บทที่ 1610 เข้ากันไม่ได้

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เป็นไปไม่ได้ที่จะมาขลุกอยู่กับหงเฉินในนี้โดยไม่ออกไปไหนเลย ตอนที่เหมียวอี้จะออกไปก็ค้นพบว่าตัวเองผ่อนคลายทั้งร่างกายทั้งจิตใจแล้ว บ่นอยู่ที่นี่สักรอบหนึ่ง ความยุ่งยากกลัดกลุ้มต่างๆ ที่สะสมอัดอั้นอยู่ในใจก็หายไปแล้วเช่นกัน ความโกรธที่เกิดจากอวิ๋นจือชิวก่อนหน้านี้ก็หายไปแล้วเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะมองหงเฉินผู้ใสสะอาดน่าประทับใจสองครั้ง

หงเฉินออกมาส่งเขาด้วยตัวเอง พอมาส่งเขาถึงประตูแล้ว ก็ย่อตัวคำนับ “นายท่านกลับดีๆ ค่ะ”

เหมียวอี้หัวเราะเยาะแล้วถามว่า “จะทำตัวเป็นน้ำเต้ากลัดกลุ้มไปทั้งชีวิตจริงๆ เหรอ?”

หงเฉินยิ้มอ่อน “ไม่ต้องกังวลเรื่องกินเรื่องอยู่ ไร้ทุกข์ไร้กังวล ไม่เบื่อค่ะ!”

“ฮูหยินหวังให้เจ้าแบ่งเบางานจากนางมาตลอด ข้ามาขอร้องเจ้าแทนฮูหยิน เจ้าก็ไม่ตอบตกลงงั้นเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

หงเฉินย่อตัวเบาๆ แสดงการขอโทษ “ข้าทำอะไรไม่ไหวจริงๆ ค่ะ”

ประโยคเดียวก็ทำให้เหมียวอี้มุมปากกระตุกแล้ว เคยได้ยินอวิ๋นจือชิวพูดถึงมาก่อน เหมือนไม่ว่าอวิ๋นจือชิวบอกให้นางทำอะไร นางก็จะตอบด้วยประโยคนี้ ในเมื่อนางยืนยันว่าตัวเองทำไม่ไหว แล้วเจ้าจะทำอะไรนางได้? อวิ๋นจือชิวเคยตัดขาดทรัพยากรฝึกตนของนาง เคยตัดข้าวตัดน้ำนางด้วย ถึงขั้นย้ายสาวใช้ทั้งสองของนางออกไปเพื่อกดดัน แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เป็นอะไรเลย เมื่อไม่มีทรัพยากรฝึกตนก็ไม่ใช้ เมื่อไม่มีอาหารก็ไม่กิน ไม่มีคนปรนนิบัติรับใช้ก็ไม่ต้องให้ใครรับใช้ นางไม่ฟ้องอะไรใครด้วย และไม่แย่งชิงสิ่งใด อวิ๋นจือชิวจะทำอะไรก็ตามใจ สุดท้ายก็กดดันจนอวิ๋นจือชิวหมดหนทางแล้ว อีกฝ่ายไม่มีความแค้นต่อเจ้า ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างสุภาพเกรงใจ ไม่แย่งชิงความรัก ทั้งยังไม่ล่วงเกินใคร ถ้าอนุภรรยาคนหนึ่งทำได้ขนาดนี้แล้วยังถูกกดดันให้ตาย ถ้าทำเกินไปอวิ๋นจือชิวก็จะหาทางลงให้ตัวเองไม่ได้ ทำได้เพียงปฏิบัติตามเดิมทุกอย่าง สิ่งที่ควรให้ก็ยังต้องให้ ในเมื่อนางไม่อยากออกมาทำงาน อวิ๋นจือชิวก็ไม่อาจเอากระบองไล่ตีให้ออกมาทำงาน แค่ตีไล่ออกมาก็จะทำให้นางจัดการธุระได้แล้วเหรอ? นับว่าทำให้อวิ๋นจือชิวเข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘ไร้ความโลภจึงแข็งแกร่ง!’

เหมียวอี้ยังเกาะแกะไม่เลิก กัดฟันใช้บทโหด “ข้าไม่ใช่ฮูหยินนะ จะต้องให้ข้ากดดันเจ้าใช่มั้ย?”

