เทียนไห่จังอีตระหนักว่าเขากำลังลอยอยู่
จากนั้นก็ตระหนักว่าเขาสามารถควบคุมร่างกายได้แล้วและเริ่มเหวี่ยงแขนไปตามสัญชาตญาณ ท่าทางน่าขบขันอยู่บ้างราวกับตุ๊กตาเต้นระบำ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของเขาไม่อาจเปลี่ยนทิศทางได้ เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ของหนานเค่อเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็มีสีหน้าสิ้นหวังและหลับตาลง
เขาตกอยู่ในมือของหนานเค่อ แต่เขายังไม่ตาย
หนานเค่อคว้าปกเสื้อของเขาและยกเขาไว้กลางอากาศ
เทียนไห่จังอีลืมตาขึ้น ร่างกายสั่นอย่างไม่อาจควบคุม เสียงร้องคร่ำครวญดังออกมาจากปาก
หนานเค่อเอียงศีรษะสำรวจมองเขา ดวงตาที่ทึมทึบของนางดูสงสัยอยู่บ้าง สับสนว่าเกิดอะไรขึ้น
เทียนไห่จังอีงงงวยยิ่งกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น เต็มไปด้วยความกลัวและสับสน
หนานเค่อมองผ่านเขาไป
กองทัพซงซานกับยอดฝีมือพรรคไร้รักและตระกูลเทียนไห่ก็สับสนอย่างมากว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น
จูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยได้หายตัวไปจากเส้นทางภูเขาแล้ว
เสียงลมหวีดหวิวสองสายดังขึ้นในความมืดของเทือกเขา ตามมาด้วยเสียงต้นสนถูกบดขยี้เป็นระยะๆ
ร่างหนึ่งพุ่งลงไปในหุบเขาอย่างรวดเร็วในขณะที่อีกร่างพุ่งขึ้นสู่ยอดเขาหิมะอย่างเร่งร้อน
ในเวลาอันสั้น ร่างทั้งสองก็อยู่ห่างกันหลายร้อยจั้งแล้ว
จูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยจากไปแล้ว
พวกเขาจากไปด้วยความเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง ไม่สนใจชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้ช่วยเหลือที่ยังคงอยู่ตรงนั้น
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแผนของพวกเขาตลอดมา พวกเขาเข้าใจร่วมกันมานานแล้ว
คำถามที่จูเยี่ยถามบัณฑิตวัยกลางคนกับบทสนทนากับหนานเค่อเป็นแค่ม่านควันเท่านั้น
พวกเขาโยนเทียนไห่จังอีใส่หนานเค่อ เพื่อซื้อเวลาให้ตัวเองสักเล็กน้อย
พวกเขาแยกย้ายกันไปคนละทางเพื่อซื้อโอกาสให้ตัวเองขึ้นสักเล็กน้อย
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะหนีไป
จูเยี่ยไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่าจะอยู่และสู้กับหนานเค่อ เขาไม่ได้กลัวความแข็งแกร่งของหนานเค่อ แต่เขามองอีกคนหนึ่งออก
ก็คือบัณฑิตวัยกลางคนผู้นั้น
มีข่าวลือว่าผู้อาวุโสเผ่าพ่อมดมังกรเทียนที่อยู่ข้างกายหนานเค่อเสมอนั้นเชี่ยวชาญในการใช้กู่ฉินควบคุมศัตรู แต่จูเยี่ยแน่ใจมากว่าคนผู้นั้นตายในสวนโจวไปนานแล้ว
ถ้าอย่างนั้นบัณฑิตวัยกลางคนที่เล่นกู่ฉินเป็นใครกัน
จูเยี่ยคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง แต่ข้อสันนิษฐานนี้น่ากลัวเกินไป ดังนั้นแม้แต่เขาเองก็ไม่กล้าเชื่อ
เมื่อห่าฝนลูกศรตกลงบนเส้นทางภูเขา เขาไม่ให้ความสนใจกับการตอบสนองของหนานเค่อด้วยซ้ำ แต่จับจ้องไปที่บัณฑิตวัยกลางคนแทน บัณฑิตวัยกลางคนก้มหน้าก้มตาดูกู่ฉินในอก เขายังคงไม่เคลื่อนไหว ดังนั้นสายกู่ฉินจึงไม่เคลื่อนไหว ไม่พยายามที่จะหลบเลี่ยง แต่ลูกศรที่บรรจุไว้ด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นก็ดูเหมือนจะลอยห่างออกไปด้วยความกลัว
