ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 101 ถอนหายใจหนึ่งครั้ง หานซานพันลี้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เสียงดีดฉินที่จูเยี่ยได้ยินไม่ใช่ภาพลวงตา

แม้ว่าเสียงกู่ฉินจะดังมาจากเทือกเขาหิมะห่างไกลและลึกลับอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันมีอยู่จริง

เสียงเย็นเยียบ จัดเจนและบางราวกับเส้นผมหรือคมดาบ ดังนั้นจึงมีความคม

ลมเย็นพัดเหนือเทือกเขาหิมะถูกตัดขาด ความมืดมิดที่ได้รับแสงจากหมู่บ้านเกาหยางก็ถูกตัดขาดเช่นกัน ส่วนที่แข็งที่สุดของบัวหิมะที่โตบนน้ำแข็งก็ถูกตัดขาด

คลื่นมากมายปรากฏบนรองเท้าของจูเยี่ย จากนั้นก็ซึมลึกลงไปจนถึงผิวหนัง เนื้อและกระดูก

เท้าของเขาขาดออกจากข้อเท้า มันยังมีแรงเฉื่อยอยู่จึงลอยผ่านไปในเส้นทางภูเขาสู่ที่ซึ่งไม่รู้จัก ทิ้งทางเลือดสองรอยเอาไว้ด้านหลัง

จูเยี่ยไม่อาจข้ามเทือกเขาและกลับคืนสู่โลกมนุษย์ เขาตกลงไปในหิมะ หอบหายใจ ร่างกายกระเพื่อมขึ้นลง

เขาล้มลงอย่างหนัก เท้าทั้งสองถูกตัดขาด ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่มันไม่ใช่สาเหตุที่เขาไม่อาจเคลื่อนไหวบนพื้นดิน มันเป็นเพราะความสิ้นหวัง

เสียงดีดฉินดังข้ามระยะทางสิบกว่าลี้ มันจึงลี้ลับและยากสัมผัสได้ แต่มันก็สามารถตัดเท้าทั้งสองของเขาได้อย่างง่ายดาย

ตัวตนบัณฑิตวัยกลางคนชัดเจนแล้ว

เขาฝังหน้าไว้ในหิมะและส่งเสียงอู้อี้ด้วยความเจ็บปวด เขาเป็นเหมือนกับสัตว์อสูรที่บาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีความกล้าที่จะโจมตีกลับไป มีแต่สำนึกเสียใจไร้สิ้นสุด

เสียงการต่อสู้และกรีดร้องได้ยินมาจากเทือกเขา น่าจะเป็นหนานเค่อกำลังเก็บเกี่ยวชีวิตของเหล่ามนุษย์บนเส้นทางภูเขา

เสียงต่อสู้พลันหายไปและเสียงกรีดร้องก็ค่อยๆ จางลงจนเหลือแต่ความเงียบเท่านั้น

จูเยี่ยก็เงียบไป เขาพลิกตัวอย่างยากลำบากและมองดูท้องฟ้าพร่างดาว อยู่ใกล้ยอดเขาหิมะเช่นนี้พวกมันจึงดูแจ่มชัดทีเดียว แล้วเขาก็ถอนหายใจ

หากเขาไม่โลภมากอยากได้ยาเม็ดจูซา ด้วยศักดิ์ฐานะของเขา เขาจะมาที่เทือกเขาอันห่างไกลได้อย่างไร จะพบกับศัตรูที่น่ากลัวได้อย่างไร

คำว่า ‘โลภ’ ได้นำความตายมาสู่คนมากมาย แล้วจะมีความตายอีกมากมายแค่ไหนในอนาคต

น้ำแข็งถูกเหยียบย่ำ ยังคงดังเหมือนกับใบไม้แห้งในฤดูใบไม้ร่วงถูกเหยียบย่ำ

ได้ยินเสียงนี้ ร่างกายและจิตใจของจูเยี่ยก็ผ่อนคลาย ดวงตาค่อยๆ กระจ่างใส

หนานเค่อเดินมาตรงหน้าเขา ปีกของนางเคลื่อนไหวช้าๆ อยู่ด้านหลัง นำลมเย็นเยียบมาพร้อมกัน

กระบี่กางเขนใต้ได้แยกออก และตอนนี้อยู่ในมือทั้งสองข้างของนาง เลือดหยดลงมาจากกระบี่ น่าจะเป็นของหนิงสือเว่ยกับพวก