“ไม่ต้องกดดันค่ะ ถ้านายท่านแต่งตั้งให้ข้าเป็นนายหญิง ข้าก็ย่อมทำสิ่งที่นายหญิงควรทำ!” หงเฉินตอบ

แต่งตั้งเจ้าเป็นฮูหยินเอกเหรอ? เหมียวอี้กลอกตามองบน แค่พูดประโยคเดียวก็โดนผู้หญิงคนนี้เถียงจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว

เหมียวอี้เอามือไขว้หลัง แล้วหันตัวเดินออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นับว่าเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะอวิ๋นจือชิวถึงทำอะไรผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ สิ่งที่ใช้รับมืออวิ๋นจือชิวก่อนหน้านี้ล้วนเป็นไม้อ่อน คาดว่าคงไม่เคยใช้ไม้แข็งแบบนี้กับอวิ๋นจือชิว เขารู้อยู่แก่ใจว่าถ้าให้อวิ๋นจือชิวได้ยินประโยคนี้ ก็จะถูกสงสัยว่ายังมีความทะเยอทะยานนี้ด้วยเหรอ? เกรงว่าอวิ๋นจือชิวคงจะเป็นคนแรกที่สั่งให้นางอยู่อย่างซื่อสัตย์ว่านอนสอนง่าย ต่อไปจะไม่รบกวนผู้หญิงคนนี้อีกเด็ดขาด

“นายท่านกลับดีๆ ค่ะ!” หงเฉินย่อกายส่งอีกครั้ง

และปัญหายุ่งยากก็มาไม่ขาดสาย ตรงนี้เพิ่งได้ความสงบร่มเย็นจากหงเฉิน พอออกมาก็เจอคนที่ทำให้ปวดหัวทันที อวิ๋นรั่วซวงได้ข่าวแล้วถ่อมาจากนภาจอมมาร มาเกาะแกะเขาไม่เลิก โผล่มาทางซ้ายเรียกพี่เขย โผล่มาทางขวาเรียกพี่เขย บ่นว่าอยากไปพิภพใหญ่ เรียกได้ว่าใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง

ข้างหลังอวิ๋นรั่วซวงยังมีหางเล็กๆ ตามมาด้วย จิ้งจอกพันหน้าเฝิ่นเอ๋อร์ กำลังจ้องเหมียวอี้ด้วยสีหน้าคับแค้นไม่เลิก

ตอนเกิดเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง เหมียวอี้ก็ให้เหยียนซิวส่งจิ้งจอกพันหน้ามาที่พิภพเล็ก เมื่อเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะส่งคืนให้ปี้เยว่ฮูหยินอีก ปี้เยว่ฮูหยินด่าเขาว่าพูดจาไม่เป็นคำพูด เหมียวอี้เบี้ยวนางและบอกว่ากลับไปจะชดเชยให้ นางเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน และสิ่งที่ทำให้เหมียวอี้นึกไม่ถึงก็คือ จิ้งจอกพันหน้ากับอวิ๋นรั่วซวงจะไปเล่นด้วยกันแล้ว

และจิ้งจอกพันหน้าก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเหมียวอี้จะคืนอิสระให้นางด้วยวิธีการนี้ เขาริบสิ่งของทุกอย่างที่ใช้ติดต่อกับภายนอกออกไปหมด แล้วทิ้งนางไว้ที่พิภพเล็ก โดยตามใจว่าจะไปไหนก็เรื่องของเจ้า แต่นางจะไปไหนได้ล่ะ? หาทางออกในดาราจักรไปทั่ว แต่ก็หาไม่เจอ แทบจะหลงทางแล้ว ทำได้เพียงอยู่ที่พิภพเล็กแต่โดยดี

แต่จะว่าไปแล้ว แบบนี้ก็ดีกว่าเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในอ้อมอกปี้เยว่หรือทำเรื่องแบบนั้นเสียอีก นางกับอวิ๋นรั่วซวงเหมือนฝนตกขี้หมูไหล  กลายเป็นเพื่อนสาวของกันและกันแล้ว

เมื่อได้ยินเพื่อนสาวพูดถึงเรื่องน่าสนุกมากมายเกี่ยวกับพิภพใหญ่ นางมารน้อยอย่างอวิ๋นรั่วซวงจะทนไหวได้อย่างไร ขอร้องเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่งว่าให้พานางไปที่พิภพใหญ่

เมื่อโดนอวิ๋นรั่วซวงเกาะแกะจนทำอะไรไม่ได้ เหมียวอี้ก็ทพได้เพียงเรียกอวิ๋นจือชิวกลับมาจากสำนักงามวิจิตร ให้นางลากตัวนางหนูคนนี้กลับไป

