ตอนที่ 842 สู้กับระดับดาราพยากรณ์อีกครั้ง (ปลาย)

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 842 สู้กับระดับดาราพยากรณ์อีกครั้ง (ปลาย)
แสงสีน้ำเงินลี้ลับปกคลุมหัวไหล่ของหลิ่วหมิง เงาวัวสีน้ำเงินประหนึ่งมีชีวิตแหงนหน้ากู่ร้องแล้วหายวับจมลงไปในร่างของเขา

เขากระตุ้นพลังกลืนฟ้าของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนทันเส้นยาแดงผ่าแปด กลืนพลังอสนีบาตส่วนใหญ่ที่เดิมตกต้องบนร่างไป

เวลานี้แม้หลิ่วหมิงจะใบหน้าเปื้อนดินมอมแมม แต่อาการบาดเจ็บไม่นับว่าหนักหนา ปราณดำบนร่างพลุ่งพล่านออกมาหนหนึ่งก็พุ่งเร็วจี๋ไปไกลต่อ

“โฮก!”

หลังหลิ่วหมิงลุกขึ้นได้ไม่นาน ปีศาจสายฟ้าก็เหาะไล่ตามมาพร้อมเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว

เขามองแผ่นหลังของหลิ่วหมิง ดวงตาฉายประกายดุร้าย มือข้างหนึ่งยกขึ้นฟันอากาศ

เสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังลอยออกมา!

ชั่วขณะที่แสงสีม่วงส่องสว่าง ฝ่ามือยักษ์เต็มฟ้าขนาดถึงเจ็ดแปดสิบจั้งข้างหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะของหลิ่วหมิง บนผิวคืออสรพิษสายฟ้ายุ่บยั่บ กดทับลงมาประหนึ่งเขาไท่ซานทับศีรษะ พลังน่าตะลึงอย่างที่สุด

สายตาหลิ่วหมิงเปล่งประกาย ปราณดำรอบร่างพลุ่งพล่านครั้งหนึ่งแล้วจมลงไปในร่าง จากนั้นเสียงป้าบแผ่วเบาก็ดังขึ้น ปราณสีดำแผ่ออกมา

“แยก!”

เขาเอ่ยเบาๆ คำหนึ่ง เงาคนสีดำสนิทเหมือนกันทุกประการสี่ร่างก็พุ่งเร็วรี่ออกมาจากที่เดิมบินหลบหนีไปสี่ด้านแปดทิศ

แม้เงาคนมีเพียงสี่ร่าง แต่ไม่ว่าคลื่นพลังจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาหรือการเคลื่อนไหวล้วนเหมือนกันทุกประการ นอกจากนี้ความเร็วยังเร็วอย่างที่สุด จุดที่พุ่งผ่านทิ้งเงาติดตายาวเป็นสายไว้ ทำให้คนตาลายสับสน ไม่อาจแยกแยะจริงปลอมได้

ฝ่ามือยักษ์ระดับดาราพยากรณ์นี้แม้ขอบเขตที่คว้าลงมากว้างใหญ่ แต่ไม่อาจครอบคลุมเงาทั้งสี่ร่างไว้ในฝ่ามือเดียวได้

ลูกตาทั้งคู่ของปีศาจสายฟ้าฉับพลันเผยแววตาร้อนรนเล็กน้อย พลังแยกร่างที่เผ่ามนุษย์น่าตายคนนี้ตรงหน้าใช้ช่างว่องไวสมจริง กระทั่งเขายังไม่อาจมองออกว่าคนไหนคือร่างต้นในเวลาอันรวดเร็ว

ฝ่ามือสายฟ้าสีม่วงยักษ์เอนมาทางตะวันออกเฉียงใต้เล็กน้อยจากนั้นคว้าลงมาประหนึ่งสายฟ้าแลบ จับเงาสีดำสองร่างไว้กลางฝ่ามือในทันใด แสงสีม่วงฉายวูบหนึ่ง เงาดำสองร่างพลันกลายเป็นปราณดำก้อนหนึ่งแล้วสลายไป

“โชคดี!”

