รองแม่ทัพจากศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานลากร่างกายบาดเจ็บสาหัสและย้ายมาอยู่หน้าเฉินฉางเซิงกับจี๊ดจี๊ด ป้องกันคลื่นพลังปราณที่ตามมา จากนั้นเขาก็ฟาดใส่กำแพงของลานบ้านจนพังเป็นเศษซาก อันหวาไม่อาจสนใจนักสร้างค่ายกลหนุ่มบนแคร่หามอีกต่อไป นางคลานไปที่เฉินฉางเซิงกับจี๊ดจี๊ด คว้าคอเสื้อของพวกเขา ใช้พลังทั้งหมดลากพวกเขาไปด้านหลัง ต้องการที่จะเพิ่มระยะห่างระหว่างพวกเขากับร่างที่น่ากลัวนั้นให้มากที่สุด
เกล็ดน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนสลายเป็นเส้นใยที่ลอยไปในซากปรักหักพังของลานบ้านเหมือนกับดอกหลิว ราวกับนี่เป็นแดนใต้จริงๆ หากไม่ใช่เพราะความเย็นไร้สิ้นสุดกับร่างอันน่ากลัวของใต้เท้าไห่ตี๋ที่เดินข้ามสะพานมา เส้นใยน้ำแข็งปลิวห่างจากเขา ไม่กล้าที่จะสัมผัสโดน
เมื่อเขามองไปที่เฉินฉางเซิงซึ่งล้มอยู่ริมทะเลสาบ ไห่ตี๋ยังคงไร้สีหน้าแต่ดวงตาสีเขียวมีประกายไฟน่ากลัว เขาเป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่ามารและมีประสบการมากมายนับไม่ถ้วนในชีวิต อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดว่าสังฆราชของมนุษย์กำลังจะตายใต้มือของเขา แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นกระวนกระวายอยู่บ้าง
หมอกบางที่แผ่คลุมทะเลสาบและลานบ้านได้แทนที่ปราณมารอย่างสมบูรณ์ ราวกับสัมผัสได้ถึงอารมณ์ตื่นเต้นของเขา ปราณมารเริ่มสั่นและเปลี่ยนเป็นสายลมเย็น
เมื่อสำรวจมองอย่างละเอียด ก็จะพบว่าส่วนใหญ่ของสายลมเย็นเยียบนี้มาจากอาวุธ ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักในมือเขา
ใบหน้าซีดขาวของอันหวาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง นางก้มหน้าเพื่อเลี่ยงการมองไปที่ศัตรูอันแข็งแกร่งและน่าหวาดกลัว ลากเฉินฉางเซิงกับจี๊ดจี๊ดไปหลังกำแพงต่อไป
ทันใดนั้นนางก็ตระหนักว่าร่างของเฉินฉางเซิงเริ่มหนักขึ้น นางพบว่าไม่อาจที่จะลากเขาได้อีก ทันทีหลังจากนั้น มือที่สะอาดอย่างมาก อบอุ่นและหนักแน่นตบลงบนไหล่ของนาง ในเวลาเดียวกัน เสียงที่สะอาด อบอุ่นและหนักแน่นก็พูดขึ้น
“ข้ายังไหว”
คนพูดก็คือเฉินฉางเซิง
เขาลุกขึ้นและมองไปที่สะพาน มือกำเอาไว้ที่ฝักกระบี่
กระบี่ชื่อว่าไร้ราคี ฝักกระบี่เรียกว่าซ่อนคม และภายในฝักก็มีกระบี่ชื่อดังนับไม่ถ้วน และยังมีวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริงอีกด้วย
ในขณะที่เขาคว้าฝักกระบี่ ลูกปัดหินเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนข้อมือ
ลูกปัดหินพวกนี้เรียบง่ายและไร้การประดับตกแต่ง บางทีถึงกับหยาบกระด้าง ไม่ได้แผ่คลื่นพลังปราณออกมาเลย
แต่เมื่อสายตาของจี๊ดจี๊ดจับจ้องไปที่มัน นางก็รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้น
นางเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตชั้นสูงบนโลกนี้ แต่นางก็ยังไม่มอาจมองเห็นความจริงของลูกปัดหินพวกนี้ อย่างไรก็ตาม จากที่มองใกล้ๆ นางก็ยังสัมผัสได้ถึงธรรมชาติของลูกปัดหินพวกนี้