จูเยี่ยมองนางอย่างใจเย็น มือของเขากำของวิเศษล้ำค่าของพรรคไร้รักเอาไว้ในแขนเสื้อ

หนานเค่อแทงกระบี่ออกไป

จูเยี่ยก็ใช้วิชาออกมา

เสียงปะทะหนักหน่วงดังขึ้นบนยอดเขาหิมะที่อาบด้วยแสงดาว

ลอยนูนสิบกว่ารอยปรากฏขึ้นบนสันเขาราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดบางชนิดต้องการที่จะทะลวงออกมาจากพื้นดิน

ผืนหิมะลอยขึ้นและเต้นรำอย่างบ้าคลั่งกลางอากาศ ปกคลุมดวงดาวและทำให้สิ่งแวดล้อมมืดมัวลงอีก ประกายกระบี่ฉายขึ้นเป็นระยะๆ

เสียงกู่ฉินอันลี้ลับแผ่วเบายากได้ยิน

โลกพลันแน่นิ่ง ลมหิมะค่อยๆ สงบลง หิมะเคลื่อนลงมาตามสันเขา ส่งเสียงโครมคราม

บนยอดเขาสูงสุด กระบี่ของหนานเค่อแทงใส่อกของจูเยี่ย

จูเยี่ยไม่ได้ก้มหน้าลงมองบาดแผลหรือมองไปที่นาง แต่กลับมองไปยังที่ไกลออกไป

กระบี่ในร่างของเขาเย็นเยียบอย่างแท้จริง แต่เสียงแผ่วเบาแทบไม่มีจริงของกู่ฉินเย็นเยียบยิ่งกว่า

เย็นจนเตือนให้เขานึกถึงเรื่องที่ลุงของเขาเคยบอกเมื่อหลายปีก่อน

ในเรื่องนั้น มีเมืองมารในทุ่งหิมะแดนเหนือ เมืองมารนี้ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดตลอดกาล

มันเหมือนกับความมืดที่ค่อยๆ ปกคลุมดวงตาของเขา

……

……

หนานเค่อแบกศพจูเยี่ยกลับมายังทางเดินภูเขา

ทางเดินภูเขาปกคลุมไปด้วยเลือดและเลือดที่แข็งตัว แต่ศพหลายร้อยศพถูกโยนไปด้านข้างอย่างสุ่มๆ

บัณฑิตวัยกลางคนไม่ได้ดีดกู่ฉิน แต่กำลังกินอะไรบางอย่าง ศพครึ่งซีกอยู่ที่เท้าของเขา จากรองเท้าและชุดเกราะที่เหลืออยู่ มันน่าจะเป็นศพของหนิงสือเว่ย

หนานเค่อส่งศพของจูเยี่ยให้บัณฑิตวัยกลางคน

บัณฑิตวัยกลางคนใช้สองมือรับศพจูเยี่ยมาแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินต่อไป

เสียงเหมือนกับแมวกำลังกินของเหลือ เหมือนกรวดถูกทุบดังขึ้น

เลือดไหลออกมาตามซอกนิ้วเรื่อยๆ

ในเวลาอันสั้น ศพจูเยี่ยก็หายไป ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว

ลมพัดต้องเสื้อผ้าของบัณฑิตวัยกลางคน เห็นได้ว่าท้องของเขานูนขึ้นมาเล็กน้อย

เขาหลับตา นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ดูเหมือนดื่มด่ำกับรสชาติหรือครุ่นคิดบางสิ่ง

“ไม่แปลกใจเลยที่เขาเป็นหลานของจูลั่ว แม้ว่าการบำเพ็ญเพียรจะไม่ดีนัก แต่ก็มีแสงจันทร์อยู่เล็กน้อย เรียกได้ว่าเป็นอาหารเสริมเล็กน้อยได้ ดีกว่าแม่ทัพคนนี้มาก”

บัณฑิตวัยกลางคนลืมตาขึ้นและมองไปยังศพของหนิงสือเว่ยที่เหลืออยู่แทบเท้าของเขา สีหน้าแสดงการดูถูก

เขาหยิบผ้าเช็ดมือสีขาวราวหิมะออกมาจากแขนเสื้อ เช็ดเลือดออกจากริมฝีปากช้าๆ เคลื่อนไหวอย่างสง่างามยิ่งนัก จากนั้นก็เดินไปในความมืดของเส้นทางภูเขา

หนานเค่อไม่แสดงสีหน้าต่อความสง่างามและน่ากลัวนี้ตอนที่เดินตามไป

พวกเขาเดินไปสู่หุบเขาหิมะห่างไปสิบกว่าลี้พร้อมกับเสียงดีดฉินกระจ่างชัด

ยอดฝีมือเผ่ามารที่พยายามล้อมเฉินฉางเซิงเต็มไปด้วยรอยแผลกระบี่ มือขวาของพวกเขาขาด แต่ก็ยังไม่ตาย

