ตอนที่ 843 ด่านเคราะห์จิตมาร

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 843 ด่านเคราะห์จิตมาร
หลังเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย หลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวในห้องโถงชั้นที่หนึ่งของหอเก็บคัมภีร์

“ศิษย์พี่หลิ่วนี่เอง! ไม่พบกันนานเลย ศิษย์พี่มาหอเก็บคัมภีร์หาคัมภีร์อีกแล้ว” ผู้ดูแลอ้วนแซ่หลี่ว์เห็นหลิ่วหมิงเข้าประตูมาก็มาต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที

หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย นับตั้งแต่เขากลับมาจากงานประตูสวรรค์ ทุกครั้งที่มาถึงหอเก็บคัมภีร์ รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ดูแลหลี่ว์คนนี้ยิ่งกว้างขึ้นกว่าครั้งก่อน กระตือรือร้นกับเขายิ่งกว่าครั้งก่อนหน้า

หลังหลิ่วหมิงตอบรับง่ายๆ สองประโยคก็ก้าวเท้าเดินไปชั้นสอง

หลิ่วหมิงตรงไปยังชั้นที่สี่ของหอเก็บคัมภีร์ ภายในห้องมหึมาว่างเปล่าไม่มีใครสักคน ชั้นหนังสือไม้ไม่น้อยวางกระจัดกระจาย เทียบกับชั้นอื่นด้านล่างแลดูรกกว่าอยู่บ้าง บนชั้นฝุ่นจับตัวหนา

ก่อนหน้านี้เขาเคยมาที่นี่หลายครั้ง สิ่งที่เก็บอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่คือวิชาที่มีเงื่อนไขเข้มงวดจนไม่ได้รับความนิยมจำนวนหนึ่งและคัมภีร์ซึ่งมีอุปสรรคในการฝึกฝนที่ผู้อาวุโสนิกายยอดบริสุทธิ์จำนวนหนึ่งเหลือทิ้งไว้ แต่สิ่งที่ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นสิ่งที่น้อยคนจะถามถึง

สภาพของเขาค่อนข้างพิเศษ คิดว่าคงได้แต่ค้นหาวิธีจัดการปัญหาจากในหมู่คัมภีร์ที่ไม่เป็นที่นิยมเหล่านี้

หลิ่วหมิงอยู่ที่นี่สามวัน

สามวันนี้เขาอ่านคัมภีร์หยกมาไม่น้อยกว่าห้าหกร้อยเล่ม หาวิธีชั่วคราวสำหรับจัดการพลังเวทที่ถูกกรงขังดูดไปพบอยู่บ้าง

แรกสุดเขาพบวิชาประหลาดวิชาหนึ่งที่กล่าวว่าตกทอดมาจากผู้ฝึกฝนยุคโบราณอยู่ในหลืบมุมที่ไม่มีใครสนใจมุมหนึ่ง มันชื่อว่าวิชาวิญญาณโลหิต

วิชานี้คล้ายคลึงกับวิชาประเภทฝึกร่าง ทว่าค่อนข้างแตกต่างจากวิชาฝึกร่างในปัจจุบัน หลังฝึกฝนวิชานี้จะเพิ่มเลือดและปราณจำนวนมากให้กับตัวผู้ฝึกฝนได้

สำหรับผู้ฝึกฝนจำนวนมากเพียงเลือดและปราณเพิ่มขึ้นอย่างเดียวย่อมมีประโยชน์สู้วิชาฝึกร่างทั่วไปวิชาอื่นที่ยกระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อไม่ได้ มันมีประโยชน์อย่างมากกับคนจำนวนหนึ่งที่ฝึกฝนวิชาลับสายโลหิตเท่านั้น

ทว่ายามที่หลิ่วหมิงพลังเวทไม่พอให้ฟองอากาศลึกลับดูดซับ บางทีมันอาจเพิ่มโอกาสรักษาชีวิตได้บ้าง

แต่การฝึกฝนวิชาวิญญาณโลหิตนี้ต้องใช้เวลาไม่น้อย นอกจากนี้ต้องฝึกฝนจนถึงขั้นปลายถึงจะช่วยเขาได้