ในที่สุดวันมงคลก็มาถึงแล้ว แขกผู้มีเกียรติมาจากทั่วสารทิศ นภาอู๋เลี่ยงจัดงานฉลองไม่ธรรมดา

ความมีหน้ามีตาก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง หลังจากงานเลี้ยงเลิกแล้ว การเข้าห้องหอก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนเฝ้าคอย คนที่เฝ้าคอยก็คือเยว่เหยาที่สวมมงกุฎหงส์ นางกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างตื่นเต้นกังวล

เทียนสีแดงส่องสว่าง เปิดผ้าคลุมหน้า คล้องแขนดื่มสุรามงคล แล้วเยว่เหยาก็เรียกอย่างเขินอายว่า “ท่านสามี” อย่าว่าแต่เหมียวอี้เลย แม้แต่นางเองก็ยังรู้สึกแปลก สุดท้ายเหมียวอี้ก็แนะนำว่า ให้ทั้งสองเรียกกันว่า “พี่ใหญ่ เจ้าสาม” ต่อไป

เวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน เยว่เหยาที่ถอดชุดตัวนอกนอนอยู่บนเตียงกลับไม่เจอเรื่องน่าตื่นเต้นที่ตัวเองเฝ้าคอย เหมียวอี้บอกให้นางรีบพักผ่อน ส่วนเขาก็นั่งขัดสมาธิฝึกตนอยู่บนเตียง เรื่องบางเรื่องฝืนกันไม่ได้ เขาไม่มีความรู้สึกด้านชายหญิงกับเยว่เหยาเลยจริงๆ ต่อให้วันนี้เยว่เหยาจะแต่งตัวสวยขนาดไหน แต่ในสายตาเขานางก็ยังเป็นเด็กน้อยน้ำมูกไหลคนนั้นเหมือนเดิม

ได้! สุดท้ายเยว่เหยาก็หัวเราะคิกคักแล้วลุกขึ้นมา นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายเขา เริ่มฝึกวิชาแล้วเหมือนกัน นางไม่ได้หน้าด้านถึงขั้นเร่งให้เหมียวอี้ทำเรื่องอย่างนั้นกับนาง ถึงแม้นางจะรู้ว่าในคืนเข้าห้องหอจะต้องทำอะไรก็ตาม และนางก็ค่อนข้างเฝ้าคอยด้วย

เพียงแต่ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จิตใจของเยว่เหยาก็เปลี่ยนไปแล้ว นางรู้ว่าตัวเองเปลี่ยนฐานะกลายเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ นั่นคือความรู้สึกอันแสนงดงามที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะนี่คือเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนเฝ้าคอย นางรู้ว่าสาเหตุที่เหมียวอี้แต่งงานกับนาง ไม่ได้มีความรู้สึกจอมปลอมใดๆ มาปะปน แต่เพราะอยากดูแลนางไปตลอดชีวิตจากใจจริง ดังนั้นในใจจึงรู้สึกหวานชื่นไปอีกแบบ ถึงไม่ถึงว่าคำพูดแสดงเค้าลางในวัยเด็ก จะทำให้นางเดินมาถึงวันนี้แล้วจริงๆ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าเป็นความฝันอยู่เลย

ส่วนเจียงอีอีนั่น นางโยนทิ้งไปหมดสิ้นแล้ว ถ้าจะให้นางเปลี่ยนความคิดดูสักหน่อย ก็จะพบว่านั่นเป็นเพียงรักของสาววัยแรกแย้มเพียงชั่วขณะเท่านั้น จะบอกว่าเป็นรักข้างเดียวก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป ที่จริงระหว่างทั้งสองไม่เคยเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น แม้แต่คำพูดที่อบอุ่นอย่างแท้จริงก็ไม่เคยได้พูดเลยด้วยซ้ำ บางทีในอนาคตก็อาจจะเผลอคิดถึงขึ้นมาบ้าง นางอาจจะยิ้มอย่างเข้าใจหรือไม่ก็ถอนหายใจเบาๆ ให้กับความรักที่โง่เขลานั้น เดิมทีผู้หญิงก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ถ้าไม่เคยได้ร่างกายนาง ก็จะไม่สามารถได้ครองหัวใจของนางจริงๆ บางทีอาจจะโหดร้ายกับเจียงอีอีสักหน่อย แต่ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เขากลายเป็นอดีตไปแล้วจริงๆ กลายเป็นคนที่ผ่านมาแล้วผ่านไปในชีวิตเยว่เหยา อย่างมากก็ทิ้งความทรงจำอันงดงามเอาไว้ให้เยว่เหยานิดหน่อย แต่กลัวไม่ได้ควรค่าแก่การอาลัยอาวรณ์อย่างแท้จริง

