พันปีก่อนเขาเป็นราชามาร หลังจากผ่านไปพันปี เขาก็ยังเป็นราชามาร แต่ถึงอย่างนั้นราชามารก็ยังไม่อาจที่จะหนีกฎแห่งประวัติศาสตร์ได้ ต้องพบกับการกบฏ
ตามกฎของประวัติศาสตร์แล้ว ต้นคิดของการกบฏนี้ย่อมต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาไว้ใจที่สุด
กุนซือชุดดำและผู้บัญชาการมารเป็นเหมือนแขนซ้ายขวาของราชามาร ได้ชิงอำนาจกันมานานจนนับปีไม่ถ้วน ปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาไม่อาจเข้ากันได้เหมือนน้ำกับไฟ ทั้งคู่ต่างก็เกลียดชังซึ่งกันและกัน มีแต่เกียรติยศอันยิ่งยงของราชามารเท่านั้นที่สามารถรักษาสถานการณ์เอาไว้ได้ แต่สถานการณ์นี้ไม่แน่ว่าเป็นสิ่งที่ราชามารปรารถนาที่สุด ถึงกับจงใจใส่
ใครจะคาดคิดได้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันและโจมตีใส่ราชามารโดยไม่ทันตั้งตัวด้วยความซ่อนเร้นอย่างที่สุด
ราชามารได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังจากเดินทางไปหานซาน จากนั้นเขาก็พบกับการกบฏและถูกบีบลงสู่เหวนรกไร้สิ้นสุด ราชบัลลังก์ตกเป็นของบุตรคนสุดท้องในที่สุด ในตอนแรก ทั้งตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองเสวี่ยเหล่าและเผ่ามนุษย์แดนใต้เชื่อว่าราชามารหนุ่มเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดที่ชุดดำกับผู้บัญชาการมารจับวางไว้บนบัลลังก์ จนกระทั่งหลังจากขุนพลเทพฮั่นชิงถูกกับดักและฆ่าด้วยวิธีที่ร้ายกาจที่สุดโดยราชามารหนุ่ม ทั่วทั้งต้าลู่จึงเข้าใจในที่สุดว่าเขาเป็นตัวการหลักเบื้องหลังการกบฏ!
พี่น้องฆ่าฟัน พ่อฆ่าลูกเพื่อราชบัลลังก์เป็นเรื่องธรรมดาของทั้งเผ่ามารและมนุษย์ โดยสรุป ราชามารที่แม้แต่โจวตู๋ฟู จักรพรรดิไท่จง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ อิ๋นหรือซางก็ไม่อาจที่จะโค่นล้มได้กลับถูกล้มลงในคูน้ำเหม็นเน่าแห่งประวัติศาสตร์ ถูกโค่นล้มด้วยมือของบุตรชายตนเอง
แต่เขาไม่ได้ตายในเหวนรกไร้สิ้นสุดแล้วหรอกหรือ ทำไมถึงมาปรากฏตัวอยู่บนเทือกเขาหิมะในตอนนี้ได้
เมื่อพวกเขามองไปที่ร่างของบัณฑิตวัยกลางคนที่ริมทะเลสาบ อันหวาและแม่ทัพก็หน้าซีด การหายใจแต่ละครั้งกลายเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา
นี่เป็นคำถามที่ทุกคนสงสัยที่สุด ที่ทุกคนต้องการได้รับคำตอบมากที่สุด
หนานเค่อยืนตรงหน้าเฉินฉางเซิง ไม่พูดอันใด
นางรู้ดีว่าการปีนขึ้นจากเหวนรกไร้สิ้นสุดนั้นเจ็บปวดเพียงใด แม้แต่นางก็ไม่ปรารถนาที่จะหวนนึกถึงมัน
ราชามารย่อมไม่อธิบาย เขากล่าวกับเฉินฉางเซิง “ข้าแค่กำลังจะตาย แต่ข้ายังไม่ตาย ข้าไม่ต้องการจะตาย ดังนั้นข้าจึงมาหาเจ้า”
เฉินฉางเซิงถาม “ท่านมาหาข้าเพื่ออะไร”
ราชามารกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้ามาเพื่อขอให้เจ้าช่วย”
“ท่านต้องการยาจูซาอย่างนั้นหรือ” จี๊ดจี๊ดพลันถามขึ้น
นางได้ลองถามดู น้ำเสียงมีประกายความหวังอยู่เล็กน้อย
“ไม่เพียงพอ มีเลือดในยาจูซาน้อยเกินไป”
คำตอบของราชามารทำลายความหวังสุดท้ายของนาง
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ไห่ตี๋ อันหวาและแม่ทัพก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
มีเลือดในยาจูซา เลือดของใคร หากประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังได้ยินคำพูดนี้ เขาจะเข้าใจในทันทีว่าผลึกสีแดงในยาจูซานั้นไม่ใช่ปะการังโลหิต ไม่ใช่เลือดของมังกรดำน้อย แต่เป็นเลือดของเฉินฉางเซิง!
