หลิงฟ่างหัวเดินทางออกจากอาณาเขตนภาพร้อมกับหยูเจิ้นไห่และต้วนมู่ฟาง ซึ่งมีความแข็งแกร่งขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุด
ตามแผนที่นางวางไว้ นางจะเดินทางท่องเที่ยวดูโลกภายนอกก่อน จากนั้นนางจะเดินทางไปที่สำนักเที่ยงธรรมเพื่อไปหาถังชี่หยุน
หลังจากที่หลิงฟ่างหัวออกเดินทางไปได้ไม่กี่ปี หลิงยู่ชานก็เดินทางออกจากอาณาเขตนภาเช่นกัน
หลิงยู่ชานเดินทางออกไปพร้อมกับภรรยาและลูกชายของเขา รวมไปถึงเขายังพาเล้งเจี้ยนชิว ผู้ซึ่งเป็นทาสรับใช้ของเขาและภูตดินขอบเขตมหาจักรพรรดิไปด้วยอีกตนเพื่อที่การเดินทางไปสำนักเที่ยงธรรมของเขาจะได้ราบรื่นมากยิ่งขึ้น
“น้องหก เมื่อไหร่พวกเราถึงจะเดินทางไปที่สำนักเที่ยงธรรม?” หลิงว่านจุนถามขึ้น
หลิงยี่เทียนส่ายหัว “พี่สี่พวกเรายังต้องรอก่อน ตอนนี้พวกยอดเขาหยกจักรพรรดิรู้แล้วว่าข้ามีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องรอให้พวกเขามายืนยันสายเลือดของข้าก่อน เอาไว้เดี๋ยวเสร็จเรื่องนี้พวกเราค่อยใช้ประตูเคลื่อนย้ายของยอดเขาหยกจักรพรรดิเดินทางไปที่ทำเนียบราชันมนุษย์ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคซ่งหยวนแล้วค่อยเดินทางไปที่สำนักเที่ยงธรรม ข้าเชื่อว่าพวกเราน่าจะไปทันเวลา”
หลิงว่านจุนพยักหน้า “เอาล่ะในเมื่อเจ้าวางแผนไว้แบบนี้แล้วงั้นข้าไปบ่มเพาะรอเจ้าก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ หลิงว่านจุนก็เดินออกไปทันที ซึ่งแทบจะในทันที เฉินถิงฟางก็เดินเข้ามาหาหลิงยี่เทียน และพูดว่า “ฝ่าบาท คนของยอดเขาหยกจักรพรรดิมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท พวกเขาแจ้งว่าพวกเขาต้องการยืนยันตัวตนของฝ่าบาท”
เฉินถิงฟางไม่เคยคาดคิดเลยว่าแท้จริงแล้วหลิงยี่เทียนนั้นมีสายเลือดของราชันแห่งมวลมนุษย์
เนื่องจากนางนั้นเป็นคนของยอดเขาหยกจักรพรรดิเช่นกัน นางจึงรู้ดีว่าคนที่มีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์นั้นสำคัญขนาดไหน
สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากที่ในอดีตนางกลับปฏิเสธไม่แต่งงานกับหลิงยี่เทียนตามที่หลิงตู้ฉิงเคยบอกกับนาง ไม่อย่างนั้นป่านนี้นางคงได้เป็นอัครมเหสีไปแล้ว!
“ไปตามให้พวกเขาเข้ามา!” หลิงยี่เทียนพยักหน้า
ไม่นานต่อมา เฉินถิงฟางก็พาชายชรา 2 คนเข้ามาในท้องพระโรง ซึ่งหลังจากทักทายกันเสร็จ หนึ่งในชายชราก็พูดว่า “ข้าทราบข่าวมาว่าฝ่าบาทมีสายเลือดของราชันแห่งมวลมนุษย์ ข้าอยากรู้ว่ามันคือความจริงหรือไม่?”