หลิ่วหมิงคำนวณครู่หนึ่ง จะฝึกฝนวิชานี้ไปถึงขั้นปลายอย่างน้อยก็ต้องการเวลายี่สิบสามสิบปี ตอนนี้เขาถูกเวลาบีบคั้น วิชานี้ย่อมได้แต่ตัดทิ้ง

นอกเหนือจากนี้เขายังพบบันทึกฉบับหนึ่งในคัมภีร์เล่มหนึ่ง เล่าว่าในนิกายยันต์ลี้ลับซึ่งเป็นนิกายใหญ่อายุหมื่นปีที่โด่งดังด้านการสร้างยันต์นิกายหนึ่งบนแผ่นดินจงเทียนมียันต์ชนิดหนึ่งที่สืบทอดมาจากสมัยโบราณชื่อว่ายันต์ผสานวิญญาณ

ยันต์นี้ต้องใช้วิญญาณทั้งดวงของปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ผนึกไว้ด้านใน ผู้ฝึกฝนต่ำกว่าระดับแก่นแท้เมื่อใช้ยันต์นี้จะดึงวิญญาณของปีศาจอสูรมาผสานเป็นหนึ่งกับตนเองได้ ว่ากันว่าทำให้พลังของตนแข็งแกร่งขึ้นจนไปถึงระดับเดียวกับปีศาจอสูรได้เจ็ดวัน แม้ผู้ฝึกฝนระดับสูงกว่าระดับแก่นแท้ใช้ก็เพิ่มพลังเวทได้เท่าหนึ่ง พลังเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน

แน่นอนทำเช่นนี้ย่อมมีผลเสียตามหลังหนักหนายิ่ง สร้างความเสียหายให้ร่างกายและเส้นลมปราณมากอย่างที่สุด

หลังการผสานวิญญาณจบลง พลังของผู้ฝึกฝนจะลดฮวบลงมาอย่างน้อยหนึ่งขั้น และหลังจากนั้นหากคิดจะก้าวหน้าอีกครั้งก็จะยากกว่าเดิม

วิธีฆ่าไก่เอาไข่เช่นนี้ย่อมไม่อยู่ในการพิจารณาของหลิ่วหมิง อีกอย่างยันต์ผสานวิญญาณนี้ก็เป็นยันต์ที่สืบทอดกันอย่างลับๆ ของนิกายยันต์ลี้ลับ ไม่ใช่สิ่งที่อยากได้ก็จะเอามาได้

วิธีอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งโดยทั่วไปก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่เป็นน้ำที่อยู่ไกลจนมิอาจแก้กระหายก็เป็นการรักษายอดไม่รักษาราก ล้วนไม่ใช่วิธีที่จัดการปัญหาได้อย่างสิ้นเชิง

“ช่างเถิด ดูท่าอาศัยกลโกงคงไม่ได้ ได้แต่ทำตามที่หลัวโหวว่าฝึกฝนอย่างซื่อตรง” หลิ่วหมิงวางคัมภีร์หยกที่ส่องแสงสีฟ้าอ่อนเล่มหนึ่งในมือลง ความหวังที่จะเจอโชคสายสุดท้ายดับลงไปด้วย

เขาเริ่มตั้งใจอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับแก่นเสมือนต่อทันที จากนั้นก็คิ้วขมวดออกจากหอเก็บคัมภีร์ไป

แต่ระหว่างทางกลับถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงไม่รู้คิดสิ่งใดได้ หลังกลับมาถึงยอดเขาลั่วโยวจึงไม่ได้ตรงกลับถ้ำที่พักทันที แต่เหาะตรงไปที่ยอดเขา

ครู่หนึ่งให้หลังหน้าประตูวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว แสงสีทองก็ดับลงเผยร่างของหลิ่วหมิงออกมา

“ศิษย์พี่หลิ่วมา!” ศิษย์ที่เฝ้าประตูเห็นร่างของหลิ่วหมิงปุบก็รีบร้อนเข้ามาต้อนรับ คำนับอย่างนอบน้อมหนึ่งครั้ง

ศิษย์ทั้งหมดบนยอดเขาลั่วโยวต่างรู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นศิษย์ที่โด่งดังที่สุดบนยอดเขาลั่วโยวตอนนี้ เขาคว้าอันดับหนึ่งในงานประตูสวรรค์มาได้ ไม่เพียงได้รับความสำคัญจากอินจิ่วหลิงผู้ควบคุมยอดเขาอย่างมาก กระทั่งเทียนเกอเจินเหรินก็ชื่นชมเขายิ่งนัก