ในคืนนี้ ทั้งสองนับว่ารับมือกับค่ำคืนเพื่อแสดงให้คนนอกเห็น

เช้าตรู่วันต่อมา ทั้งสองหยุดใช้วิชาและก้าวลงจากเตียง บทบาทของเยว่เหยาเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เป็นฝ่ายปรนนิบัติสวมเสื้อผ้าให้เหมียวอี้ราวกับเป็นภรรยาตัวน้อย เหมียวอี้ก็ทำตัวสบายๆ เช่นกัน เพราะคิดว่าเยว่เหยากลายเป็นอนุภรรยาของเขาแล้ว แต่สภาพจิตใจเขายังไม่เปลี่ยนไป ยังคิดว่าการที่น้องสาวปรนนิบัติสวมเสื้อผ้าให้ตนสักตัวนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

แต่เขาก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับว่า “เจ้าสาม ตอนนี้เจ้ากลายเป็นอนุภรรยาของข้าแล้ว พี่ใหญ่เองก็มีงานไม่น้อย เจ้ายังต้องเคารพกฎในครอบครัวนะ ไม่อย่างนั้นจะเสียระเบียบ สิ่งที่ควรเคารพพี่สะใภ้ก็ยังต้องเคารพพี่สะใภ้ อย่าทำให้ข้าลำบากใจ แน่นอนว่าพี่สะใภ้ก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากเหมือนกัน”

เยว่เหยาที่กำลังนั่งยองๆ ใส่รองเท้าให้เขาหลุดขำออกมา นางหัวเราะจนไหล่สั่น

เหมียวอี้ถลึงตาสองข้าง ใช้มือเคาะหน้าผากนางหนึ่งที “หัวเราะอะไรของเจ้า ข้ากำลังพูดเรื่องสำคัญกับเจ้าอยู่นะ”

เยว่เหยาเอามือนวดหน้าผาก แล้วโบกมือพลางหัวเราไม่หยุด “พี่ใหญ่ ข้าก็ไม่ได้บอกนี่ว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ท่านจะเอ่ยปากหุบปากก็เรียกแต่พี่สะใภ้ จะให้ข้าออกไปเรียกนางว่าพี่สะใภ้ด้วยมั้ย? ถึงแม้ข้าจะกลายเป็นอนุภรรยาของท่านแล้ว อยู่ต่อหน้าคนนอกแล้วเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเรียกว่าพี่สะใภ้ เกรงว่าจะทำให้คนตกใจแล้ว!”

“เอ่อ…” เหมียวอี้ยกมือตบหน้าผาก “เป็นข้าเองที่เลอะเลือน ช่วงแรกยังปรับตัวไม่ทัน เอาเป็นว่าเจ้าจำไว้ก็พอ รออีกประเดี๋ยวต้องคารวะน้ำชา ถ้าเจ้าทำให้นางโมโหจนไม่รับน้ำชาของเจ้า ถึงตอนนั้นทุกคนก็จะหาทางลงไม่ได้แล้ว” นิสัยเจ้าอารมณ์ของอวิ๋นจือชิว เขาเองเข้าใจอย่างลึกซึ้แล้ว ตำแหน่งนายหญิงของบ้านไม่ยอมให้ใครมาท้าทายได้ง่ายๆ นางทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ

เยว่เหยาช่วยเขาใส่รองเท้า แล้วเบะปากบอกว่า “ก็ต้องโทษท่านนั่นแหละ ถ้าไม่รอจนถึงตอนนี้ ท่านตอบตกลงแต่งงานกับข้าตั้งแต่แรก นางจะได้เข้ามาเกี่ยวข้องเสียที่ไหนกัน ยังไม่รู้เลยว่าใครจะได้คารวะน้ำชาให้ใคร!”