หลิงยี่เทียนยิ้มและตอบกลับ “ใช่ ข้ามีสายเลือดราชันแห่งมวลมนุษย์ไหลเวียนอยู่ในร่างกายมาตั้งแต่เกิด แต่ถึงข้าจะเอ่ยเช่นนี้พวกท่านก็คงไม่เชื่อจริงไหม? ดังนั้นหากพวกท่านอยากทดสอบอะไรข้า พวกท่านก็สามารถทดสอบได้เลย”
เฉินสั่วหนานยิ้ม “ฝ่าบาทพูดถูกแล้ว ถึงแม้ว่าเรื่องนี้มันจะดูหยาบคายต่อฝ่าบาทสักหน่อย แต่เพื่อเป็นการยืนยันพวกเราคงต้องขอล่วงเกินทดสอบฝ่าบาทจริง ๆ”
“เจ้าจะให้ข้าทำอะไรบ้าง?” หลิงยี่เทียนถามขึ้น
เฉินสั่วหนานยิ้มและพูดว่า “อันดับแรก พวกเราคงต้องขอดูตราประทับหยกของฝ่าบาทก่อนเพื่อที่พวกเราจะได้เห็นรายละเอียดอาณาจักรของฝ่าบาททั้งหมด ซึ่งพวกเราจะได้คาดคะเนได้ถึงทิศทางในอนาคตของอาณาจักรจันทรา”
หลิงยี่เทียนส่ายหัวทันที “เรื่องนั้นข้าคงต้องขอปฏิเสธ ข้าไม่มีความจำเป็นต้องให้พวกท่านมาคาดคะเนอะไรกับอนาคตของอาณาจักรข้า! ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้วิธีการทดสอบสายเลือดของพวกท่านมันเป็นยังไง แต่ข้าคิดว่ามันก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับตราประทับหยกของอาณาจักรข้าหรอกจริงไหม?”..
อันที่จริงตอนนี้ตราประทับหยกของเขานั้นอยู่กับหลิงว่านจุน เพราะหลิงว่านจุนต้องใช้มันในการบ่มเพาะรวมไปถึงเขาไม่อยากจะให้ใครคนอื่นมาดูข้อมูลทุกอย่างของอาณาจักรของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไม่ให้คนเหล่านี้ดูตราประทับหยกของเขา
ชายชราอีกคนหนึ่งที่มากับเฉินสั่วหนานขมวดคิ้วทันทีและพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท ข้าขอแนะนำตัวเอง ข้าคือ หยิงเซียนหมิง จากทำเนียบราชันมนุษย์ ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพราะว่าข้าต้องการมายืนยันตัวตนฝ่าบาท”
“หากฝ่าบาทมีสายเลือดของราชันแห่งมวลมนุษย์จริง ๆ ท่านจะได้รับการสนับสนุนจากพวกเราโดยตรง แต่ว่าก่อนที่พวกเราจะยืนยันสายเลือดของฝ่าบาท พวกเราจะต้องได้เห็นก่อนว่าอาณาจักรของท่านมีความเป็นมาอย่างไรและกำลังจะพัฒนาไปทิศทางไหน ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่อาจสนับสนุนฝ่าบาทได้”
หลิงยี่เทียนหัวเราะ “ในเมื่อเจ้าเป็นคนของทำเนียบราชันมนุษย์และข้าเองก็มีสายเลือดของราชันแห่งมวลมนุษย์เช่นกัน ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องเคารพข้าและสนับสนุนข้าอยู่ดีถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่เห็นข้อมูลของอาณาจักรข้าก็ตาม!”
