ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 102 ราชามารนับตั้งแต่บรรพกาล

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

คืนนี้ การถอนหายใจเช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง

ตอนที่กลุ่มของจูเยี่ยยืนอยู่ริมทะเลสาบและรู้ว่าเจ้าของยาจูซาก็คือเฉินฉางเซิง พวกเขาก็ถอนหายใจแบบนี้

บนภูเขาหิมะ เมื่อเท้าของจูเยี่ยถูกเสียงดีดกู่ฉินตัดออก เขามองขึ้นไปที่ดวงดาวเพื่อรอความตาย เขาก็ถอนหายใจยาว

ตอนนี้เมื่อเฉินฉางเซิงเห็นบัณฑิตวัยกลางคน เขาก็อดถอนหายใจไม่ได้

ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายมากเกินไป ต่อให้เขาใช้วิธีทั้งหมดและมีปัญหาอันหาที่สุดไม่ได้ ต่อให้เขายินดีที่จะสละชีวิต เขาก็ไม่อาจที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้

แน่นอนเขาควรจะต่อต้าน แต่ก็พบว่าตนเองนั้นไร้กำลัง อารมณ์ทั้งหมดได้ถูกรวมกันและเปลี่ยนไปเป็นการถอนหายใจหนึ่งครั้ง

ที่ทำให้เฉินฉางเซิงตกใจและสับสนที่สุดก็คือทุกคนบอกว่าเหวนรกนั้นไร้สิ้นสุด ดังนั้นทำไมคนผู้นี้จึงยังมีชีวิตอยู่และมายืนอยู่ตรงหน้าเขาได้

เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็มองไปที่ไห่ตี๋

นับจากตอนที่เขาได้ยินเสียงดีดฉินอันเย็นเยียบและหันไปมอง ไห่ตี๋ก็ไม่เคลื่อนไหว สายตาของเขาจับจ้องไปยังทิศทางซึ่งเสียงฉินดังขึ้น ซึ่งเป็นจุดที่บัณฑิตวัยกลางคนยืนอยู่ในตอนนี้

มารผู้แข็งแกร่งนี้ได้แข็งทื่อไปทั้งกายและใจ แต่เฉินฉางเซิงแน่ใจว่ามารผู้นั้นได้สังเกตเห็นสายตาของเขา

สายตานี้คือคำถาม

‘อยากร่วมมือกันไหม’

……

……

มนุษย์กับมารสู้กันมาหลายปี ทั้งสองฝ่ายเสียหายล้มตายอย่างมาก สะสมความแค้นไว้อย่างลึกล้ำ โดยเฉพาะหลังจากข้อตกลงระหว่างจักรพรรดิไท่จงกับราชามารถูกทำลายไปเมื่อพันปีก่อน ยกเว้นในสถานการณ์ที่สุดโต่งอย่างเช่นความแค้นที่ไม่อาจลืมได้ของตระกูลเหลียงหลังจากตระกูลของพวกเขาแทบจะถูกฆ่าล้างจนหมดสิ้น หรือเรื่องเก่าเกี่ยวกับโจวตู๋ฟู ยอดฝีมือทั้งสองฝ่ายไม่เคยร่วมมือกัน ตอนที่ซางสิงโจวลอบทำการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู เขาก็แค่ทำความเข้าใจว่าจะไม่แทรกแซงเรื่องของอีกฝ่ายกับคนมีอำนาจในเมืองเสวี่ยเหล่าเท่านั้น แต่ไม่มีใครยืมกำลังของอีกฝ่ายมาใช้

ไม่มีใครทนแบกรับความขายหน้าไปตลอดกาลได้

แต่เฉินฉางเซิงไม่กังวลถึงปัญหานี้เมื่อทำงานร่วมกับไห่ตี๋ เพราะตัวตนของบัณฑิตวัยกลางคนจะทำให้ทั้งต้าลู่เห็นด้วยกับแผนของเขา

และการร่วมมือนี้ก็มีความเป็นไปได้ ไห่ตี๋ก็น่าจะเห็นด้วยอย่างมากในร่วมมือกันครั้งนี้

สองปีก่อนหลังจากการกบฏในเมืองเสวี่ยเหล่า ราชามารถได้ตายไปและหนานเค่อได้หายตัวไป ขุนนางและราชนิกุลมากมายที่ภักดีต่อราชามารได้ถูกสังหารไป แต่ไห่ตี๋ยังมีชีวิตรอดและยังมีอำนาจมากกว่าแต่ก่อน ตอนนี้เขามีอำนาจในกองทัพมารตามแนวรบมากมายมหาศาล แน่ใจได้ว่าเขาต้องเป็นหนึ่งในพวกกบฏ