เหมียวอี้บิดหูนางแล้วดึงนางขึ้นมา “เจ้าลองพูดอีกครั้งซิ”

“ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า โอ๊ยเจ็บ! ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้ว” เยว่เหยาร้องพลางใช้มือตี หลังจากเขาปล่อยมือแล้ว นางก็บ่นว่า “พี่ใหญ่ ท่านเข้าใจให้ชัดเจนหน่อยว่าตอนนี้ข้ากับท่านอยู่ในสถานะอะไร มีใครเขาทำกับอนุภรรยาอย่างนี้บ้าง?”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แล้วก็โบกมือบอกว่า “รีบแต่งตัว อย่าปล่อยให้พี่สะ…อย่าปล่อยให้ฮูหยินรอนาน” คำพูดไม่ค่อยเข้ากันไปหน่อย

“ฮ่าๆ…” เยว่เหยาเอามือลูบหูพลางหัวเราะจนตัวโยนอีกครั้ง

เหมียวอี้เอามือเกาศีรษะ อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างงดงาม แต่เมื่อเห็นเจ้าสามมีความสุข เขาก็มีความสุขเช่นกัน ก่อนหน้านี้กลัวว่าเรื่องของเจียงอีอีจะส่งผลกระทบใหญ่หล่วงกับนาง สามารถกลับตัวได้ก็ดีแล้ว เขาหันกลับมาตะโกนเรียกอีกว่า “สาวใช้!”

ผ่านไปครู่เดียว ประตูก็ถูกผลักเปิด เสวี่ยเอ๋อร์เดินนำเข้ามา ข้างหลังยังมีหญิงรับใช้ตามมาอีกสองคน ส่วนสาวใช้ที่แดนโพ้นสวรรค์เตรียมไว้ให้ติดตามแต่งงานนั้นถูกเยว่เหยาปฏิเสธไปแล้ว นางไม่อยากได้สาวใช้ติดตามร่วมห้องอะไรทั้งนั้น ข้างกายพี่ใหญ่ยังมีผู้หญิงไม่เยอะพออีกเหรอ? แม้แต่สาวใช้ที่เคยรับใช้นางในปีนั้นก็ไม่เอา ใช้สาวใช้สองคนของหงเฉินก่อนชั่วคราว

เมื่อเห็นเสวี่ยเอ๋อร์มาแล้ว เหมียวอี้ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้ามาได้ยังไง”

เสวี่ยเอ๋อร์นำสาวใช้สองคนมาคำนับทั้งสอง จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินให้ข้ามาดูว่ามีอะไรจำเป็นต้องใช้หรือเปล่าค่ะ” จากนั้นก็หันกลับไปโบกมือ ใช้สาวใช้ทั้งสองไปปรนนิบัติรับใช้เยว่เหยาแล้ว ส่วนนางก็ไปชั่วจัดระเบียบข้างเตียง แต่สายตาของนางมองสำรวจบนผ้าปูเตียงอย่างละเอียด

จากนั้นนางก็ขอตัวออกไปก่อน พอออกจากลานบ้านแล้วก็รีบออกไปหาอวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวกำลังรอนางอยู่ พอเห็นหน้าก็ถามเสียงต่ำทันที “เป็นยังไงบ้าง?”

เสวี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีค่ะ! ตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีเลือดพรหมจรรย์ค่ะ”

“เฮ้อ! สงสัยจะเป็นจริง…” อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ นางไม่อยากให้ในบ้านเกิดเรื่องน่ารังเกียจอะไรทั้งนั้น ตอนอยู่คุกใต้ดินที่จวนแม่ทัพภาคนางก็สังเกตคำพูดของเยว่เหยาซ้ำแล้วซ้ำอีก นางก็เลยยังมีความหวังอยู่บ้าง หวังว่าเยว่เหยาจะพูดไปเพราะอารมณ์โกรธเท่านั้น ใครจะคิดว่านางหนูคนนี้จะถูกเจียงอีอีล่วงล้ำร่างกายแล้วจริงๆ จบกัน ปล่อยให้เหมียวอี้เก็บรองเท้ามือสองกลับมาแล้วจริงๆ

สิ่งนี้ทำให้นางต้องช่างน้ำหนัก ว่าควรจะมีท่าทีต่อเยว่เหยาอย่างไร ไม่อย่างนั้นก็จะทำให้เยว่เหยากับเหมียวอี้คิดว่านางเอาเรื่องเจียงอีอีมายั่วโมโหเยว่เหยา

พอไตร่ตรองได้สักพัก นางก็กำชับว่า “จำไว้นะ ห้ามให้ใครรู้เรื่องของนางกับเจียงอีอีเด็ดขาด ต่อให้เวลาเถียงกันทะเลาะกัน ก็อย่าตีวัวกระทบคราดอะไรทั้งนั้น”

“บ่าวเข้าใจแล้วค่ะ” เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้า

…………………………