ไม่ว่าเหตุผลไหน เขาล้วนเป็นเป้าหมายที่ศิษย์ทั่วไปแหงนหน้ามอง

“ไม่ทราบอาจารย์อยู่ในวิหารหรือไม่?” หลิ่วหมิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

“ศิษย์พี่มาได้เวลาจริงๆ ผู้ควบคุมยอดเขาอินตอนนี้อยู่ในวิหาร ศิษย์พี่หลิ่วรอสักครู่ ข้าจะไปแจ้งให้ท่านเดี๋ยวนี้” ศิษย์ที่เฝ้าประตูรีบร้อนเอ่ยตอบแล้วหมุนตัวจะเดินเข้าไปในวิหาร

“ไม่ต้องแจ้ง เข้ามาเลย” ทันใดนั้นเสียงของอินจิ่วหลิงก็ดังออกมาจากในวิหาร

หลิ่วหมิงได้ยินก็จัดเสื้อผ้าเล็กน้อยจากนั้นเดินเข้าไปด้วยสีหน้านิ่งสงบ

ศิษย์ที่เฝ้าประตูชะงักเท้า เขามองแผ่นหลังของหลิ่วหมิงอย่างอิจฉาหนหนึ่งแล้วเดินมายืนนิ่งด้านข้าง เฝ้าประตูต่อไป

ในห้องโถงอันกว้างขวางโอ่อ่า อินจิ่วหลิงนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง บนใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ มองมาคล้ายอารมณ์ดียิ่ง

“ศิษย์หลิ่วหมิง คารวะอาจารย์” หลิ่วหมิงเดินเข้ามาใกล้จากนั้นก็ก้มต่ำคำนับทักทาย

“ไม่ต้องมากพิธี” อินจิ่วหลิงลูบเคราพลางแย้มยิ้ม พูดจบก็มองสำรวจหลิ่วหมิงรอบหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างกว่าเดิม

“หลังงานประตูสวรรค์ ข้าได้ยินว่าเจ้าเก็บตัวตรากตรำฝึกฝนมาตลอด ตอนนี้ดูแล้วพลังเวท ลึกล้ำบริสุทธิ์ขึ้นอีกขั้นแล้วจริงๆ อาจารย์รู้สึกพอใจนัก ดูท่าใช้เวลาอีกไม่นานเจ้าคงจะลองเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้แล้ว”

หลิ่วหมิงได้ยินในใจพลางยิ้มขมขื่น ตนไม่ตรากตรำฝึกฝนได้หรือ? ฟองอากาศลึกลับไล่ตามอยู่เบื้องหลังเขาประหนึ่งวิญญาณอาฆาต นับแต่เหยียบเข้าสู่โลกแห่งการฝึกฝน พูดได้ว่าเขาไม่เคยผ่อนคลายสักเพลา

ใจเขาคิดเช่นนี้แต่ปากเอ่ยอย่างถ่อมตัว

“อาจารย์ชมเกินไปแล้ว แต่ศิษย์มาครั้งนี้ก็เพราะเรื่องแก่นเสมือน ตั้งใจมาขอคำชี้แนะจากอาจารย์สักหน่อย”

หลิ่วหมิงไม่อ้อมค้อม ชี้แจงจุดประสงค์ที่เขามาทันที

“ทะลวงระดับแก่นเสมือน? พลังของเจ้าไปถึงระดับนี้แล้วหรือ?” ใบหน้าก้ำกึ่งระหว่างเยาว์วัยกับเฒ่าชราของอินจิ่วหลิงแรกสุดตกตะลึงจากนั้นเอ่ยถามอย่างยินดียิ่ง

แม้เขารู้สึกว่าปราณของศิษย์ผู้นี้ลึกล้ำกว่าก่อนหน้านี้มาก แต่อย่างไรหลิ่วหมิงก็เพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายไม่นาน หากตอนนี้จะทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนจริง นั่นก็เป็นผู้ที่ร้ายกาจผิดธรรมดาจริงๆ แล้ว