หากเขาต้องการมีชีวิตผ่านคืนนี้ไป เขาต้องร่วมมือกับเฉินฉางเซิง

ความต้องการที่จะฆ่าเฉินฉางเซิงสังฆราชของมนุษย์นั้นมากมายก็จริง แต่สำหรับไห่ตี๋การฆ่าบัณฑิตวัยกลางคนผู้นี้ย่อมเหนือกว่าสิ่งใดทั้งนั้นในโลกนี้

ไห่ตี๋ไม่ได้ตอบกลับสายตาสอบถามของเฉินฉางเซิง เขาจ้องมองต่อไปด้วยความกังวลและหวาดกลัวที่บัณฑิตวัยกลางคน มือที่กำป้ายอนุสรณ์ศิลาสวรรค์ที่แตกหักแน่นขึ้น

ลานบ้านที่พังทลายเงียบงัน ทุกคนรู้ดีว่าความเงียบนี้หมายถึงอะไร

ดวงตาของหนานเค่อเย็นเยียบมากขึ้นเรื่อยๆ ปีกแวววาวของนางก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ น่าลุ่มหลงและน่ากลัวยิ่งขึ้น

ในตอนนี้เองที่บัณฑิตวัยกลางคนพูด

“ข้ากำลังจะตาย”

เสียงของเขาธรรมดาอย่างมาก

เรียบเฉยธรรมดา เกียรติภูมิสามัญ ความเลิศเลอทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษในเสียงนี้

แต่หากสำรวจใบหน้าของคนผู้นี้ให้ดี พวกเขาก็จะสังเกตเห็นส่วนที่ไม่ธรรมดา

ใบหน้าของบัณฑิตวัยกลางคนดูเหมือนจะถูกปกคลุมไว้ด้วยความมืดบางๆ มาตลอดกาล

ดูเหมือนว่ามีอักษรทองคำจำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่บนพื้นผิวของความมืดมิดนี้ ใต้ตัวอักษรทองคำเป็นภาพของทิวทัศน์ ขณะหนึ่งเป็นทะเลทรายจากนั้นก็ทะเล แค่เลิกคิ้วขยับปาก คลื่นก็ลอยขึ้นจากทะเล ทรายถูกพัดปลิว ทิวทัศน์มีชีวิตชีวาหาใดเปรียบ แต่ก็เย็นและนิ่งผิดปกติ เพราะไม่มีแม้แต่คนเดียวในทิวทัศน์ที่กว้างใหญ่นี้

และตอนที่เขาพูดว่าเขากำลังจะตาย มิติที่กว้างใหญ่นี้ก็มืดมัวลงอย่างมากราวกับว่ากำลังจะกลับคืนสู่การดับสูญ

ดังนั้นเฉินฉางเซิงรู้ว่าเขาพูดความจริง

เขาคิดไปถึงเมื่อหลายปีก่อนในห้องภายในสำนักการศึกษากลางที่เต็มไปด้วยดอกเหมยหลากชนิด เขาได้ยินเหมยลี่ซากล่าวคล้ายกันนี้

สองปีก่อน เขาก็ได้ยินอาจารย์อาสังฆราชพูดแบบเดียวกันนี้ แม้ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นในพระราชวังหลีหรือสำนักฝึกหลวงก็ตาม

เขาครุ่นคิดทั้งหมดนี้แล้วพูดกับบัณฑิตวัยกลางคน “ตราบใดที่มีชีวิตก็ต้องมีวันตาย”

บัณฑิตวัยกลางคนตอบ “ประโยคที่สี่ในบทกวีวิถีลัทธิเต๋า”

เฉินฉางเซิงไม่ได้ถามว่าสามประโยคแรกคืออะไร เพราะทุกคนต่างก็มีความเข้าใจและความรู้ในการศึกษาคัมภีร์เต๋าเป็นของตนเอง แน่นอนเขาไม่ตกใจที่บัณฑิตวัยกลางคนนี้จะจดจำประโยคนี้จากบทกวีวิถีลัทธิเต๋า เป็นเพราะทุกคนรู้ว่าคนผู้นี้เป็นบัณฑิตที่รอบรู้และโดดเด่นเป็นรองเพียงแค่ทงกู่ซือเท่านั้นในเมืองเสวี่ยเหล่า

