่นางกลับรู้สึกโกรธมาก
ตอนนั้นนางทนไม่ไหวแสยะปากออกกว้าง ผลกลับถูกบัณฑิตชุดขาวที่มายืนอยู่ด้านข้างจับศีรษะนางไว้เบาๆ เขายิ้มพูดว่าไม่เป็นไร
ภายหลังพวกเขาสองคนก็ได้มาเห็นว่าชาวยุทธในยุทธภพกลุ่มนั้นถูกภูตเขี้ยวแหลมคมสูงสองจั้งตัวหนึ่งขวางทางเอาไว้ ตอนนั้นในปากของมันยังเคี้ยวแขนข้างหนึ่งอยู่ ส่วนในมือก็กำศพของบุรุษที่เลือดโชกท่วมร่าง
แม่นางน้อยชุดดำพอจะมองออกได้คร่าวๆ ว่าคนที่ตายก็คือเจ้าคนเลวที่ขี่ม้าชนบัณฑิตชุดขาวก่อนหน้านี้
สุดท้ายนางหลบอยู่ด้านหลังบัณฑิตชุดขาว ส่วนเขาก็ใช้พัดพับที่หุบเข้าด้วยกันชี้ไปยังภูตประหลาดร่างกำยำดุร้ายที่กำลังกินคน แล้วยิ้มกล่าวว่า “เจ้ากินอาหารมื้อสุดท้ายนี่ให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ภูตที่มาขวางทางตัวนั้นโยนศพในมือทิ้งไปโดยตรง หมายจะหนีเข้าไปในป่าลึก
เหล่าคนในยุทธภพที่ก่อนหน้านี้กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำจึงขึ้นเขามาสังหารปีศาจก็เริ่มคุกเข่าโขกหัวร้องวิงวอนขอชีวิต
แม่นางน้อยไม่ค่อยชื่นชอบเรื่องราวในยุทธภพที่เป็นเช่นนี้
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางล้วนไม่ค่อยชอบเท่าใดนัก
ระเบียงชมทัศนียภาพมุมนั้นบนชั้นสองของเรือก็มีผู้คนมากมายที่มารวมกลุ่มกันเช่นเดียวกัน
หลังจากเห็นว่าบัณฑิตชุดขาวสกัดการโจมตีนั้นเอาไว้ได้ ผู้คนก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้น่าดูอีก
ยอมให้หนึ่งเด็กหนึ่งคนโตนั่นไปก็แล้วกัน
ส่วนบัณฑิตชุดขาวผู้นั้นก็ไม่กล้าพอจะซักไซ้เอาเรื่อง ราวกับว่าจะแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น
ผู้คนที่อยู่ตรงระเบียงชมทัศนียภาพตรงจุดนี้หัวเราะครืนเสียงดัง
ไม่หวาดเกรงที่จะให้หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กคู่นั้นรู้ว่าใครเป็นคนลงมือแม้แต่น้อย
ลูกจ้างบนเรือข้ามฟากคนหนึ่งแข็งใจเดินไปข้างกายบัณฑิตชุดขาว เขาไม่ได้กังวลว่าผู้โดยสารบนเรือข้ามฟากคนนี้จะตำหนิ แต่กังวลว่าการที่ตัวเองถูกผู้ดูแลเรือบีบบังคับให้มาที่นี่ จะทำให้พวกผู้โดยสารบนชั้นสองพานรังเกียจตน แล้วการเดินทางไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์หลังจากนี้ ตนก็คงจะไม่ได้รับเงินรางวัลแม้แต่ครึ่งเหรียญ
ลูกจ้างหนุ่มยืนอยู่เบื้องหน้าบัณฑิตชุดขาวด้วยสีหน้าบึ้งตึง ถามว่า “เจ้าเอะอะโวยวายอะไร? ดวงตาสุนัขข้างไหนของเจ้าที่มองเห็นว่ามีคนร้าย?”
บัณฑิตชุดขาวพลันหันหน้าไปมองทางแม่นางน้อยชุดดำ “เป็นเขาหรือที่ขายรายงานข่าวให้เจ้า ทั้งยังโน้มน้าวผู้โดยสารคนนั้นว่าอย่าซ้อมเจ้าจนตาย แสร้งทำราวกับว่าตัวเองเป็นคนดีนักหนา?”