เงาสีดำอีกสองร่างผสานกลายเป็นร่างเดียวกลางอากาศอีกครั้ง แสงสีดำรอบนอกดับลงเผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิงที่ลอบพรูลมหายใจ

หลังจากนั้นเขาก็ตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่งอย่างไม่รีรอแม้แต่น้อย แสงสีทองสายหนึ่งยกร่างกายเขาลอยขึ้นอีกครั้ง กำลังจะใช้วิชาขี่กระบี่เหาะเหิน

“บึ๊ม!”

หลิ่วหมิงยังไม่ทันหนีไปไกล ฝ่ามือยักษ์ค้ำฟ้าขนาดหนึ่งหมู่กว่าก็ไล่ตามโจมตีลงมาอีกครั้ง เสียงชี่ๆ ดังขึ้นแล้วตบลงมาอย่างแรง

กระแสลมที่พัดโถมออกไปรอบด้านฝ่ามือยักษ์ทำให้ป่าศิลาเบื้องล่างทยอยพังทลาย ฝุ่นทรายเศษหินปลิวฟุ้งพักหนึ่ง กระทั่งยอดเขาที่ตั้งตระหง่านบนพื้นก็สั่นไหวส่งเสียงคล้ายจะถล่ม

หลิ่วหมิงไม่เหลียวหลัง เคล็ดวิชาในมือสั่นวูบหนึ่ง รอบเงากระบี่ใต้เท้าก็ปรากฏแสงดาราสีขาวแถบหนึ่งออกมา มันก่อตัวขึ้นเป็นสายแวววาวเส้นแล้วเส้นเล่าแล้วสะบัดอย่างบ้าคลั่ง

“ฟึบ”

หลิ่วหมิงกลายเป็นแสงกระบี่สีทองสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกไป หนีพ้นมือยักษ์ที่ตบลงมาอย่างหวุดหวิดเพียงเสี้ยววินาที

เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งดังลอยมา!

พื้นของป่าศิลาปรากฏรอยฝ่ามือใหญ่หนึ่งหมู่กว่าข้างหนึ่งเพิ่มขึ้น

กระแสลมโถมมาจากเบื้องหลัง ลำแสงของหลิ่วหมิงเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย พริบตาก็บินออกไปได้มากกว่าหลายสิบจั้ง

ปีศาจสายฟ้าคำรามเกรี้ยวกราดไม่หยุดแล้วรีบร้อนไล่ตามไป

ทั้งสองคนหนึ่งคนไล่ตามหนึ่งคนหนีได้ไม่นาน หลิ่วหมิงก็ถูกปีศาจสายฟ้าไล่ต้อนเข้ามายังเขตลึกของเทือกเขามโหฬารแห่งหนึ่งอีกครั้ง

หมู่เทือกเขาแห่งนี้สูงตระหง่านเทียมเมฆแทบจะบดบังท้องนภาไปครึ่งหนึ่ง เมื่อลำแสงดับลง หลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวออกมาชะเง้อมองรอบด้าน ไม่มีหนทางให้หนีได้แล้ว นอกจากใช้ยันต์ดำดินหนีลงไปใต้ดิน

แต่พลังเวทแห่งฟ้าดินของระดับดาราพยากรณ์เป็นสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์ ลงใต้ดินมีแต่รนหาที่ตายเท่านั้น

ชั่วขณะที่ครุ่นคิดเสียงแหวกอากาศดังครืนเบื้องหลังก็ใกล้เข้ามา เงาร่างของปีศาจสายฟ้าบีบเข้ามาแล้ว ทั้งยังตวาดเสียงเย็นเยียบแต่ไกล บนร่างเขาแสงอสนีบาตสีม่วงดวงหนึ่งผุดออกมา พร้อมกันนั้นเสียงอสนีบาตคำรนดังเปรี้ยงปร้างก็ดังลั่น!