“แต่ใครจะยอมตายจริงๆ เล่า เทียนไห่ อิ๋น หรือพวกสหายเก่าจากก่อนหน้านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะดูสงบเพียงใดจากภายนอก แต่พวกเขาจะยินยอมเดินเข้าสู่ความมืดได้อย่างไร ข้าเองก็ไม่ยินยอมเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงปีนขึ้นมาจากความมืดมิดที่น่ากลัวและมาที่นี่เพื่อพบเจ้า”

เมื่อเขากล่าวช้าๆ ความมืดมิดที่ปกคลุมใบหน้าบัณฑิตวัยกลางคนก็หนาขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยากที่จะมองดูตรงๆ

จากน้ำเสียง จี๊ดจี๊ดก็เดาตัวตนของเขาได้ แต่นางไม่กล้าที่จะเชื่อ น้ำเสียงของนางสั่นเล็กน้อย

“เจ้า…ท่านต้องการจะทำอะไร”

“พ่อเจ้าเคยพูดกับข้าว่าเจ้าไม่ยอมเรียน โง่เขลาและอ่อนต่อโลก คืนนี้ข้าเห็นแล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ”

บัณฑิตวัยกลางคนมีสีหน้าอ่อนโยนพูดกับนางราวกับผู้อาวุโส “ใจเย็น เห็นแก่หน้าพ่อของเจ้า ข้าจะไม่สร้างความลำบากแก่เจ้า”

จากคำพูดนี้ จี๊ดจี๊ดก็ยืนยันฐานะของคนผู้นี้ได้ ดังนั้นจึงตกใจจนพูดไม่ออก นางหันไปหาเฉินฉางเซิงโดยไม่รู้ตัว ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและทำอะไรไม่ถูก

ในอดีตนานจนนับปีไม่ถ้วนมีมังกรยักษ์น้ำแข็งดำที่แข็งแกร่งไม่ยินดีที่จะรับตำแหน่งประมุขเผ่ามังกรและเดินทางไปยังดินแดนที่ห่างไกล

ในดินแดนนั้นมันได้พบสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งพอกันจำนวนมาก จากนั้นก็ตายในสวนโจว

มังกรนั้นก็คือบิดาของนาง

ในเหล่าสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งพวกนั้น มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเพื่อนของบิดานาง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ บิดานางชื่นชมเพียงแค่สิ่งมีชีวิตนั้นเท่านั้น

เมื่อเวลาผ่านไป สวนโจวได้ผ่านจักรพรรดิมาหลายรุ่น สำนักกระบี่หลีซานเปลี่ยนเจ้าสำนักไปสามคน แม้แต่ตระกูลถังก็เปลี่ยนผู้นำไปสองรุ่น มีผู้เดียวเท่านั้นที่ครองบัลลังก์ในวังศักดิ์สิทธิ์มาตลอด มันทำให้คนมากมายตกอยู่ใต้ความเข้าใจผิดว่ามันเป็นมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ท้องฟ้าเบื้องบนแผ่นดินเบื้องล่างตลอดเวลาที่ผ่านมาเผ่ามารมีราชามาร…แค่หนึ่งเดียวเท่านั้น

ใช่แล้ว บัณฑิตวัยกลางคนก็คือราชามาร

เขาเป็นราชาที่แข็งแกร่งที่สุดมีพรสวรรค์ที่สุดในประวัติศาสตร์เมืองเสวี่ยเหล่า ใต้ฝ่าพระบาทที่เผ่ามารทั้งหมดกราบกรานบูชา เป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของมนุษยชาติ

หากไม่ใช่เพราะมีอัจฉริยบุคคลจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในหมู่มนุษย์ เผ่ามารคงปกครองไปทั่วต้าลู่ภายใต้การนำของเขาแล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็นโจวตู่ฟู เฉินเสวียนป้า จักรพรรดิไท่จงและหวังจื่อเช่อเมื่อพันปีก่อน หรือเทียนไห่ อิ๋นกับซางในช่วงพันปีหลัง ไม่มีใครที่สามารถเอาชนะเขาได้จริงๆ

เผชิญหน้ากับยอดฝีมือมนุษย์ที่ถาโถมเข้ามาราวกับดวงดาวนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้าพร่างดาว เขาก็ยังนำเผ่ามารในแดนเหนือสุดให้ยืนหยัดไม่ยอมใครเหมือนกับความมืดที่ปกคลุมเมืองเสวี่ยเหล่าตลอดกาล

ในทุกแง่มุม เขาคือราชามารที่แข็งแกร่งที่สุด

ไม่ว่ามันจะนับตั้งแต่บรรพกาลหรือในท้องฟ้าเบื้องบนแผ่นดินเบื้องล่าง