ลูกปัดหินพวกนี้เป็นของแบบใดกันถึงทำให้นางรู้สึกตื่นตะลึงได้แบบนี้
การบำเพ็ญเพียรของอันหวายังไม่เพียงพอที่จะสัมผัสได้ถึงคุณสมบัติพิเศษของลูกปัดหินพวกนี้ แต่นางก็ทุ่มเทหัวใจให้กับเต๋าและดวงจิตของนางก็กระจ่างสดใส ทำให้นางสามารถสัมผัสได้ถึงปราณอีกแบบหนึ่ง
ปราณนี้ก็มาจากลูกปัดหินเช่นกัน แต่ไม่ใช่จากตัวลูกปัดหินเอง แต่ดูเหมือนจะมาจากโลกที่ห่างไกลออกไปซึ่งซ่อนอยู่หลังหนึ่งในลูกปัดหินพวกนี้
ใยปราณที่เก่าแก่ ป่าเถื่อน โหดร้ายและอาบเลือดจำนนวนนับไม่ถ้วนเหมือนจะพุ่งออกมาจากโลกใบนั้น
……
……
ในบรรดาลูกปัดหินบนข้อมือของเฉินฉางเซิง เม็ดหนึ่งถูกมอบให้ลั่วลั่ว ครึ่งหนึ่งถูกแบ่งให้สวีโหย่วหรง และที่เหลือก็ถูกมัดเอาไว้รวมกันด้วยเส้นด้ายแดง อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่ได้ดูเบาบาง เมื่อลูกปัดหินพวกนี้เป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่เขาเอาออกมาจากสวนโจวและมีคุณสมบัติที่ลึกล้ำเกินบรรยาย
ปราณอาบเลือดและโหดร้ายที่อันหวาสัมผัสได้นั้นก็มาจากสวนโจว
แม้ว่าเขาจะไม่อาจที่จะทำความเข้าใจความลับของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์และพวกสหายในสวนโจวก็ไม่อาจที่จะพลิกฟ้าคว่ำดิน มันก็ยังเป็นวิชาที่ทรงพลังที่สุดของเขา แน่นอนนอกจากนี้ เขาก็ยังมีจดหมายที่เขายังไม่ได้เปิดออกอยู่
ด้วยวิธีเหล่านี้ เขามั่นใจว่าต่อให้เขาไม่อาจเอาชนะไห่ตี๋ อย่างน้อยเขาก็ทนได้ระยะเวลาหนึ่ง
แต่หากเขาใช้ลูกเล่นพวกนี้แล้วยังไม่อาจที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้จะทำอย่างไรต่อ
ก่อนคืนนี้ เขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้ เขาเคยมีประสบการต่อสู้กับไห่ตี๋ ดังนั้นเขาจึงได้เตรียมตัวไว้ เขาเคยคิดว่าพึงพาลูกเล่นพวกนี้ เขาสามารถที่จะเอาชนะไห่ตี๋ได้ แต่เขาต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าไห่ตี๋นั้นแข็งแกร่งน่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อปีก่อนมาก
สายตาของเขาจ้องไปที่ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักในมือของไห่ตี๋
วัตถุนี้เป็นที่มาของความเปลี่ยนแปลง ไม่อย่างนั้นจี๊ดจี๊ดคงสามารถทนได้นานอีกหน่อย นานพอให้เขาฆ่าพวกยอดฝีมือเผ่ามารทั้งหมดในหุบเขาหิมะ
ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักนี่ย่อมไม่ใช่อาวุธที่ไห่ตี๋ใช้บ่อยครั้ง อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นมันบนทุ่งหิมะเมื่อปีก่อน
“ไม่ว่าเจ้าจะมีลูกเล่นมากแค่ไหน เจ้าก็ต้องตายในมือข้าคืนนี้”
ไห่ตี๋ยืนอยู่บนสะพานและพูดอย่างเรียบเฉย “ด้วยของวิเศษในมือข้า ใครจะกล้าขัดขืน”
ที่เขาพูดถึงคือป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักนี้ใช่หรือเปล่า
ก่อนหน้านี้ป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักได้สร้างรอยร้าวบนใบไม้ครามในมือของจี๊ดจี๊ด แม้ว่ามันจะเป็นแค่รอยร้าวบางๆ มันก็ยังทำให้นางและเฉินฉางเซิงตกใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ถึงอย่างไรมันก็คือโลกใบไม้คราม