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง อันหวากับแม่ทัพก็มองตากัน พวกเขาเห็นความตกใจในดวงตาของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งสองก็คิดถึงความเป็นไปได้นี้
ช่วงไม่กี่ปีมานี้ เรื่องของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ปรมาจารย์เต๋าซางสิงโจว จักรพรรดิและสังฆราชได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งโลก
ด้วยการชี้นำของนิกายหลวง ทุกคนก็รู้ว่าสังฆราชมีรากฐานศักดิ์สิทธิ์โดยธรรมชาติ ในเลือดแท้ของเขาเปี่ยมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์
กลายเป็นว่าสังฆราชได้ใช้เลือดของตนมาทำยา ไม่ต้องสงสัยเลยที่ยาจูซาจึงสามารถปลูกกระดูกช่วยชีวิตคนใกล้ตายได้!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายาจูซานั้นมีจำนวนจำกัด สามารถผลิตได้เดือนละหนึ่งขวดเล็กๆ เท่านั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสังฆราชไม่เปิดเผยสูตรยาไปทั่วโลก
มันไม่สามารถที่จะเลียนแบบสูตรยาได้ นอกจากสังฆราชแล้วจะมีใครสามารถทำยานี้ได้อีก
เมื่อนางมองไปข้าหน้า อันหวาก็รู้สึกว่าร่างกายของเฉินฉางเซิงนั้นยิ่งใหญ่ขึ้นมาก อาบไปด้วยแสงดาวดูศักดิ์สิทธิ์หาใดเปรียบ
ใช้เลือดของตนช่วยสรรพชีวิต เป็นการกระทำอันมีเมตตาถึงเพียงไหน เป็นจิตใจที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงไหน
อันหวารู้สึกอับอายเมื่อนางคิดว่านางเคยรู้สึกไม่พอใจเจ้าของยาจูซาตอนอยู่ที่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน และการที่นางรู้สึกผิดหวังก่อนหน้านี้
เฉินฉางเซิงกล่าวกับราชามาร “หากข้าทราบว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้าคงระวังตัวกว่านี้ เพราะเรื่องที่ยาจูซามีเลือดของข้าอยู่ไม่อาจที่จะปิดบังท่านได้อย่างแน่นอน”
ไม่กี่ปีก่อน ราชามารได้เสี่ยงอันตรายอย่างมากเดินทางไกลไปยังหานซานเพื่อที่จะได้กินเฉินฉางเซิง
หลังจากการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู สังฆราชบอกกับเขาว่ามีเพียงคนเดียวในโลกที่กล้าพอจะชิงเลือดแท้ของเขาก็คือราชามาร
ราชามารมีความโลภอย่างล้ำลึก และยังมีวิธีการ มีความกล้าที่จะแก้ปัญหาพิษที่อาจซ่อนอยู่ในเลือดแท้ของเฉินฉางเซิง
จี๊ดจี๊ดมองไปที่เฉินฉางเซิงอย่างเป็นห่วง และก็ยังโมโหอีกด้วย ในมุมมองของนาง หากไม่ใช่เพราะเฉินฉางเซิงเสียเลือดแท้มากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญตนของเขาช่วงปีที่ผ่านมาเพื่อสร้างยาบ้าๆ นั่น ไห่ตี๋ย่อมไม่อาจที่จะกักพวกเขาเอาไว้ที่นี่ได้ และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้
ราชามารถพูดอย่างใจเย็น “เมื่อข้ายังมีชีวิตอยู่ และได้พบกับเจ้า บางทีอาจเป็นชะตาของเจ้า”
