บทที่ 1611 หยางชิ่งซาบซึ้ง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ในโถงหลัก เชิญกลุ่มพยานมาอยู่ในโถงแล้ว ขนาดคนที่ไม่มีคุณสมบัติที่จะถูกเชิญมาก็ยังเสนอหน้ามาด้วยเลย ยกตัวอย่างเช่นจิ้งจอกพันหน้าที่ตามอวิ๋นรั่วซวงเข้ามา

หยางชิ่งกับฮูหยินก็ขาดไม่ได้ยู่แล้ว ฉินเวยเวยไม่สะดวกจะหลบเลี่ยง แม้แต่หงเฉินก็จำเป็นต้องโผล่หน้าออกมาเช่นกัน พวกจีเหม่ยลี่ไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นก็ต้องมาร่วมงานนี้ด้วยเหมือนกัน

อวิ๋นจือชิวนั่งอยู่บนตำแหน่งนายหญิง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย อวิ๋นเสียอาสามของนางและตาเฒ่าเฉียวที่ยืนอยู่อีกด้านกำลังชำเลืองมองนาง ไม่รู้เหมือนกันวาความรู้สึกที่แท้จริงในใจนางเป็นอย่างไร คาดว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนสามารถยิ้มออกมาจากใจจริงได้

ฮูเหยียนไท่เป่าที่อยู่ในฐานะเจ้าสาวก็แต่งตัวค่อนข้างเข้ากับงานฉลอง บนใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนๆ ที่ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม ในใจเขาค่อนข้างเซ็ง ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์น้องอันแต่งงานเร็วไปหน่อย เจ้าเวรเหมียวอี้มันจะเอาศิษย์น้องอันไปแต่งงานด้วยกันเลยรึเปล่า?

แต่ลูกสาวทั้งคู่ของอันหรูอวี้ก็ดันเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ไปแล้ว เขาสงสัยนิดหน่อยว่าผู้หญิงของทั้งแดนโพ้นสวรรค์มีไว้เตรียมให้เหมียวอี้คนเดียวหรือเปล่า โดยเฉพาะลำดับอาวุโสแบบนั้น ทำให้เขาเซ็งอย่างบอกไม่ถูก เขายังไม่รู้เลยว่าหลางหลางกับหวนหวนจะเรียกหงเฉินว่าอย่างไร

เอาเป็นว่าบุคคลระดับสูงของห้าปราชญ์มากันหมดแล้ว คนอื่นๆ ไม่ได้มีความคิดเห็นอะไรมากนัก สาเหตุแรกคือมาแสดงความยินดี สาเหตุรองก็คือนภาอู๋เลี่ยงเรียกรวมพวกเขามาปรึกษาหารือเรื่องสำคัญ

ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็นำเยว่เหยาเข้ามาแล้ว เยว่เหยาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและทรงผมเป็นแบบสตรีที่แต่งงานแล้ว ตอนแรกก็ยังไม่เป็นอะไร แต่พอก้าวเข้ามาในโถงหลัก ก็เห็นคนมากมายมองดูนางพลางยิ้มอย่างเป็นกันเอง ทำให้นางกดดันทันที ใบหน้าแดงเรื่อในชั่วพริบตาเดียว

เหมียวอี้ทิ้งนางไว้ก่อนชั่วคราว แล้วเดินก้าวยาวไปตรงตำแหน่งหลัก เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน อวิ๋นจือชิวก็ไว้หน้าเขาเต็มที่ ลุกขึ้นย่อเข่าคำนับต้อนรับ จากนั้นนั่งลงพร้อมกัน

เยว่เหยาที่เขินอายจนเกินทนยืนรับสายตาของทุกคนอยู่กลางโถงเพียงลำพัง เสวี่ยเอ๋อร์ยกถ้วยน้ำชาเข้ามายื่นให้นาง และแนะนำเล็กน้อย

เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าอวิ๋นจือชิว ก็เป็นครั้งแรกที่เยว่เหยารู้สึกว่าตัวเองไม่กล้ามองนายหญิงคนนี้ เพราะเมื่อก่อนล่วงเกินอีกฝ่ายไว้แรงมาก นางก้มหน้าย่อเข่าอย่างเขินอาย ใช้สองมือประคองน้ำชายื่นไปตรงหน้าอวิ๋นจือชิว แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นกังวลนิดหน่อยว่า “ฮูหยินได้โปรดดื่มน้ำชา”

อวิ๋นจือชิวมองนางพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันเอง แต่กลับไม่ยื่นมือไปรับน้ำชา เหมียวอี้เหล่ตามองอวิ๋นจือชิวที่ยังนิ่งเฉย เขาหัวใจกระตุกเล็กน้อย ค่อนข้างเครียดแล้ว

การแสดงอำนาจบารมีนี้ ทำให้ทุกสายตาจับจ้องแล้ว ต่างก็แอบแปลกใจเล็กน้อย หรือว่าก่อนที่เหมียวอี้จะรับอนุภรรยา ยังไม่ได้คุยกับฮูหยินของตัวเองให้เรียบร้อย? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ หลังบ้านก็วุ่นวายแล้ว

ฮูเหยียนไท่เป่าเม้มริมฝีปากแน่น

เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามไม่มีปฏิกิริยาอะไรเสียที สองมือที่เยว่เหยาประคองถ้วยน้ำชาก็สั่นเล็กน้อย ประหม่าแล้วจริงๆ ถ้าวันนี้อวิ๋นจือชิวไม่ยอมรับน้ำชาถ้วยนี้ นางก็จะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะแน่นอน ตอนนี้นางนับว่าตระหนักได้อย่างแท้จริงแล้วว่านายหญิงของบ้านนี้คือใคร ต่อไปเมื่อเผชิญหน้ากับอวิ๋นจือชิวนางต้องได้รับแรงกดดันมากแน่ๆ กดดันจนนางใกล้จะสติแตก

แม้แต่หงเฉินที่สงบนิ่งมานานก็ยังขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกกังวลแทนเยว่เหยา เวลาอวิ๋นจือชิวทำตัวเจ้าอารมณ์ขึ้นมานั้นร้ายกาจขนาดไหน นางก็เคยสัมผัสมาแล้ว

โชคดีที่อวิ๋นจือชิวไม่ได้กลั่นแกล้งนางนานเกินไป เพียงยิ้มพร้อมถามว่า “น้องสาว หลังจากเมื่อคืนนี้เป็นต้นมา เจ้าคือคนของตระกูลไหน?”

เยว่เหยาพยายามควบคุมเสียงที่ใกล้จะสั่นของตัวเอง ตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “คนของตระกูลเหมียว”

“หวังว่าเจ้าจะจำคำพูดในวันนี้ของเจ้าเอาไว้” อวิ๋นจือชิวตอบกลับอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง เสร็จแล้วถึงได้รับน้ำชามาจากมือนาง เปิดฝาถ้วยน้ำชาจิบช้าๆ จากนั้นก็ยื่นให้เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ “เอาล่ะ น้องสาวไม่ต้องมากพิธี ตั้งแต่นี้ไปเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” นางลุกขึ้นประคองแขนเยว่เหยาที่กำลังย่อเข่าคำนับ

ตอนนี้ทุกคนถึงได้โล่งใจ เหมียวอี้ที่รอจนกังวลก็ได้ยกก้อนหินออกจากอกแล้วเช่นกัน เมื่อครู่นี้ท่านขุนนางเหมียวแทบจะถ่ายทอดเสียงขอร้องอวิ๋นจือชิวแล้ว ตกใจแทบแย่

จากนั้นเหมียวอี้ก็นำเยว่เหยามาคำนับผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดี ในงานมีเสียงแสดงความยินดีไม่ขาดสาย แต่เขาเห็นในดวงตาของฉินเวยเวยฉายแววคับแค้นเล็กน้อย

