เล่มที่ 32 เล่มที่ 32 ตอนที่ 932 เพียงเปรียบเปรยเท่านั้น

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

จากนั้น ซูจิ่นซีก็หมุนตัวกลับหลัง พลิกตีลังกากลางอากาศหลายตลบอย่างสวยงาม และลงสู่พื้นดินอย่างมั่นคง

สุดท้ายแล้ว นางยังไม่สามารถออกไปจากจวนอี้อ๋องได้

ซูจิ่นซีหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง มองคนที่กำลังมาให้ชัดเจนพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าลักษณะท่าทางรอบตัวยิ่งเพิ่มความดุดันมากขึ้น

ที่แท้เป็นเป่ยถังเย่

นางคิดว่าหากมาแคว้นเป่ยอี้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องได้พบกับเป่ยถังเย่แน่นอน ทว่าไม่คาดคิดเลยว่าจะต้องรับมือกับอีกฝ่ายรวดเร็วเช่นนี้

มีเพียงซูจิ่นซีที่จำเป่ยถังเย่ได้ เนื่องจากนางสวมผ้าปิดหน้า ไม่แน่ว่าเป่ยถังเย่อาจจะจำนางไม่ได้

สายตาเฉียบคมของเป่ยถังเย่มองซูจิ่นซีขึ้นลงครั้งหนึ่ง “ผู้ใด? กล้าดีอย่างไรจึงบุกรุกจวนอี้อ๋องของข้า มีจุดประสงค์ใดกันแน่? ”

ในตอนนี้ เป่ยถังเย่ยืนอยู่ในอาณาเขตที่ซูจิ่นซีวางพิษ ทว่าเห็นได้ชัดว่าพิษของนางไม่มีผลอันใดต่อเขาแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงคิดหาวิธีเอาชนะเป่ยถังเย่โดยไม่เปิดเผยตัวตนแล้วหนีออกไป นางจึงไม่ได้ตอบคำถามของเป่ยถังเย่

เป่ยถังเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย และชี้กระบี่ในมือมาทางซูจิ่นซี

“เจ้าไม่ใช่คนแคว้นเป่ยอี้ บอกมาว่าเป็นคนจากแคว้นใด? ” เขาพูดพลางปรายตามององครักษ์ที่นอนเกลื่อนพื้น “คนของแคว้นไหวเจียง? ”

ทว่าเขารีบปฏิเสธการคาดเดานี้โดยไว “คนแคว้นไหวเจียงลงมือย่อมไม่มีทางปล่อยให้มีชีวิตรอด พิษพวกนี้เพียงทำให้พวกเขาหมดสติ จุดมุ่งหมายไม่ใช่ชีวิตของพวกเขา เจ้าเป็นคนของแคว้นหนานหลีหรือแคว้นจงหนิง? ”

ต้องบอกว่าเป่ยถังเย่ชาญฉลาด ในหกแคว้น เขาตัดไปสี่แล้วมุ่งเป้าไปที่แคว้นหนานหลีกับแคว้นจงหนิงเท่านั้น

ทว่าซูจิ่นซีจะเป็นคนของแคว้นหนานหลีหรือแคว้นจงหนิง ไม่ว่าแคว้นใดก็ล้วนถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าและทิ้งช่องโหว่มากขึ้น ท้ายที่สุด นางก็ปล่อยให้เป่ยถังเย่คาดเดาตัวตนของนาง ซูจิ่นซีกระโดดขึ้นและเริ่มโจมตีเป่ยถังเย่ทันที

อู๋จุนที่รออยู่นอกกำแพงครู่หนึ่ง เขาไม่ได้รอจนซูจิ่นซีออกมา ทว่ากระโดดกลับเข้าไปอีกครั้ง

เมื่อถึงพื้นก็เห็นซูจิ่นซีกำลังต่อสู้กับเป่ยถังเย่ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป และรีบเก็บแส้หงหลิงในมือ