เมื่อพวกเขาเห็นบัณฑิตวัยกลางคนกับหนานเค่อ ก็เหมือนกับพวกเขาได้เห็นผี ใบหน้าซีดขาวในทันที

หนานเค่อมองดูพวกมันและกล่าว “ไปตายซะ”

เลือดสีเขียวหลายสายระเบิดออกมาจากร่างสูงใหญ่ที่ล้มลงในหิมะ

เมื่อได้ยินคำพูดของหนานเค่อ ยอดฝีมือเผ่ามารก็ทำการฆ่าตัวตายในทันที!

ลานบ้านและสวนในหุบเขากลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว ทะเลสาบน้ำพุร้อนกลางหมอกได้กลายเป็นหลุมแห้งผาก สะพานไม้ได้ขาดเป็นหลายสิบท่อน ทอดตัวราวกับซากงูที่ตายมาหลายศตวรรษ ร่องรอยทั้งหมดของศาลาหายไปและเกล็ดน้ำแข็งที่กระจายเต็มท้องฟ้าราวกับดอกหลิวก็ดูกวนใจอยู่บ้าง

เฉินฉางเซิงกับจี๊ดจี๊ดยืนอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ อันหวาได้ช่วยแม่ทัพออกจากซากปรักหักพัง และทั้งสองก็กำลังยืนเฝ้าระวังอยู่หน้าแคร่หามอย่างระแวดระวัง

ไห่ตี๋ยืนอยู่ในทะเลสาบพร้อมกับอาวุธที่ดูเหมือนกับป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักในมือ ดูเหมือนว่าเขาเป็นจุดศูนย์กลางในส่วนนี้ของโลก

แต่ในสายตาเขา ไม่ว่าจะเป็นส่วนนี้ของโลกหรือโลกอันกว้างใหญ่ ใจกลางโลกก็เป็นบัณฑิตวัยกลางคนที่เพิ่งปรากฏตัวเสมอมา

หนานเค่อไม่สนใจเขา กล่าวกับเฉินฉางเซิง “ข้าช่วยเจ้าแก้ปัญหามากมาย เจ้าติดค้างข้า”

จี๊ดจี๊ดไม่สามารถจำนางได้ แต่ฟังจากน้ำเสียงที่นางพูดกับเฉินฉางเซิง จี๊ดจี๊ดก็รู้สึกว่าพวกเขาน่าจะรู้จักกันดี เมื่อมองดูนางก็พลันตระหนักบางอย่างได้และความกังวลก็ฉายขึ้นในดวงตา

“เจ้าก็คือนกยูงนั่นหรือ”

สีหน้าของหนานเค่อทึมทึบอยู่บ้างตอนที่นางถาม “เจ้าจำข้าได้หรือ”

“เฉินฉางเซิงเคยพูดถึงเจ้ามาก่อน”

จี๊ดจี๊ดยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้วและวางพวกมันไว้ระหว่างดวงตา “เขาบอกว่าระยะห่างระหว่างดวงตาของเจ้ากว้างเกินไป มันชัดเจนว่าเจ้าป่วย”

หนานเค่อครุ่นคิดคำพูดนี้ ไม่รู้ว่านางควรจะโกรธดีหรือไม่ แล้วนางก็มองไปที่เฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงไม่ได้มองไปที่นาง สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่บัณฑิตวัยกลางคนเสมอ

ก่อนที่บัณฑิตวัยกลางคนจะปรากฏตัว เขาก็ได้ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของไห่ตี๋ไปเรียบร้อยแล้ว ถึงกับทำให้ไห่ตี๋เต็มไปด้วยความหวาดกลัวไร้จำกัด

มีคนไม่มากกว่าห้าคนในโลกนี้ที่จะทำให้ไห่ตี๋หวาดกลัวได้

บังเอิญนัก เขาเคยพบบัณฑิตวัยกลางคนนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเป็นใคร

พวกเขาเคยพบกันที่หานซาน

คืนนี้ก็ยังเป็นหานซาน[1]

แม้ว่าที่ทั้งสองจะห่างกันพันลี้

มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง โชคร้ายอย่างแท้จริง

เขาถอนหายใจ

[1] เป็นการเล่นคำ หานซาน 寒山 นอกจากเป็นชื่อภูเขาแล้วยังแปลว่าภูเขาที่หนาวเย็นได้อีกด้วย