ไม่คับแค้นคงไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เดิมทีนึกว่าช่วงเวลานี้เหมียวอี้จะเป็นของนางคนเดียว ตอนนี้นางไม่สะดวกจะไปแย่งเวลากับคนใหม่แล้ว เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เวลาของเหมียวอี้ในช่วงนี้เป็นของเยว่เหยาคนเดียว

“พี่เขย ยินดีด้วยนะ” อวิ๋นรั่วซวงกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม ดูถูกที่เหมียวอี้โลภจนมีเมียเยอะขนาดนี้ โชคดีที่อวิ๋นเสียกลั่วว่านางจะทำซี้ซั้ว จึงดึงนางไปไว้ข้างหลังแล้ว

จิ้งจอกพันหน้าที่ตามอวิ๋นรั่วซวงมาก็เรียกได้ว่ามองเหมียวอี้ด้วยสายตาเหยียดหยาม นางได้ยินอวิ๋นรั่วซวงเล่าแล้ว ว่าท่านที่อยู่ตรงหน้านี้รับอนุภรรยาไว้แล้วหลายคน ภูตผีมารปีศาจอะไรก็มีครบหมด ขนาดคนออกบวชยังเอาเลย ได้ลิ้มลองรสชาติที่หลากหลายมาทั่วแล้ว ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ นางยังนึกว่าเหมียวอี้รักตัวเองมาก ไม่ค่อยยุ่งกับผู้หญิงสักเท่าไร นึกไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะสกปรกโสมมน่าไม่อายขนาดนี้

หลังจากกล่าวทักทายปราศัยกันตามมารยาทแล้ว อวิ๋นจือชิวก็จูงมือเยว่เหยา พร้อมพาหงเฉินและฉินเวยเวยออกไป ระหว่างพวกนางยังมีอะไรต้องคุยกันอีก พอแขกแยกย้ายกลับไปแล้ว เหมียวอี้กับหยางชิ่งก็ยื้อบุคคลระดับสูงของห้าแดนเอาไว้ เพราะมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งต้องปรึกษาหารือ

ไม่ได้จะปรึกษาหารือเรื่องอื่นใดหรอก จะปรึกษาว่าจะนำคนไปที่พิภพใหญ่อย่างไร จำเป็นต้องให้แต่ละแดนมาช่วยจัดกลุ่ม ในใต้หล้ามีนักพรตเยอะขนาดนั้น อาศัยแรงของแดนอู๋เลี่ยงฝ่ายเดียวก็สิ้นเปลืองเวลาเกินไป

ข่าวนี้แพร่ไปทั้งแดนฝึกตนของพิภพเล็กแล้ว แดนฝึกตนฮือฮา จะได้ไปพิภพใหญ่ที่ใฝ่ฝันมาแสนนาน ทั้งยังไม่เกี่ยงว่าวรยุทธ์จะสูงหรือต่ำด้วย ขอแค่เป็นนักพรตก็พอแล้ว จะไม่ให้ทุกคนดีใจได้อย่างไร

แต่ปัญหายุ่งยากในตอนนี้ก็คือ นักพรตสังกัดทางการของทั้งพิภพเล็กบวกกับสำนักต่างๆ รวมทั้งนักพรตอิสระ พอบวกรวมกันแล้วเกรงว่าจะได้นักพรตหนึ่งร้อยสามสิบล้านคน เจตนาของเหมียวอี้ก็คือเหลือนักพรตไว้ที่พิภพเล็กสักร้อยกว่าคนเพื่อเก็บลูกแก้วพลังปรารถนาก็พอแล้ว แบบนี้เท่ากับจะย้ายนักพรตเกือบหนึ่งร้อยสามสิบล้านคนไปที่แดนอเวจี แน่นอน ฝั่งเหมียวอี้ไม่ได้เปิดเผยว่าจะไปแดนอเวจี แค่บอกรวมๆ ว่าจะไปพิภพใหญ่