นางส่ายหน้า
เป็นอีกคนหนึ่งที่อายุมากกว่า
บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับเคาะไปที่หัวใจ พูดพึมพำกับตัวเอง “ผู้ฝึกตนต้องฝึกฝนจิตใจให้มาก ไม่อย่างนั้นเดินขาเป๋ไปตลอดทางก็คงไม่มีทางเดินได้ถึงจุดที่สูงที่สุด”
แม่นางน้อยชุดดำกระตุกชายแขนเสื้อของเขา มือข้างหนึ่งป้องไว้ข้างปาก แหงนหน้าพูดกับเขาเบาๆ ว่า “ห้ามโมโหนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะโมโหเจ้าแล้ว ข้าดุมากเลยนะ”
บัณฑิตชุดขาวมองไปทางชั้นสอง “ไม่ได้ ข้าต้องใช้เหตุผลสักหน่อย คราวก่อนที่อยู่ในทะเลสาบชางอวิ๋นยังใช้เหตุผลได้ไม่เยอะพอ”
ลูกจ้างหนุ่มคนนั้นยื่นมือออกมาเตรียมจะผลักบัณฑิตชุดขาวที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ให้ขวางหูขวางตา แสร้งทำเป็นอวดภูมิมีความรู้อะไรอยู่ได้ “เจ้ายังไม่ยอมหยุดใช่ไหม? ไสหัวกลับไปอยู่ในห้องเจ้าเลย!”
จากนั้นเขาก็ต้องปากอ้าตาค้าง
เหตุใดฝ่ามือของตนอยู่ห่างจากเบื้องหน้าคนผู้นั้นหนึ่งชุ่นก็ไม่อาจยื่นไปข้างหน้าได้อีกแล้ว?
บัณฑิตชุดขาวไม่แม้แต่จะชายตามองเขา เพียงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “กดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตสี่ ก็คิดว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่จริงๆ งั้นหรือ”
ลูกจ้างหนุ่มพลันโค้งเอว กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ผู้โดยสารเชิญท่านชมทัศนียภาพต่อไป ข้าน้อยไม่รบกวนท่านแล้ว”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัวได้ก็เผ่นหนีทันที
แล้วเขาก็หนีรอดมาได้จริงๆ
วิ่งไปถึงหัวเรือ หันหน้ากลับมามองครั้งหนึ่ง ไม่มีเงาของบัณฑิตชุดขาวอยู่แล้ว เหลือเพียงแค่แม่นางน้อยชุดดำที่ยืนขมวดคิ้ว
ระเบียงชมทัศนียภาพมุมหนึ่งบนชั้นสองของเรือข้ามฟากที่ห่างจากพวกเว่ยป๋ายไปไม่ไกลเท่าใดนัก
ผู้ฝึกตนชายหญิงเจ็ดแปดคนที่จับกลุ่มกันมาหาประสบการณ์พร้อมใจกันก้าวถอยหลัง
เบื้องหน้าพร่าลายไปแวบหนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ บัณฑิตชุดขาวที่ก่อนหน้านั้นต้านรับลูกธนูปราณวิญญาณได้อย่างเปลืองแรงก็มายืนอยู่บนราวระเบียง เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งโบกพัดเบาๆ หลุบตาลงต่ำมองพวกเขาจากที่สูง
ขณะที่คนผู้หนึ่งคิดจะเปิดปากพูด การโคจรปราณวิญญาณในร่างก็พลันหยุดชะงัก รู้สึกเหมือนแบกภูเขาทั้งลูกไว้บนหลัง ใบหน้าแดงก่ำ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
บัณฑิตชุดขาวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยามที่ข้าใช้เหตุผล พวกเจ้าแค่ฟังอย่างเดียวก็พอแล้ว”
เสียงพรึ่บดังหนึ่งครั้ง พัดพับหุบเข้าหากัน แล้วตวัดขึ้นเบาๆ
ผู้ฝึกลมปราณที่เป็นคนลอบโจมตีถูกหิ้วตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่บัณฑิตชุดขาวจะคว้าจับศีรษะของเขาแล้วเหวี่ยงทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจ จับเขาโยนออกไปนอกเรือข้ามฟากโดยตรง
พัดพับตวัดขึ้นอีกครั้งก็มีคนอีกคนหนึ่งลอยตัวกลางอากาศสูงเหมือนถูกรัดคอกระชากขึ้น แล้วถูกตบออกไปนอกเรือด้วยการโบกชายแขนเสื้อเพียงครั้งเดียวของคนผู้นั้น
ทุกคนล้วนถูกคนผู้นั้นจับโยนเหมือนโยนเกี้ยวลงหม้อต้ม