แสงอสนีบาตสีม่วงผนึกรวมกันกลายเป็นฝ่ามือยักษ์สีม่วงขนาดร้อยจั้งข้างหนึ่งในพริบตา จากนั้นโจมตีเสียงดังเปรี้ยงเข้าใส่หลิ่วหมิงแต่ไกล

หลิ่วหมิงเห็นว่าหลบก็หลบไม่พ้น จึงทำหน้าเคร่งขรึม ร่างกายหมุนกลางอากาศรอบหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็โคจรวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬถึงที่สุด ปราณดำรอบร่างรวมตัวกันกลายเป็นวังน้ำวนสีดำประหนึ่งของจริงอันหนึ่ง ดึงร่างกายจมลงไปด้านในจนหมด

วังน้ำวนสีดำหมุนเร็วจี๋ขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุด ตรงใจกลางมีเสียงมังกรกู่ร้องพยัคฆ์คำรามดังออกมาเป็นพักๆ เพียงครู่เดียวก็ใหญ่จนมีขนาดร้อยจั้งประหนึ่งเป็นพายุหมุนมหึมาลูกหนึ่ง กระแสลมแรงซัดรอบด้านพัดหน้าผาใกล้ๆ จนส่งเสียงดังฮู่ๆ

“ไป!”

เสียงตวาดลั่นดังออกมาจากในวังน้ำวน กำปั้นมหึมาที่มีปราณดำวนล้อมหมัดหนึ่งแหวกอากาศออกมา ประจันเข้าใส่หมัดยักษ์สีม่วง

ทว่าแม้หลิ่วหมิงผนึกพลังเวททั่วร่าง ขนาดของเงาหมัดสีดำที่ก่อตัวขึ้นเทียบกับหมัดยักษ์สีม่วงที่ปีศาจสายฟ้าสร้างขึ้นก็ยังเหมือนรุ่นเล็กเจอรุ่นใหญ่

หลังเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นทีหนึ่ง เงาหมัดทั้งสองก็ปะทะเข้าหากัน!

เงาหมัดสีดำฉับพลันส่งเสียงระเบิดกระจายออกไปสี่ด้าน วังน้ำวนสีดำส่องแสงวูบหนึ่งก็ดับลง เงาร่างของหลิ่วหมิงโซซัดโซเซถูกกระแทกปลิวออกมา ปากพ่นเลือดออกมาติดกันหลายคำ

ในดวงตาปีศาจสายฟ้าฉายแววตาเย้ยหยันจางๆ มือข้างหนึ่งยกขึ้น ฝ่ามือยักษ์สีม่วงเหนือศีรษะหลิ่วหมิงกางห้านิ้วออกกลายเป็นมือใหญ่ที่ส่องแสงสีม่วงข้างหนึ่งล้วงลงไป

หลิ่วหมิงโซเซกลิ้งอยู่กลางอากาศ ตอนที่ฝ่ามือมหึมากำลังจะจับเขาได้อยู่แล้วนั้น ในดวงตาเขาฉับพลันมีแววตาประหลาดแล่นผ่าน ร่างกายม้วนกลิ้งทีหนึ่ง แสงกระบี่สีทองสายแล้วสายเล่าก็ปรากฏขึ้น ล้อมร่างเขาไว้ในชั่วพริบตา

เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!

ทั้งร่างกลายเป็นแถบแสงสีทองสายหนึ่ง ส่องสว่างวูบกลางอากาศบินออกมาจากร่องนิ้วของมือยักษ์ที่ส่องแสงสีม่วง

แถบแสงสีทองส่องสว่างอีกหนแล้วหายวับไป จากนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้าปีศาจสายฟ้า วนล้อมรอบร่างเขารอบหนึ่ง

ปีศาจสายฟ้าตะลึงแต่ปฏิกิริยาก็ไวอย่างที่สุด หลังสองแขนสั่นวูบหนึ่ง ม่านแสงสีม่วงชั้นหนึ่งก็ลอยออกมาจากร่าง ปกป้องร่างกายตนไว้ด้านในทันที

เสียงติงๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง แถบแสงสีทองโจมตีลงบนม่านแสงสีม่วงจนเกิดแรงกระเพื่อมแผ่วเบา

ในดวงตาปีศาจสายฟ้าฉายแววโกรธเกรี้ยวจางๆ บนร่างแสงอสนีบาตสีม่วงสว่างวูบ เงาสีม่วงมหึมาร่างหนึ่งลอยขึ้นมาจากบนแผ่นหลังมัน ใบหน้าเป็นวานร ตัวเป็นมนุษย์ บนร่างมีแขนมหึมาสี่ข้าง