ส่วนหกปราชญ์หลังจากได้ฟังข่าวอันน่าตกตะลึงและฟังส่วนได้ส่วนเสียแล้ว ก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้เช่นกัน เห็นด้วยที่จะรักษาความลับ ถึงแม้ความสามารถของพวกเขาจะถูกยอมรับจากหกลัทธิ แต่ศักยภาพในตัวเองก็ยังมีจุดด้อยที่ใหญ่มาก ถ้านำทรายพวกนี้มาปะปนด้วยก็จะทำให้พวกเขาควบคุมหกลัทธิได้สะดวก แต่นี่ไม่ใช่เม็ดทรายเม็ดข้าวสารแล้ว มีทรายเข้ามาปะปนในหกลัทธิมากขนาดนี้ คาดว่าคงเป็นเศษเล็กเศษน้อยที่มองไม่เห็นด้วยซ้ำ ดีมากเลย ตั้งตาคอยแล้ว

นักพรตหนึ่งร้อยล้านกว่าคน การขนส่งกลายเป็นปัญหาใหญ่แล้ว ประเด็นสำคัญก็คือเหมียวอี้ไม่อยากเปิดเผยเส้นทางไปกลับระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่

ความจุของกระเป๋าสัตว์ก็มีจำกัด สามารถจุได้สองครั้งเท่านั้น ไม่สามารถจุเป็นครั้งที่สามได้ ถ้าเกินกว่านี้ความสามารถในการจุของกระเป๋าสัตว์ก็จะพัง

ที่สำคัญก็คือ การใส่นักพรตที่บนตัวมีกระเป๋าสัตว์เข้าไปในกระเป๋าสัตว์ก็ไม่มีปัญหา บนตัวของนักพรตที่ถูกใส่เข้าไปมีพื้นที่ว่างสักห้องก็ได้ แต่ถ้าใส่เข้าไปซ้อนกันอีก กระเป๋าสัตว์ก็จะไม่สามารถกลืนเข้าช่องว่างที่ซ้อนติดกันสามชั้นได้ ปัญหานี้ที่พิภพเล็กยังแก้ไขไม่ได้ ที่พิภพใหญ่ก็แก้ไขไม่ได้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นถ้ากระเป๋าสัตว์ใบเดียวสามารถใส่คนเข้าไปได้หลายคนโดยไร้ขีดจำกัด นั่นก็หมายความว่า ต่อให้จะใส่กระเป๋าสัตว์ซ้อนกัน แต่ต่อให้กระเป๋าแตกก็ยังใส่คนได้แค่ไม่กี่ร้อยคนอยู่ดี

ต่อให้คนที่รู้เส้นทางอย่างเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิว เสวี่ยเอ๋อร์และเหยียนซิวจะต่างคนต่างพกกระเป๋าสัตว์ไว้เป็นกอง แต่การนำคนไปจำนวนหนึ่งแสนคนในรวดเดียวแล้วจะได้อะไรล่ะ? การจะขนส่งคนหนึ่งร้อยล้านคนจะต้องถ่อไปถ่อมาตั้งกี่รอบ? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไปถึงพิภพใหญ่แล้วยังต้องข้ามประตูดวงดาวอีกหลายครั้ง ถ้าใครมาพบว่าเจ้าแบกกระเป๋าสัตว์เป็นกอง ถึงตอนนั้นถ้าไม่อยากโดนสงสัยก็คงยาก

แต่ปัญหานี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ กำไลเก็บสมบัติสามารถทนรับแรงกดดันของช่องวางได้สามครั้ง นี่คือขีดจำกัดของการบรรจุสัมภาระที่รู้ในปัจจุบัน ยังไม่มีใครสามารถตระหนักรู้เรื่องช่องว่างในขั้นสูงกว่านี้ได้ กอปรกับช่องว่างใหญ่กว่าแหวนเก็บสมบัติกับกระเป๋าสัตว์เยอะมาก การยัดหนึ่งหมื่นคนเข้าไปโดยตรงโดยไม่นับช่องว่างทับซ้อน ก็หมายถึงช่องว่างที่เบียดกันได้หนึ่งหมื่นคน ไม่ใช่ช่องว่างสำหรับให้หนึ่งหมื่นคนอยู่ด้วยกันแบบกระจาย เพราะข้างในเป็นสุญญากาศ ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย จะทำให้มีคนเก็บกดตาย ถึงแม้นักพรตตจะสามารถทนได้นาน แต่หนทางไปแดนอเวจีก็ไกลและยาวนาน อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเดินทางหนึ่งเดือน