บนระเบียงชมทัศนียภาพแถบนั้นว่างเปล่า เหลือเพียงบัณฑิตชุดขาวที่ตรงเอวห้อยกาเหล้าสีชาดอยู่คนเดียวเท่านั้น
เขาทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง บินหันหลังตามออกไปนอกเรือข้ามฟากเช่นกัน ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะสองข้างสะบัดเสียงดั่งฟึ่บฟั่บ พริบตาเดียวร่างก็ทิ้งดิ่งลงไปเบื้องล่าง มองไม่เห็นเงาอีก
ครู่หนึ่งต่อมา
เขาก็มาปรากฏตัวอยู่บนราวระเบียงของเรือข้ามฟากอีกครั้ง แหงนหน้ามองไปยังระเบียงชมทัศนียภาพของห้องอักษรตัวเทียน ยิ้มตาหยี ไม่เอ่ยอะไร
เว่ยป๋ายกระตุกมุมปาก “อาจารย์เลี่ยว ว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าร่างบึกบึนก้าวยาวๆ ตรงไปเบื้องหน้า ใช้พายุหมัดดีดเจ้าพวกเศษสวะบนภูเขาล่างภูเขากลุ่มนั้นที่ดีแต่จะคุยโวประจบสอพลอให้พ้นทาง ผู้เฒ่าเพ่งตามองไปยังบัณฑิตชุดขาว พูดเสียงหนักว่า “บอกได้ยาก”
เว่ยป๋ายหันหน้าไปชำเลืองตามองชายฉกรรจ์ในยุทธภพที่สีหน้าซีดขาวน้อยๆ คนนั้น พอดึงสายตากลับมาแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นจะไม่ยุ่งยากหรือ?”
หญิงชราเองก็มายืนอยู่ข้างกายเว่ยป๋าย “มีอะไรให้ยุ่งยากกัน ให้เจ้าเด็กเลี่ยวลงไปเล่นเป็นเพื่อนเขาสักครู่ ดูสิว่าจะมีฝีมือสักเท่าไร ลองชั่งน้ำหนักดูก็รู้แล้ว”
เว่ยป๋ายไม่ได้ตัดสินใจกระทำสิ่งใดโดยพลการ ผู้ถวายงานที่เป็นบ่าวในบ้านซึ่งมาอาศัยอยู่ใต้ชายคาก็เป็นคนเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มีความสามารถอย่างแท้จริงที่แต่ไหนแต่ไรมาเขาล้วนให้ความสนิทสนมและเคารพนับถืออย่างไม่เคยขี้เหนียว ดังนั้นเว่ยป๋ายจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “อาจารย์เลี่ยวท่านไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง”
ผู้เฒ่าร่างกำยำกำมือข้างหนึ่งเป็นหมัด ข้อต่อกระดูกทั่วร่างลั่นดังเหมือนเสียงประทัดระเบิด ขาหัวเราะหยันเสียงเย็นชา “พวกหมอนปักลายบุปผาทางทิศใต้ไม่อาจทนรับการต่อยตีได้ มือกระบี่อย่างตาเฒ่าเผิงที่อยู่ทางเหนือก็มีมหาเสนาบดีผู้นั้นคอยปกป้อง กว่าจะเจอคนที่กล้าท้าทายจวนเถี่ยชางของพวกเราได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธหรือผู้ฝึกตน วันนี้ข้าจะไม่ยอมพลาดโอกาสไปเด็ดขาด”
ผู้เฒ่าขอบเขตร่างทองของจวนเถี่ยชางไม่ได้ปล่อยหมัดพุ่งตรงออกไปด้วยพลังอำนาจอันน่าครั่นคร้าม แต่ใช้มือข้างเดียวยันไว้บนราวระเบียงแล้วพลิ้วกายลงบนระเบียงเรือชั้นหนึ่งอย่างแผ่วเบา ยิ้มกล่าวว่า “ไอ้หนู มาอุ่นมือเป็นเพื่อนข้าหน่อยดีไหม? วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้าตายหรอก เพราะพวกเราไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน”
คนผู้นั้นแหงนหน้าใช้นิ้วเคาะไปบนพัดพับที่ใช้ยันปลายคางคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็เก็บพัดแล้วพลิ้วกายลงสู่พื้นเช่นเดียวกัน “จุดจบที่ยอมให้คนอื่นหนึ่งกระบวนท่า ล้วนไม่ค่อยดีเท่าไร…”
บัณฑิตชุดขาวหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ยอมให้คนอื่นสามกระบวนท่าแล้วกัน”
เขาเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มือที่ถือพัดพับชี้ไปที่หน้าผากของตัวเอง “เจ้าออกหมัดก่อนสามครั้ง หลังจากนั้นค่อยว่ากัน เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง ตกลงไหม?”