อาวุธใดที่สามารถต้านทานถึงกับสามารถทำร้ายโลกนี้ได้เล็กน้อยอีกด้วย มันจะเป็นอะไรได้นอกจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์
เฉินฉางเซิงนึกถึงภาพจากคืนนั้นในสุสานเทียนซู
ใบไม้ครามของอาจารย์อาสังฆราชลอยผ่านความมืดและมาถึงต่อหน้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยื่นมือออกและคว้าของออกมาจากสุสานเทียนซูแล้วฟาดใสมันอย่างหนักหน่วงรุนแรง
แม้ว่าระดับพลังที่เกี่ยวข้องในการต่อสู้ครั้งนั้นกับการต่อสู้ในคืนนี้จะต่างกันมาก การต่อสู้ก็เป็นไปอย่างคล้ายคลึงกันอย่างแท้จริง
ยิ่งเขาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทั้งสองเท่าไร เฉินฉางเซิงก็บพว่าป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักในมือของไห่ตี๋คุ้นเคยมากขึ้นเท่านั้น ถึงกับสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงที่มีกับมัน
หรือว่านี่จะเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่หายไปจริงๆ
นี่ดูเหมือนจะมีบทสรุปเดียวเท่านั้น แต่เฉินฉางเซิงก็ยังไม่อาจเข้าใจ
หากไห่ตี๋ถือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่หายไปจริง ถ้าอย่างนั้นด้วยระดับการบำเพ็ญเพียรที่น่ากลัวของเขา ตราบใดที่เขาโจมตีเต็มกำลัง เฉินฉางเซิงกับจี๊ดจี๊ดก็คงไร้กำลังที่จะต้านทาน ไม่มีโอกาสที่เขาจะคว้าฝักกระบี่เตรียมที่จะใช้ลูกไม้สุดท้ายออกมา
ทำไมไห่ตี๋ไม่ทำเช่นนั้น และทำไมเขาถึงยังยืนอยู่พูดอยู่บนสะพาน เขากลัวของวิเศษของพระราชวังหลี หรือรอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ
เส้นใยน้ำแข็งที่ลอยไปในซากปรักหักพังของลานบ้านพลันหายไป
นี่เป็นเพราะเสียงดีดกู่ฉินกระจ่างชัดดังไปทั่วทุกส่วนของโลก
สำหรับเผ่ามาร โอกาสที่จะฆ่าสังฆราชของเผ่ามนุษย์เป็นโอกาสที่ไม่อาจพลาดได้ ต่อให้พวกเขาต้องจ่ายด้วยชีวิตนับไม่ถ้วน พวกเขาก็ยังทำอยู่ดี
ในตอนนี้ไห่ตี๋ห่างจากเหตุการณ์ซึ่งจะทำให้โลกตะลึงและจะจารึกในประวัติศาสตร์แค่สิบกว่าจั้งเท่านั้น เขาสามารถข้ามระยะทางนี้ได้ในลมหายใจเดียวกัน
พูดตามเหตุผล ต่อให้จักรพรรดิขาวหรือซางสิงโจวมาด้วยตัวเอง ก็ไม่อาจห้ามได้ต่อให้ไห่ตี๋ต้องตายหลังจากนั้นก็ตาม
แต่เมื่อได้ยินเสียงดีดฉินนี้ ไห่ตี๋ก็หยุด
เสียงฉินนี้ทั้งกระจ่างชัดและหนาวเย็นอย่างที่สุด แฝงไว้ด้วยความเย็นเยียบเสียดกระดูก บางทีอาจบ่งบอกถึงอารมร์ของคนดีดฉิน
เมื่อเสียงฉินดังมา สะพานก็ปกคลุมไปด้วยชั้นของน้ำค้างแข็ง การเดินข้ามพื้นผิวที่ลื่นของมันนั้นยากทีเดียว
ร่างของไห่ตี๋ก็ปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง ราวกับว่าเขาได้เปลี่ยนสภาพเป็นรูปแกะสลักน้ำแข็ง
เขาหันไปช้าๆ ดูเหมือนกับว่าเคลื่อนไหวอย่างยากลำบากผิดปกติ
เขามองไปยังจุดที่เสียงดีดฉินดังมา ดวงตาสีเขียวเต็มไปด้วยอารมณ์นานับชนิด
มีทั้งสับสน ตกใจและหวาดกลัว