หยิงเซียนหมิงโค้งคารวะและพูดว่า “สิ่งที่ฝ่าบาทตรัสออกมานั้นถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว ทำเนียบราชันมนุษย์นั้นมีหน้าที่สนับสนุนราชันแห่งมวลมนุษย์ ซึ่งในตอนนี้ฝ่าบาทยังไม่ได้เป็น และหากว่าข้ายืนยันสายเลือดของท่านได้เรียบร้อยและไม่มีปัญหาอะไรในอนาคต ท่านก็ยังต้องแข่งกับผู้ที่มีสายเลือดของราชันแห่งมวลมนุษย์อีก 3 คนเพื่อชิงตำแหน่งราชันแห่งมวลมนุษย์…”
หลิงยี่เทียนโบกมือขัดและพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องอ้างอะไรกับข้าให้มันมากมาย แค่ทดสอบสายเลือดของข้าแค่นั้นก็พอนั่นคือหน้าที่ของเจ้า ส่วนเรื่องตราประทับหยกนั่นไม่ว่าจะยังไงข้าก็ไม่มีทางให้เจ้าดูมันเด็ดขาด!”
ต่อให้ได้ยินเช่นนี้ หยิงเซียนหมิงยังคงใช้เวลาอยู่อีกพักใหญ่ ๆ ในการโน้มน้าวหลิงยี่เทียนเรื่องตราประทับหยก แต่แล้วในท้ายที่สุดเขาเองก็ต้องถอดใจเพราะหลิงยี่เทียนยืนยันหนักแน่นเป็นอย่างมากว่าไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ให้ดู
เมื่อหมดหนทางที่จะได้ดูตราประทับหยก หยิงเซียนหมิงจึงจำใจยอมข้ามขั้นตอนและตรวจสอบสายเลือดของหลิงยี่เทียนโดยตรง โดยใช้วิธีการทดสอบที่มีมาตั้งแต่บรรพกาล ซึ่งให้ผลการทดสอบที่สามารถยืนยันได้แน่นอนว่าหลิงยี่เทียนมีสายเลือดของราชันแห่งมวลมนุษย์หรือเปล่า
หลังจากทดสอบไปพักใหญ่ หยิงเซียนหมิงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดว่า “ฝ่าบาท ท่านมีสายเลือดของราชันแห่งมวลมนุษย์จริง ๆ ดังนั้นนับจากนี้ท่านมีสิทธิ์ที่จะเดินทางไปที่ทำเนียบราชันมนุษย์เพื่อชิงตำแหน่งเป็นราชันแห่งมวลมนุษย์คนถัดไป ซึ่งท่านต้องไม่ลืมว่าในเวลานั้นท่านจะต้องแสดงให้ทุกคนเห็นด้วยว่าท่านมีคุณสมบัติพอที่จะรับตำแหน่งเป็นราชันแห่งมวลมนุษย์!”
หลังคุยกันไปอีกพักใหญ่ หยิงเซียนหมิงและเฉินสั่วหนานก็เดินทางออกไปจากอาณาจักรจันทรา
“ท่านมีความคิดเห็นยังไงบ้าง?” เฉินสั่วหนานถามขึ้น
หยิงเซียนหมิงส่ายหัวและพูดว่า “ในสี่คนที่มีสายเลือดของราชันแห่งมวลมนุษย์ เขาคือคนที่มีระดับการบ่มเพาะอ่อนแอที่สุดแถมดินแดนที่เขาครอบครองก็น้อยที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่ยอมแสดงตราประทับหยกของเขาให้กับเราเห็นอีกต่างหาก ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเขาคงไม่น่าจะมีโอกาสมากสักเท่าไหร่ พี่เฉิน ท่านเองก็ควรคิดให้ดี ๆ ในเรื่องที่ยอดเขาหยกจักรพรรดิจะสนับสนุนเขา”
“ข้าคงเลือกอะไรไม่ได้มากหรอก เรื่องมันดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้วไม่ว่ายังไงข้าก็คงต้องสนับสนุนเขา” เฉินสั่วหนานตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น
หยิงเซียนหมิงถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อยใจเช่นกัน จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็เดินทางกลับไปที่ทำเนียบราชันมนุษย์เพื่อยืนยันข้อมูลของหลิงยี่เทียน