คนทั้งสองใจตรงกันอย่างมาก ต่างคนต่างยืนอยู่คนละด้านของเรือข้ามฟาก ห่างจากกันประมาณยี่สิบก้าว
ผู้โดยสารทุกคนบนเรือข้ามฟากต่างก็กำลังกระซิบกระซาบวิจารณ์กันเบาๆ
ทางฝั่งเว่ยป๋ายก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ
มีเพียงคนผู้หนึ่งที่มาจากทางทิศใต้ของแคว้นเป่าเซียงที่ขยับตัวหลบหนีไปทางกลุ่มผู้โดยสารของสวนน้ำค้างวสันต์ที่อยู่ชั้นหนึ่งของเรือ สีหน้าของเขาซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริก
เขาอยากร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ออก
เหตุใดข้าต้องมาเจอกับเซียนกระบี่หนุ่มนิสัยยากคาดเดา แต่มรรคกถาล้ำลึกผู้นี้อีกแล้วด้วยนะ
นายท่านเซียนกระบี่หนุ่ม ข้ากำลังหนีก็เพื่อไม่ให้ต้องเจอกับนายท่านผู้อาวุโสอีก ไม่ได้ตั้งใจจะมาโดยสารเรือข้ามฟากลำเดียวกับท่านจริงๆ นะ!
ผู้เฒ่าแซ่เลี่ยวที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตโอสถทองหลุดหัวเราะพรืด “ไอ้หนู จะยอมให้ข้าสามหมัดจริงๆ หรือ?”
บัณฑิตชุดขาวทำสีหน้าตกตะลึง “ไม่พอ? ถ้าอย่างนั้นก็สี่หมัด? หากเจ้ารู้สึกว่ายังไม่มั่นใจก็ห้าหมัด แค่ห้าหมัดเท่านั้น มากกว่านี้อีกไม่ได้แล้วจริงๆ หากมากเกินไป คนที่ดูงิ้วครั้งนี้จะรู้สึกว่าน่าเบื่อ”
ผู้เฒ่ายกนิ้วโป้งให้ ยิ้มกล่าวว่า “สามหมัดผ่านไป หวังว่าศพของเจ้าจะยังครบถ้วน”
เขาไม่เอ่ยอะไรอีก ตั้งกระบวนท่าหมัด พายุหมัดพลันพัดถาโถม ปณิธานหมัดเพิ่มขึ้นพรวดพราด
ทุกคนที่อยู่บนชั้นหนึ่งและชั้นสองต่างก็ตกอยู่ในสภาพที่เจอกับพายุลูกใหญ่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า
ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธบางส่วนที่ตบะไม่สูงพอก็แทบจะลืมตาไม่ขึ้น
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง
หน้าต่างห้องที่อยู่บนผนังด้านข้างถึงขั้นเกิดรอยปริร้าวคล้ายกระดองเต่าลุกลามไปไม่หยุด
ผู้เฒ่าร่างกำยำยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่บัณฑิตชุดขาวยืนอยู่ก่อนหน้านี้ หันไปมองอีกครั้ง บัณฑิตชุดขาวคนนั้นกลับไม่ได้ถูกต่อยจนร่างแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตา แต่กลับไปยืนอีกฝั่งหนึ่งของหัวเรือ ชุดคลุมสีขาวและชายแขนเสื้อใหญ่พลิ้วสะบัดดุจเกล็ดหิมะที่โปรยปราย
นี่ทำให้พวกคนที่รู้จักตัวตนของผู้เฒ่าแห่งจวนเถี่ยชางจำต้องกลืนเสียงไชโยโห่ร้องกลับลงท้องไป