“ตอบอาจารย์ พลังของศิษย์ยังขาดอีกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ไกลแล้ว ครั้งนี้ได้สมบัติล้ำค่ามาจากในงานประตูสวรรค์ไม่น้อย ด้านหินจิตวิญญาณก็ยังนับว่าเหลือเฟือ ดังนั้นจึงคิดจะทำความเข้าใจเรื่องการทะลวงระดับแก่นเสมือนล่วงหน้าสักเล็กน้อย เพื่อเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ล่วงหน้า” หลิ่วหมิงเอ่ยถามอย่างนอบน้อม

“อืม ซ่อมเรือนก่อนฝน เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดี! แต่ระดับแก่นเสมือนไม่อาจเทียบกับการเลื่อนระดับก่อนหน้านี้ได้ อาจารย์ก็ได้แต่ชี้แนะเจ้าบางอย่างเท่านั้น” อินจิ่วหลิงตอนนี้ถึงเข้าใจอยู่บ้าง พยักหน้าเอ่ยขึ้น

“ขอบคุณท่านอาจารย์” หลิ่วหมิงยินดียิ่งรีบค้อมกายเอ่ยขอบคุณ

“เมื่อเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน เรียกได้ว่าก้าวเข้าสู่ระดับแก่นแท้ครึ่งก้าว พลังเวทพลังจิตวิญญาณทั้งร่างจะเริ่มผนึกรวมเป็นก้อน จะบรรลุก้าวนี้ ไม่เพียงต้องสั่งสมพลังเวทให้ลึกล้ำอย่างยิ่ง สิ่งที่ยากที่สุดยังต้องผ่านด่านเคราะห์จิตมารด้วย” อินจิ่วหลิงสีหน้าเหม่อลอยนิดๆ คล้ายนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตก่อนหน้านี้

“ด่านเคราะห์จิตมาร?”

หลิ่วหมิงตั้งใจฟังถ้อยคำของอินจิ่วหลิงอย่างละเอียด เมื่อได้ยินคำว่า ‘ด่านเคราะห์จิตมาร’ ก็เอ่ยพึมพำกับตนเอง

ก็เพราะเขาอ่านพบข้อมูลเกี่ยวกับด่านเคราะห์จิตมารในคัมภีร์ที่หอเก็บคัมภีร์นี่แหละ ถึงรู้สึกว่าเป็นปัญหาจนตั้งใจมาหาอาจารย์ของตนเองผู้นี้

“ไม่ผิด มารกำเนิดจากจิตใจ ไม่ว่าคนผู้หนึ่งพลังสูงเท่าใด ในใจย่อมมีจิตมารอยู่ หากไม่ผ่านด่านเคราะห์จิตมารนี้ย่อมไม่อาจสลายผลึกก่อเกิดแก่นได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เพียงไม่อาจเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน อาจถึงขั้นพลังร่วงหล่นลงมาหนึ่งขั้น ทว่าด่านเคราะห์นี้แตกต่างไปตามแต่ละคน มีน้อยคนที่จะผ่านไปได้อย่างสบายๆ สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วเป็นดั่งอุปสรรคที่ชั่วชีวิตไม่อาจก้าวผ่าน!”

หลิ่วหมิงได้ฟังก็นิ่งไป

เห็นชัดมากว่าเขาไม่มีทางเป็นคนส่วนน้อยนั่น เกรงว่าบนโลกใบนี้คงมีแต่พระชั้นสูงที่บรรลุธรรมสายพุทธเหล่านั้นจึงจะมองโลกถ่องแท้ จิตใจไร้กิเลสจนอาจไม่มีจิตมาร

อินจิ่วหลิงกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าก็เคร่งขรึมอย่างยิ่ง หลังชะงักไปหนหนึ่งก็อ้าปากเอ่ยต่อ

“หลิ่วหมิง เสี่ยวอู่ศิษย์พี่ของเจ้าเข้าไปในทางปีศาจร้ายจนวันนี้ยังไม่กลับมา แต่ก่อนหน้านี้นางส่งข่าวกลับมาว่านางเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนแล้ว จะรั้งอยู่ในทางปีศาจร้ายฝึกฝนต่อ พยายามตามหาโอกาสที่จะทะลวงสู่ระดับแก่นแท้ ตอนนี้ข้างนอกนี่เจ้าเป็นศิษย์คนสำคัญที่สุดของยอดเขาลั่วโยวของเรา วันหน้ายามเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน อาจารย์ย่อมช่วยเจ้าร้องขอสมบัติลับรวมถึงโอสถหลายๆ ชิ้นจากนิกายมาให้เจ้า แต่พวกมันมีผลกับด่านเคราะห์จิตมารไม่มากนัก”