แม้ไม่ได้ตกลงกับซูจิ่นซีด้วยวาจา ทว่าเขารู้จักแม่นางพิษน้อยมานาน ทว่าสัญญาลับก็ยังพอมีอยู่ เวลานี้แม่นางพิษน้อยไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ตัวตนของพวกเขาอย่างแน่นอน

ซูจิ่นซีและเป่ยถังเย่เริ่มต่อสู้กัน ในตอนแรกเพียงต้องการหลบหนี นางต่อสู้กับอีกฝ่ายโดยไม่ได้ใช้กระบวนท่าที่ต้องการถึงชีวิต

ทว่าซูจิ่นซีค่อยๆ เริ่มจงใจออกกระบวนท่าสังหาร ทุกกระบวนท่าโจมตีจุดตายของเป่ยถังเย่ทั้งสิ้น หากเป่ยถังเย่หลบไม่ทันก็คงต้องตายด้วยน้ำมือของซูจิ่นซีหลายครั้ง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูจิ่นซีจงใจสังหารเป่ยถังเย่ ตอนที่แคว้นหนานหลีจัดการแข่งขันซิ่งหลิน ซูจิ่นซีก็ต้องการฆ่าเป่ยถังเย่เช่นกัน

แม้ระหว่างพวกเขาไม่ได้มีความแค้นลึกซึ้งต่อกัน ทว่าซูจิ่นซีมักสัมผัสได้ว่าเป่ยถังเย่ผู้นี้ ไม่เพียงกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของนางในภายหลัง นอกจากนั้นยังกลายเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในเส้นทางสู่การเป็นจักรพรรดิของเยี่ยโยวเหยา

เมื่อครุ่นคิดถึงตรงนี้ คมกระบี่ของซูจิ่นซียิ่งปรากฏความเยือกเย็น

อีกทั้งเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป่ยถังเย่เห็นจุดอ่อนและสงสัยในสถานะของพวกเขา นางจึงไม่ได้ใช้พลังสยบมังกรและไม่ได้ใช้กระบวนท่าที่เยี่ยโยวเหยาสอนนาง

นางใช้กระบวนท่าที่แทบไม่เคยใช้มาก่อน ซึ่งอวิ๋นอี้ บุคคลลึกลับผู้นั้นได้สอนนางตอนที่พบกันครั้งแรกที่ดินแดนสามอาณาจักร

แม้จะใช้กระบวนท่าธรรมดา เป่ยถังเย่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูจิ่นซี ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ซูจิ่นซียังใช้พลังเสวียนลี่ เป่ยถังเย่ก็ยิ่งตอบโต้ไม่ทัน

หลังจากอู๋จุนเก็บแส้หงหลิง เขาก็หยิบกระบี่บนพื้นขึ้นมาแล้วพุ่งไปหาเป่ยถังเย่โดยตั้งใจต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับซูจิ่นซี

เมื่อซูจิ่นซีเห็นอู๋จุนก็ขมวดคิ้วเบาๆ

“ไม่ใช่ว่าให้เจ้ารออยู่ด้านนอกหรือ? เจ้ากลับมาทำอันใด? ”

“ข้า… ข้าเห็นเจ้าไม่ออกมาเสียทีก็เป็นห่วงเจ้า จึงวกกลับมาดูเสียหน่อย”

“มีอันใดน่าห่วง? เจ้ากลับมาไม่เพียงช่วยอันใดข้าไม่ได้และยังเป็นภาระเสียมากกว่า”

เอ่อ…

แม่นางพิษน้อย ใยถึงได้รังเกียจพี่จุนเช่นนี้!