แน่นอน ปัญหานี้ก็มีวิธีแก้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่รั้งให้คนพวกนี้มาปรึกษากัน สามารถให้นักพรตแต่ละคนเตรียมอัดอากาศเอาไว้ให้เพียงพอ แล้วก็เก็บนักพรตเข้าไว้ในกำไลเก็บสมบัติอีกที กำไลเก็บสมบัติหนึ่งวงใส่ได้หนึ่งหมื่นคน หนึ่งหมื่นคนนั้นก็ต่างคนต่างจุไว้อีกหนึ่งหมื่นคน ส่วนที่เหลือก็ให้คนที่ยังมีช่องว่างต่างคนต่างอัดอากาศเตรียมไว้ แบบนี้กำไลเก็บสมบัติหนึ่งวงก็จะสามารถพาคนไปได้ในรวดเดียวหนึ่งร้อยล้านคน และไม่ทำให้ทุกคนเบียดกันด้วย ถ้าในมือทุกคนมีกำไลเก็บสมบัติหลายวง ก็จะแก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว

ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือ กลัวก็แต่จะมีคนนำสัมภาระส่วนตัวไปด้วย นำกำไลเก็บสมบัติมาหลายๆ ชุดก่อน ปัญหารองลงมาก็คือเรื่องความเชื่อใจ อยู่ดีๆ ก็จะถูกจับเข้าไปในช่องว่างที่ปิดผนึกไว้ แบบนี้จะต่างอะไรกับการถูกจับยัดเข้ากระเป๋าสัตว์ล่ะ? ถ้ามีใครเกิดเจตนาร้ายขึ้นมา ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะตายอย่างไร มิหนำซ้ำใครจะไปรู้ว่าพิภพใหญ่อะไรนั่นจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? คนมากมายขนาดนั้นถ้าอยากจะจับไปก็ไม่สำเร็จหรอก หมูหนึ่งร้อยล้านตัวที่วิ่งพล่านไปทั่วเจ้ายังพอจับไว้ แต่อย่างไรเสียคนพวกนี้ก็เป็นนักพรตนะ

เพียงแต่หยางชิ่งร่างวิธีการแก้ปัญหาไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน นั่นก็คือให้นักพรตแต่ละแดนจับกลุ่มคนที่เชื่อใจกันไปก่อน เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้วมั่นใจว่าไม่เป็นอะไร ก็ค่อยกลับมาบอกข่าวอีกครั้ง

เหมียวอี้เองก็เตรียมตัวไว้แล้วว่าต้องเดินทางสองรอบ

ส่วนนักพรตทางการของหกแดน ก็จำเป็นต้องพาไปสองชุดเช่นกัน พาไปชุดหนึ่งก่อนเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนหนึ่งชุดที่เหลือก็ต้องรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยฝั่งนี้เช่นกัน

ดังนั้นจึงต้องให้แต่ละแดนกลับไปจัดเตรียม และต้องจัดเตรียมแข่งกับเวลาด้วย เหมียวอี้ไม่อาจจะอยู่ที่นี่ตลอดได้

ฝั่งแดนอู๋เลี่ยงก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ทางห้าปราชญ์สั่งมาแล้วว่าขอความร่วมมือ ด้วยเหตุนี้บุคคลระดับสูงของห้าแดนเข้าใจเรื่องที่ต้องทำแล้วจึงไม่มีอะไรชักช้าเสียเวลา รีบกลับไปเตรียมการทันที พวกเขารอคอยที่จะไปพิภพใหญ่มานานแล้ว เพราะพวกเขามั่นใจว่าพิภพใหญ่มีอยู่จริง อาจารย์ของตัวเองปักหลักอยู่ทางนั้นได้แล้ว พอไปถึงก็สามารถขอพึ่งพาได้เลย ไม่เหมือนนักพรตระดับล่างที่ฟังจากปากเปล่าจึงไม่อาจเชื่อง่ายๆ