ลูกกระเดือกของคนผู้นั้นขยับเล็กน้อย ราวกับว่าเขาเองก็ไม่ได้ผ่อนคลายอย่างที่แสดงออกภายนอก น่าจะเป็นเพราะฝืนข่มกลั้นกลืนเลือดสดที่เอ่อมาตรงริมฝีปากกลับลงไป แต่เขาก็ยังสามารถยิ้มตาหยีได้เหมือนเดิม “หมัดนี้ปล่อยไป หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น อย่างมากสุดก็คือทำให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกตายคาที่ได้ทันที ผู้อาวุโสนับว่ามีคุณธรรม จิตใจเมตตายอมออมมือให้”
ผู้เฒ่าแซ่เลี่ยวหรี่ตาลง ชุดคลุมสีขาวบนร่างของคนหนุ่มเวลานี้เพิ่งจะถูกพายุหมัดของตนกระแทกให้เศษฝุ่นปลิวสลาย แต่กลับไม่มีลางว่าจะปริแตกแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงหนัก “ชุดคลุมอาคมระดับดีเยี่ยมชิ้นหนึ่ง มิน่าเล่า! ช่างเป็นแผนการที่ดี ช่างมีกลอุบายที่ดี อำพรางตนได้ลึกล้ำนัก!”
ในมือคนผู้นั้นยังคงถือพัดพับ เดินไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า “ข้าต้องทุบหม้อขายเหล็กกว่าจะซื้อชุดคลุมอาคมชิ้นนี้มาได้ เจ้าไม่พอใจที่ข้าไม่ตายด้วยหมัดเดียวของเจ้าอย่างนั้นหรือ? ผู้อาวุโสหากเจ้ายังเป็นแบบนี้ก็ไม่มีคุณธรรมในยุทธภพเท่าไรแล้วนะ ก็ได้ๆๆ ข้าจะถอนประสิทธิภาพของชุดคลุมอาคมออกไปก็แล้วกัน ยังเหลืออีกสองหมัด”
ผู้เฒ่าก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว ตลอดทั้งเรือข้ามฟากก็ถึงกับลดระดับฮวบลงไปหนึ่งจั้งกว่า ร่างพุ่งทะยานไปด้านหน้าเหมือนสายฟ้าแลบ อีกทั้งยังออกหมัดที่รวบรวมปณิธานหมัดทั้งชีวิตเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว
คราวนี้บัณฑิตชุดขาวผู้นั้นก็น่าจะร่างระเบิดไปโดยตรง อย่างน้อยที่สุดก็ควรถูกหนึ่งหมัดต่อยให้ร่างทะลุหัวเรือออกไป ร่วงหล่นลงบนพื้นดินแล้วกระมัง?
เปล่าเลย
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น
คนผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม มือข้างหนึ่งถือพัดอยู่เหมือนเดิม ก็แค่ยกมือข้างที่เดิมไพล่หลังไว้ออกมาต้านรับเท่านั้น
คราวนี้เปลี่ยนเป็นผู้เฒ่าร่างกำยำที่ต้องถอยหลังกรูดออกไปบ้าง จิตวิญญาณของเขาแกว่งไกวไม่หยุด
บัณฑิตชุดขาวยืนนิ่งอยู่นาน จากนั้นก็ร้องโอ้ยออกมาหนึ่งครั้ง ขาสองข้างไม่ขยับเขยื้อน แต่เรือนกายด้านบนกลับแสร้งโยกโงนเงนอยู่สองสามที “วิชาหมัดของผู้อาวุโสดั่งวิชาเทพ น่ากลัวๆ โชคดีที่ผู้อาวุโสเหลืออีกแค่หมัดเดียว ใจข้ายังหวาดผวาไม่หาย โชคดีที่ผู้อาวุโสเกรงใจกัน ไม่ยอมรับปากข้าที่บอกว่าให้เจ้าออกหมัดทีเดียวห้าครั้งรวด ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียใจภายหลังมากๆ แล้ว”
ผู้โดยสารทุกคนบนเรือใกล้จะบ้าตายเต็มที
มารดามันเถอะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้ยังไม่เคยเจอใครที่เห็นชัดๆ ว่าเล่นละครเก่ง แต่กลับไม่ตั้งใจเล่นขนาดนี้มาก่อน!