ปีศาจสายฟ้าปล่อยเงาร่างพลังเวทออกมาแล้ว ไม่เสียเวลาพูดพร่ำแขนมหึมาสี่ข้างคว้ามาหาหลิ่วหมิงแล้วจับขึ้นไป

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แถบแสงสีทองม้วนกลับมาในพริบตา จากนั้นพุ่งจากไปไกลเร็วจี๋อย่างไม่ลังเลสักนิด

ปีศาจสายฟ้าคำรามเกรี้ยวกราด เงาร่างพลังเวทหายวับไป จากนั้นโผล่ขึ้นมาขวางเบื้องหน้าแถบแสงสีทอง แขนสี่ข้างเคลื่อนมืดฟ้ามัวดินลงมา

หลิ่วหมิงพยามสุดความสามารถจึงหลบการคว้าจับของฝ่ามือยักษ์สองข้างได้หวุดหวิด แต่ที่สุดแล้วก็ยังคงถูกฝ่ามือข้างที่สามจับไว้ในมือ

แสงกระบี่สีทองฉีกขาดดังแครกๆ จากนั้นเสียงปึงก็ดังขึ้นแผ่วเบาหนึ่งหน ทั้งร่างเขาถูกบีบระเบิดเป็นฝนโลหิต

……

แสงสว่างฉายวูบ เงาร่างของหลิ่วหมิงปรากฏขึ้นในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง แม้ปราณไม่ลดลงสักนิด แต่สีหน้าหดหู่เล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด

นี่เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้แล้วที่เขาถูกปีศาจสายฟ้าสังหาร ทว่าครั้งนี้ก้าวหน้าไม่น้อย

เขาในวันนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของปราณระดับดาราพยากรณ์แม้แต่น้อยแล้ว เวลาที่ต้านทานได้ก็ยิ่งนานขึ้นทุกที

ในเวลาเดียวกันวิชาเงาสามส่วนของเขาที่ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบก็บรรลุถึงขั้นใช้เท็จลวงจริงได้แล้ว แม้เป็นปีศาจสายฟ้าผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์เช่นนี้ ระหว่างรีบร้อนก็ยังมองการสับเปลี่ยนระหว่างตัวจริงตัวปลอมไม่ออกในคราวเดียว…

แน่นอนตัวปลอมอย่างไรก็เป็นตัวปลอม ขอเพียงระดับดาราพยากรณ์ตั้งใจสักหน่อยก็ยังมองออกได้ แต่ในการต่อสู้จริงความลังเลพริบตานี้ก็เพียงพอแล้ว

หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พลิกมือล้วงโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งออกมา นั่งขัดสมาธิเริ่มทำสมาธิ เตรียมฟื้นฟูพลังจิตสักเล็กน้อยแล้วจะเข้าไปฝึกซ้อมในแดนมายาอีกครั้ง

………

เวลาปีแล้วปีเล่าผ่านไป

วันนี้หลิ่วหมิงกำลังทำสมาธิฟื้นพลังเวทอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับ

ทันใดนั้นมิติรอบด้านก็สั่นสะเทือน สรรพสิ่งเบื้องหน้าค่อยๆ พร่ามัว

ในหูเขาได้ยินเสียงดังวิ้ง หลังเบื้องหน้ามืดดับไปวูบหนึ่ง เขาก็นั่งอยู่ที่ห้องลับในถ้ำที่พักแล้ว

เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขาเช่นเดียวกัน แต่ละตัวใช้มือจับแขนเสื้อของเขาอยู่

“สามสิบสองปีแล้ว…”

หลังหลิ่วหมิงมองสำรวจรอบด้านครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมาประโยคหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ

เพิ่งเอ่ยจบ ทันใดนั้นทะเลจิตวิญญาณของเขาก็สั่นสะท้าน ฟองอากาศใสใบน้อยก็ปรากฏขึ้น พลังเวทบริสุทธิ์อย่างที่สุดสายหนึ่งทะลักออกมาจากด้านใน ทยอยโถมเข้าไปในผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดนั้นที่ลอยอยู่ในทะเลจิตวิญญาณทันที