“ขอบคุณท่านอาจารย์ แม้ด่านเคราะห์จิตมารจะยากอีกเท่าใด ศิษย์ก็จะทะลวงสู่ระดับแก่นเสมือนให้จงได้” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูท่าการเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนจะยากเย็นกว่าที่คาดไว้ไม่น้อย แต่เขายังคงยืนตัวตรง ในดวงตาฉายแววแน่วแน่เอ่ยขึ้น

อินจิ่วหลิงเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของหลิ่วหมิงอยู่ในสายตา ดวงตาเผยความรู้สึกชื่นชมจางๆ หลังครุ่นคิดในใจซ้ำไปมาก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง

“เจ้ามีความเชื่อมั่นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด แต่อาจารย์ยังมีอีกวิธีหนึ่งบางทีอาจช่วยเจ้าได้อีกแรง”

“ขออาจารย์โปรดชี้แนะ” หลิ่วหมิงได้ยินสองตาพลันเป็นประกายประสานมือเอ่ยขึ้นทันที

“ตระกูลโอวหยางแห่งแปดตระกูลใหญ่มีสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่งชื่อว่ากำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ สมบัติชิ้นนี้ทำให้จิตใจคนสงบกำจัดกิเลสได้ มีประโยชน์อย่างยิ่งในการต่อต้านจิตมาร หากเจ้าได้สมบัติชิ้นนี้ช่วยเหลือ เจ้าก็มีหวังกับการผนึกแก่นเสมือนมากแล้ว” อินจิ่วหลิงเอ่ยช้าๆ

“ในเมื่อสมบัติชิ้นนี้เป็นของตระกูลโอวหยาง แล้วยังมีประโยชน์มหัศจรรย์เช่นนี้ ศิษย์คนนอกคนหนึ่งจะยืมใช้ได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงแรกเริ่มยินดี แต่จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างสงสัยอยู่บ้าง

“ฮ่ะๆ กำแพงหลิงหลงผืนนี้ให้ศิษย์แกนนำของตระกูลโอวหยางใช้ยามเลื่อนระดับได้เท่านั้น แต่อาจารย์มีมิตรภาพอันดีกับผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลโอวหยาง วันหน้ายามเจ้าจะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน จงถือของแทนตัวของข้าเดินทางไป บางทีอาจยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ได้สักหน” อินจิ่วหลิงหัวเราะฮ่ะๆ เอ่ยขึ้น

“ขอบคุณอาจารย์ยิ่ง!” หลิ่วหมิงได้ยินถึงตรงนี้ก็ดีใจเกินกว่าที่หวังจริงๆ คำนับเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง

ขอเพียงผ่านด่านเคราะห์จิตมารได้ ด้วยผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดของเขารวมถึงพลังเวทที่กลั่นให้พิสุทธิ์ซ้ำไปมาซึ่งบรรจุอยู่ในนั้น เขามั่นใจว่าจะทะลวงเข้าระดับแก่นเสมือนได้อย่างง่ายดาย

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็สนทนาสัพเพเหระกันพักหนึ่ง หลิ่วหมิงถึงลุกขึ้นขอตัวลา

อินจิ่วหลิงนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าเปลี่ยนไปมาพักหนึ่งแล้วถอนหายใจยาวออกมา

“เมื่อตอนนั้นเจ้าใช้ตราคำสั่งผีร้ายสามแผ่นทำสัญญากับโอวหยางอิง แลกสิทธิการใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์มาสามครั้ง เจ้าใช้ไปเองครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งเสี่ยวอู่เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนใช้ไปอีกครั้งหนึ่ง เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าจะเก็บโอกาสครั้งสุดท้ายนี้ไว้ให้ทายาทของตนเองเสียอีก” ประตูข้างของวิหาร ฉับพลันมีผู้เฒ่าชุดเทาคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วเอ่ยปาก

ผู้อาวุโสเถียนแห่งยอดเขาลั่วโยวนั่นเอง