ผู้เฒ่าร่างกำยำผู้นั้นหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็หมัดสุดท้าย!”
สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
พายุหมัดแกร่งกร้าวทั่วกายของผู้เฒ่าก็ปะทุดันชุดคลุมยาวของเขาให้พองโป่ง
นาทีถัดมา ภาพเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิดขึ้น
ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของจวนเถี่ยชางผู้ยิ่งใหญ่ กลับไม่ได้ปล่อยหมัดใส่บัณฑิตชุดขาวโดยตรง แต่เบี่ยงวิถีการโคจรไประหว่างทาง หันไปหาแม่นางน้อยชุดดำที่ยืนตัวตรงอยู่ข้างราวระเบียง ทุกครั้งที่นางเห็นว่าบัณฑิตชุดขาวปลอดภัยดีจะต้องขึงหน้าตึงกลั้นยิ้ม แอบยกมือเล็กๆ ทั้งสองข้างขึ้นปรบเข้าด้วยกันเบาๆ นางปรบมืออย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา น่าจะเป็นเพราะจงใจไม่ให้ฝ่ามือทั้งสองตีโดนกัน
เสี้ยววินาทีถัดมา
ราวกับว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น
เห็นเพียงว่าคนชุดขาวมายืนอยู่ข้างกายแม่นางน้อย นิ้วทั้งห้าของมือซ้ายงอเป็นตะขอจิกอยู่ที่ลำคอของปรมาจารย์วิถีวรยุทธแห่งจวนเถี่ยชาง ทำให้ฝ่ายหลังที่ร่างโน้มเอียงมาด้านหน้าไม่อาจขยับเขยื้อนมาอีกได้แม้แต่นิดเดียว ลำคอของฝ่ายหลังมีเลือดสดทะลัก มือหนึ่งของบัณฑิตชุดขาวถือพัด เขาคลายนิ้วมือออก ผลักไปที่หน้าผากของผู้เฒ่าเบาๆ เสียงปังดังหนึ่งครั้ง ร่างของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่ผ่านการเข่นฆ่าบนสนามรบมาก่อนก็กระแทกท้ายเรือร่วงตกจากเรือข้ามฟากไป
บัณฑิตชุดขาวหันหน้าไปมองทางชั้นสอง ฝ่ามือข้างซ้ายเช็ดกลับไปกลับมาบนราวระเบียงเบาๆ ยิ้มตาหยีถามว่า “ว่าอย่างไร?”
บนระเบียงของชั้นสอง เว่ยป๋ายไม่ได้เอ่ยคำใด หญิงชราก็ไม่พูดไม่จาเหมือนกัน
ครู่หนึ่งต่อมา
ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงทำนองเดียวกันจากจุดที่ห่างไปไกล
ด้านท้ายของเรือข้ามฟากมีจุดแสงสีทองจุดหนึ่งระเบิด จากนั้นแสงกระบี่ก็พุ่งมาถึง คนขี่กระบี่ผู้หนึ่งที่มีลักษณะเป็นเด็กหนุ่ม ปักปิ่นสีทองบนมวยผมมองมาทางราวระเบียง ถามว่า “เป็นเจ้าที่ใช้หนึ่งกระบี่ผ่าบ่อสายฟ้าของตำหนักจินอูข้าใช่หรือไม่?”
บัณฑิตชุดขาวสีหน้าเหลอหรา ถามว่า “เจ้าพูดอะไรน่ะ?”
เซียนกระบี่เด็กหนุ่มยิ้มอย่างจนใจ “พอไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์เมื่อไหร่ ข้าจะเลี้ยงน้ำชาเจ้า”
แล้วแสงกระบี่ก็จากไปไกล
ไม่รู้ว่าเหตุใดแม่นางน้อยชุดดำถึงพลันรู้สึกว่าเรื่องราวบนภูเขาประเภทนี้ช่างเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ชวนให้ฮึกเหิม แต่นางกลับดีใจไม่ออก นางก้มหน้าลง เดินไปหยุดอยู่ข้างกายบัณฑิตชุดขาว กระตุกชายแขนเสื้อของเขาเบาๆ “ขอโทษนะ”
คนผู้นั้นทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้มือสองข้างดึงแก้มของนางเบาๆ จากนั้นก็ทำหน้าทะเล้นใส่นาง พูดกลั้วหัวเราะด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อะไรกันๆ”
—–