เหตุการณ์นี้ทำให้จูเยี่ยมั่นใจมากขึ้นว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง
ต่อให้มันมีโอกาสแค่หนึ่งในพัน หากบัณฑิตวัยกลางคนเป็นคนที่เขาคิดจริงๆ หากเขาไม่จากมา ความตายของเขาก็เป็นเรื่องแน่นอนแล้ว
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหนีอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ต่อให้เขาดูไร้ยางอายและน่าสมเพชก็ตาม
……
……
จูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยหายไปในความมืดของเทือกเขาราวกับสุนัขจรจัดสองตัว
ทหารกองทัพซงซานและยอดฝีมือพรรคไร้รักกำลังสับสน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้จะทำอะไรต่อไปมากกว่า
คนในตระกูลเทียนไห่เห็นว่าคุณชายของตนอยู่ในมือขององค์หญิงเผ่ามารก็กังวลอย่างที่สุด
เทียนไห่จังอีมองไปที่ดวงตาของหนานเค่อ แต่เงาแห่งความตายได้สร้างให้เกิดความกล้าอย่างคาดไม่ถึง เขาส่งเสียงร้องผสมกับเสียงสะอื้น ผลักมือทั้งคู่ใส่หน้าผากของหนานเค่อ
เขาดูแตกตื่นอย่างมาก หมัดคู่นี้ดูเหมือนจะใช้อย่างเปะปะ แต่ไม่มีใครรู้ว่าหมัดทั้งคู่นั้นเป็นวิชาขั้นสูงของตระกูลเทียนไห่ คว้าหางวิหค!
ลำแสงสองสายพุ่งผ่านความมืด หมัดของเทียนไห่จังอีชกใส่หนานเค่อราวกับสายฟ้า โจมตีเป้าหมายอย่างแม่นยำ
เสียงตุ๊บชัดเจนสองครั้งดังก้องไปทั่วเส้นทางภูเขา
หนานเค่อไม่ได้หลบหมัดของเขา นางไม่แม้แต่พยายามเคลื่อนไหว แต่มองเขาอย่างเฉยชาต่อไป
สายลมพัดพาเบาๆ ผ่านเส้นผมของนาง ซึ่งไม่ขาดร่วงสักเส้น แน่นอนว่านางก็ไม่บาดเจ็บเช่นกัน
ไม่มีใครหลีกทางให้ตักแตนที่โบกขาหน้า เช่นเดียวกับที่นางไม่สนใจการโจมตีของเทียนไห่จังอี
แม้ว่าวิชาขั้นสูงของตระกูลเทียนไห่จะแข็งแกร่งมาก หมัดของเขาก็ไม่มีความแข็งแกร่ง
ความแตกต่างระหว่างระดับการบำเพ็ญเพียรของทั้งสองนั้นแทบจะไม่อาจก้าวข้ามได้ วิชาใดๆ ก็ไร้ความหมาย
เทียนไห่จังอีอยู่ในความสิ้นหวัง ต้องการจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อร้องขอชีวิต แต่เขาก็พบว่าตนเองไม่อาจพูดได้
หนานเค่อปล่อยมือและทิ้งเขาร่วงลง จากนั้นก็เดินไปข้างเส้นทางภูเขาเพื่อมองไปที่ภูเขามืดมิด แต่นางไม่ได้เรียกปีกทั้งสองออกมา
นางมองไปที่ร่างซึ่งหนีไปอย่างรวดเร็วทั้งสองร่าง หนึ่งอยู่สูงขึ้นไปบนเขาและหนึ่งอยู่ด้านล่าง คิดเงียบๆ ในใจ สองคนนี้น่าจะเป็นคนสำคัญของเผ่ามนุษย์ การที่สามารถไร้ยางอายขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยที่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ปกครองแดนเหนือมานานกว่าพันปีแต่ก็ยังไม่อาจที่จะเอาชนะเผ่ามนุษย์ได้ ตอนนี้พอคิดดูแล้ว หากข้าพบสถานการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต ข้าควรจะฆ่าพวกมันในทันทีที่เห็น
เทียนไห่จังอีมองดูหลังของนาง รู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง
ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความหวานในลำคอและความเย็นในหัวใจ