หลิ่วหมิงใจสะท้าน หลับตาลงสงบใจทันที ยอมรับพลังเวทบริสุทธิ์สายนี้ที่ส่งกลับมาจากฟองอากาศลึกลับอย่างเงียบๆ

เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ย่อมคุ้นเคยกับภาพนี้ พวกมันจึงแยกไปยืนสองฝั่งรอคอยอยู่เงียบๆ

หลังผ่านไปครึ่งค่อนชั่วยามเต็มๆ หลิ่วหมิงถึงพรูลมหายใจแผ่วเบา ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ในทะเลจิตวิญญาณฟองอากาศลึกลับส่องแสงวูบหนึ่งแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง

หลิ่วหมิงสัมผัสพลังเวทในร่างเล็กน้อย มันบริสุทธิ์กว่าเดิมมากจริงๆ แต่พลังก็เหมือนลดจากระดับผลึกขั้นปลายมาถึงระดับผลึกขั้นกลางด้วย

ทว่านี่ก็ไม่มีอะไร ระดับเดิมของเขายังคงอยู่ที่นั่น เก็บตัวกินโอสถตรากตรำฝึกฝนช่วงเวลาหนึ่งย่อมเติมพลังเวทกลับไปได้อย่างรวดเร็วยิ่ง ไม่ส่งผลกับการเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสักเท่าไร

แต่ร่างกายของเขายังคงอ่อนแรงอย่างที่สุด เลือดและปราณค่อนครึ่งที่ถูกฟองอากาศลึกลับดูดเอาไปฟื้นฟูจากโอสถและการโคจรปราณได้ แต่อายุขัยไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้แล้ว นอกจากเขาจะหาโอสถยืดอายุขัยอันล้ำค่าอย่างที่สุดบางชนิดมาได้

คิดถึงตรงนี้คำพูดของหลัวโหวก็ผุดขึ้นในสมองของเขาอีกหน ทำให้ปากของเขาอดไม่ได้รู้สึกขมขึ้นมาอีกครั้ง

หกสิบปีเข้าสู่ระดับแก่นแท้! ตอนนี้ดูแล้วเขาคงได้แต่ตรากตรำฝึกฝนสุดชีวิตไปตลอดทางเท่านั้น

แต่ก่อนหน้านั้นเขาคิดจะไปหอเก็บคัมภีร์ของนิกายสักเที่ยว สำรวจดูว่ายังมีวิชาอื่นสำหรับรับมือการเสียเลือดปราณและอายุขัยหรือไม่

หลิ่วหมิงวางแผนในใจเสร็จเรียบร้อยก็ไม่ได้ขยับตัวทันที แต่สั่งอสูรเลี้ยงสองตัวให้ไปฝึกฝนที่ห้องศิลาด้านข้างก่อน ส่วนตนเองเก็บตัวกินอาหารและโอสถแฝงจิตวิญญาณฟื้นสภาพต่อ

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าเช่นนี้ ครึ่งปีให้หลังในที่สุดพลังของหลิ่วหมิงก็ฟื้นกลับมาถึงระดับผลึกขั้นปลายอีกครั้ง เลือดและปราณถูกเติมจนเต็มกลับมา

วันนี้หลังเขารู้สึกว่าร่างกายของตนไม่มีปัญหาอีกต่อไปก็ลุกขึ้นออกจากห้องลับไปยังห้องศิลาด้านข้างเพื่อสำรวจสภาพการฝึกฝนของเซียเอ๋อร์และเฟยเอ๋อร์สักหน่อย

อสูรเลี้ยงทั้งสองกำลังถูกปราณหยินจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ตรงกลางประหนึ่งวังน้ำวน ปราณหยินดำสนิทประหนึ่งหมึก เข้มข้นดั่งปรอท ปราณเย็นเยียบรุนแรงสายหนึ่งแผ่ออกมา บนพื้นดินปกคลุมไปด้วยหิมะขาวหนา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันยินดี เขาไม่ได้รบกวนพวกมัน แต่หันกายออกจากถ้ำที่พัก แปลงเป็นแสงสีทองสายหนึ่งแหวกอากาศจากไป