เฉินฉางเซิงมองไปที่ดวงตาของเขาและกล่าว “ท่านควรรู้ดีว่าข้าเกิดมาเพื่อเป็นผลไม้พิษ”
มุมปากของราชามารยกขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ ภาพทิวทัศน์บนใบหน้าของเขาสว่างสดใสขึ้นในทันทีเมื่อใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและน้ำเสียงก็รื่นหู “ข้าเป็นชาย สุดท้ายแล้วข้าก็มีความกล้ามากกว่าเทียนไห่น้อย และข้าก็ยังมีชีวิตมานานกว่ามาก เห็นโลกมามากกว่ามาก ดังนั้นบางที่ข้ามีวิธีที่จะรับมือกับปัญหานี้”
เฉินฉางเซิงพอจะเข้าใจปัญหาของเขาอยู่บ้างและตอบกลับ “แต่ท่านก็ไม่แน่ใจ”
ราชามารตอบ “ต่อให้ข้าไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าแน่ใจ”
เฉินฉางเซิงมองไปที่เกล็ดน้ำแข็งที่ปลิวอยู่ตรงหน้า ไม่ตอบคำ
ราชามารมองไปที่ดวงตาของเขาและกล่าว “ยาจูซาไม่เป็นพิษจนทำให้ยอดฝีมือมนุษย์ตาย บ่งบอกว่าเจ้าได้พบวิธีที่จะกำจัดพิษในเลือกแท้ของเจ้าแล้ว”
เฉินฉางเซิงคิดอยู่ในใจ มันเป็นพิษที่ไหนกัน มันเป็นแค่ความขัดแย้งระหว่างกฎศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันสองอย่าง
จี๊ดจี๊ดไม่อาจที่จะเงียบต่อไปได้ “ดังนั้นท่านเลยต้องการให้เฉินฉางเซิงกำจัดพิษในเลือดของเขาและมอบตัวเองให้กับท่านอย่างนั้นหรือ”
“ทำไมจะทำไม่ได้ เมื่อข้ากินเจ้าแล้ว แผลเก่าของข้าก็จะหายดี ข้าจะก้าวข้ามตัวเองในอดีต ข้าจะกลับไปเมืองเสวี่ยเหล่าเพื่อชิงราชบัลลังก์ แม้ว่าข้ามั่นใจว่าข้าจะเป็นผู้ชนะในที่สุด เจ้าบ้าสองตัว ชุดดำกับเด็กหญิงใหญ่ ก็เป็นคนที่ข้าไม่อาจมองออกอย่างสมบูรณ์ ส่วนเจ้าลูกอกตัญญูก็เป็นคนบ้าที่เก่งกาจ ดังนั้นข้าจึงต้องใช้เวลานานทีเดียวอาจต้องดิ้นรนต่อสู้กันไปนานหลายศตวรรษ เผ่าศักดิ์สิทธิ์ของข้าย่อมไม่อาจที่จะลงใต้ นี่ไม่เท่ากับประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่ามนุษย์เจ้าหรอกหรือ”
ราชามารกล่าวกับเฉินฉางเซิงอย่างใจเย็น “ศรัทธาในเต๋านั้นคือการปฏิบัติต่อโลกด้วยเมตตาเสมอมา ด้วยเกียรติภูมิของสังฆราช เจ้ายังไม่ลังเลที่จะใช้เลือดของเจ้าเป็นยา เมื่อเจ้าสามารถช่วยสรรพชีวิต ทำไมเจ้าไม่เปลี่ยนตัวเองเป็นยาและมอบมันให้กับข้า วิธีนี้เจ้าจะสามารถช่วยสรรพชีวิตและช่วยได้มากกว่าเดิม การตายของเจ้าคนเดียวสามารถแลกเปลี่ยนความสงบสุขนานหลายศตวรรษ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรดีใจหรอกหรือ”
นี่เป็นข้อเสนอที่เหลวไหลที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การโต้แย้งช้าๆ ของเขากลับทำให้มันฟังดูค่อนข้างมีเหตุผล
จี๊ดจี๊ดทนฟังไม่ได้อีกต่อไปและตะโกน “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปตายซะ!”