ตอนแรกหยางชิ่งปล่อยข่าวออกไปก่อน ต้องให้เวลานักพรตในใต้หล้าเตรียมใจเอาไว้

เมื่อแก้ปัญหาสำคัญได้แล้ว หยางชิ่งก็โล่งอก กุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้ “นายท่าน ถ้าไม่มีอย่างอื่นจะกำชับแล้ว ข้าขอไปเตรียมงานเรื่องย้ายคนของแดนอู๋เลี่ยงก่อน”

“ช้าก่อน!” เหมียวอี้เรียกให้เขาหยุด ลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าเขา แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “เรื่องพวกนี้ซับซ้อน ข้าเองก็ไม่ได้จัดการอะไรสักเท่าไร ช่วงนี้ลำบากเจ้าแล้ว ว่ากันตามหลักการ ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าจะได้กลับมาสักครั้ง ควรจะไปพบฉินซีบ่อยๆ หน่อย แต่ความเป็นจริงก็เห็นๆ กันอยู่ ก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน”

หยางชิ่งกล่าวตามมารยาทว่า “ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำ รอให้ข้าน้อยลงหลักปักฐานที่นั่นได้ก่อน ต่อไปจะย้ายฉินซีไปอยู่ทางนั้นก็ได้ มีเวลาให้เจอกันอยู่แล้วขอรับ”

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรตามมารยาทอีก พลิกฝ่ามือนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา “นี่คือเคล็ดวิชาฝึกตน ชื่อว่ามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เจ้าเอาไปฝึกเถอะ!”

จะให้ม้าวิ่งอย่างเดียวโดยไม่ป้อนหญ้าไม่ได้ กอปรกับการที่เขาแต่งงานรับอนุภรรยาเพิ่มอีกคนส่งผลกระทบต่อลูกสาวหยางชิ่ง มอบภารกิจสำคัญขนาดนี้ให้หยางชิ่งแล้ว คงไม่ดีถ้าจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ ถือว่าเป็นการปลอบใจก็แล้วกัน

“มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?” หยางชิ่งตกตะลึงมาก อุทานถามว่า “อย่าบอกนะว่าเป็นมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงที่เฟิงเป่ยเฉินฝึก?”

เหมียวอี้พยักหน้า “ที่จริงมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงแบ่งเป็นภาคฟ้า ดิน คน มีทั้งหมดสามภาค เฟิงเป่ยเฉินฝึกแค่ภาคคน ส่วนภาคฟ้ากับภาคดินล้วนอยู่ที่พิภพใหญ่ ตอนนี้ข้าหาเจอแค่ภาคดิน ตอนนี้ส่งทั้งภาคดินและภาคคนให้เจ้าแล้ว หวังว่าจะเสริมจุดด้อยให้เจ้าได้ ให้เจ้าได้แสดงบทบาทต่อหกลัทธิ หยางชิ่ง ข้าฝากความหวังมากมายไว้กับเจ้า อย่าทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด!”

หยางชิ่งอยู่ที่พิภพใหญ่มานานขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจว่ามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงหมายถึงอะไร ให้เขากุมอำนาจมหาศาลขนาดนี้เอาไว้ ทั้งยังมอบเคล็ดวิชาฝึกตนที่เขาไม่กล้าฝันถึงให้ ได้สองอย่างนี้มาแล้วหมายความว่าอย่างไรล่ะ? ก็หมายความว่าตัวเองมีโอกาสก้าวขึ้นไปอยู่ระดับบนสุดของพิภพใหญ่น่ะสิ!

ความเชื่อใจขนาดนี้สร้างแรงกดดันมากจริงๆ ครั้งนี้เขาถูกทำให้ตื้นตันใจแล้วจริงๆ เขาค้อมกายกุมหมัดคารวะอย่างซาบซึ้ง “ข้าน้อยจะทุ่มเทสติปัญญาความสามารถตราบจนชีวิตหาไม่!”

…………………………