เขาก้มหน้าและเห็นขนนกปักที่ลำคอ ขนนกอีกอันปักที่หน้าอก
ขนพวกนั้นมีสีเขียว ขัดกับความดำมืด ดูประหลาดและน่าหลงใหล อยู่ในมือของสาวงามเผ่ามารทั้งสอง
แสงสองสายพุ่งขึ้น ขนนกสีเขียวหายไป สองสาวงามเผ่ามารกลายเป็นประกายแสงจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายตัวออกไปและรวมตัวใหม่ที่ริมทางเดินภูเขา กลับกลายเป็นปีกสองข้างที่กระพือเบาๆ
เทียนไห่จังอีคุกเข่าลง กุมคอกับหน้าอกไว้ มองดูเลือดที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวเพราะพิษไหลออกมาตามร่องนิ้วและหายใจอย่างยากลำบาก
หนานเค่อไม่มองไปที่เขาด้วยซ้ำ นางมองดูร่างทั้งสองในเทือกเขาต่อไป
จูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยได้วิ่งหนีไปในทิศทางที่ตรงข้ามกัน ต่อให้นางมีความเร็วที่สูงที่สุดในโลก ในเทือกเขานี้นางก็จับได้แค่คนเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยระดับความแข็งแกร่งของนาง นางไม่กล้าพูดว่านางสามารถที่จะชนะพวกเขาได้ต่อให้อยู่ตามลำพังก็ตาม สุดท้ายแล้วคนทั้งสองเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงของเผ่ามนุษย์ และย่อมไม่ใช่เทียนไห่จังอี
นางหันไปทางบัณฑิตวัยกลางคน ถามคำแนะนำว่านางควรทำอย่างไรดี
บัณฑิตวัยกลางคนไม่สนใจนาง เขาก้มหน้าและมองดูสายกู่ฉินที่สั่นสะเทือนอย่างลึกลับด้วยความมุ่งมั่นอย่างมาก
หนานเค่อเข้าใจ
ปีกของนางกระพืออย่างบ้าคลั่ง ทำให้ลมหิมะปั่นป่วน นางเปลี่ยนเป็นลำแสงสีเขียวที่หายไปในความมืด
……
……
ว่ากันว่าลงจากเขายากยิ่งกว่าปีนขึ้นไป แต่เมื่อความเร็วเป็นสิ่งจำเป็น ทุกคนรู้ว่าการรุดลงเขานั้นเร็วกว่าบุกขึ้น อย่างไรก็ตาม จูเยี่ยก็ยังเลือกที่จะหนีขึ้นเขา ไม่ใช่เพราะเขายอมให้กับหนิงสือเว่ย แต่เพราะเขารู้การหนีในคืนนี้ไม่ได้อยู่ที่ความเร็วเท่านั้น เร็วกว่าไม่ได้หมายความว่าปลอดภัยกว่า ในทางกลับกัน มันอาจอันตรายกว่า
หากเขาไล่ตามคนหลบหนีสองคน เขาย่อมไล่ตามคนที่หนีไวกว่าก่อน
เหมือนที่คาดไว้ ในเวลาต่อมา เขาไม่ได้ยินเสียงลมไล่หลังมา ไม่เห็นลำแสงสีเขียว
เขาโชคดีมากแต่เขาไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย เขาโคจรปราณแท้อย่างรวดเร็ว ใช้วิชาตัวเบาของพรรคไร้รักอย่างเต็มที่ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พุ่งข้ามระยะทางสิบกว่าลี้ และมาถึงด้านบนภูเขา เขาแค่จำเป็นต้องข้ามไปอีกไม่กี่ร้อยจั้งแล้วเขาจะข้ามหุบเขาและสามารถเห็นแสงของหมู่บ้านเกาหยางได้ ซึ่งเขาจะสามารถแจ้งกองทหารรักษาการณ์ได้
เขาหายใจถี่และได้ยินว่ามันหนักแค่ไหน
การปรากฏขึ้นของแสงสลัวบนท้องฟ้าเหนือหุบเขามอบความแข็งแกร่งให้กับร่างที่อ่อนแรงของเขา เขาเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง
ในตอนนี้ เขาได้ยินเสียงที่แผ่วเบาอย่างมากจากด้านหลัง
มันเหมือนกับแผ่นน้ำแข็งบางที่ตกลงบนน้ำแข็งอีกอัน เหมือนกับสายลมที่พัดผ่านใยน้ำแข็ง เหมือนกับคนดีดสายฉิน
นี่เป็นภาพลวงตา
ต้องเป็นภาพลวงตา
จูเยี่ยกล่าวกับตัวเอง
เขาไม่หันกลับไปแต่พุ่งไปข้างหน้าต่อ ลมหายใจถี่รัวและหนักมากขึ้น ค่อยๆ แปดเปื้อนด้วยกลิ่นอายแห่งความสิ้นหวัง