อู๋จุนเบะปากรุนแรงและไม่ได้พูดอันใด

เสียงฝีเท้าดังกึกก้องพร้อมเพรียงมาจากระยะไกล ซูจิ่นซีมองไปยังทิศทางของเสียง นางเห็นเพียงแสงไฟสว่างจ้าอยู่ไกลๆ ภายในจวนอี้อ๋องกว่าครึ่งสว่างด้วยคบไฟ และทั้งหมดเป็นองครักษ์สวมชุดพร้อมรบกับทหารจวนอี้อ๋องที่สวมชุดเกราะ

ในใจซูจิ่นซีกรีดร้องว่าแย่แน่ กำลังเสริมมาแล้ว หากยังพัวพันต่อไป ไม่รู้ว่าจะทำให้ผู้ใดแตกตื่น

นางไม่กลัวการต่อสู้ นางเพียงกลัวว่าเรื่องที่พวกเขาอยู่ในแคว้นเป่ยอี้จะจัดการได้ยากในอนาคต

เมื่อครุ่นคิดถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีก็ลากอู๋จุนอย่างรุนแรง “ไปให้พ้น! ”

เมื่ออู๋จุนเห็นท่าทางจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของซูจิ่นซี เขาจึงรีบถอยไปอีกด้าน

ในจังหวะที่ซูจิ่นซีต่อสู้กับเป่ยถังเย่ นางอาศัยช่องว่างถอยหลังไปหนึ่งก้าว และโยนกระบี่ในมือทิ้ง ค่อยๆ ยกสองมือข้างลำตัวขึ้นมา ในฝ่ามือพลันปรากฏแสงแห่งพลังเสวียนลี่ที่ค่อยๆ ผนึกรวมตัว

เมื่อวงแสงทั้งสองมาบรรจบกันตามขนาดที่กำหนด นางก็โจมตีไปทางเป่ยถังเย่ทันที

แม้เป่ยถังเย่จะเตรียมพร้อมไว้แล้ว ทว่าพลังชนิดนี้รุนแรงเกินไป เขาจึงต้านทานไม่ไหว ทำได้เพียงหลบและถอยหลังอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่เป่ยถังเย่กำลังถอยหลบ ซูจิ่นซีหันหลังกลับพลางหมุนตัวอย่างสวยงาม นางยกมือและใช้พลังที่เหลือ องครักษ์ที่หมดสตินอนระเกะระกะอยู่บนชายคาและบนพื้นเหล่านั้น พลันยืนขึ้นและลืมตา

ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีใช้พิษชนิดใดกับพวกเขา ดวงตาของพวกเขาเป็นสีแดงเลือด ต่างถืออาวุธราวกับต้องเวทมนตร์ และเริ่มโจมตีองครักษ์และทหารที่เข้ามาสนับสนุนเหล่านั้น

อู๋จุนตกตะลึงกับพลังเทพของซูจิ่นซี ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลง และเหม่อลอยอยู่กับที่ ไร้การตอบสนอง ซูจิ่นซีกระโดดไปข้างกายอู๋จุนทันที และดึงแขนอู๋จุนวิ่งออกไปนอกเรือน

ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์วรยุทธ์แข็งแกร่งหรือเป่ยถังเย่ ล้วนไม่มีเวลาหยุดซูจิ่นซีและอู๋จุน ทั้งสองจึงหนีออกจากจวนอี้อ๋องอย่างราบรื่น

เมื่ออยู่ไกลจากจวนอี้อ๋องมากแล้ว ซูจิ่นซีจึงปล่อยอู๋จุน

อู๋จุนยืนอย่างมั่นคงและใช้แววตาแปลกประหลาดมองซูจิ่นซี

“แม่นางพิษน้อย และแล้ววันนี้พี่จุนก็ได้เห็นกับตาว่า เจ้าเยี่ยมยอดที่สุดในอาณาจักรเทียนเหอ อย่าว่าแต่พี่จุนเลย แม้กระทั่งเยี่ยโยวเหยา แม้จะฝึกอีกสิบปีก็ใช่ว่าจะสู้เจ้าได้”

ซูจิ่นซีถลึงตาใส่อู๋จุน “ผู้ใดพูดว่าข้าต้องการต่อสู้กับเยี่ยโยวเหยา? ”

อู๋จุนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

คำพูดนี้… เหตุใดถึงได้ดูเหมือนการอวดสามี?

“พี่จุนเพียงเปรียบเปรยเท่านั้น”

“ต่อให้เปรียบเปรย ข้าก็ไม่สามารถสู้กับเยี่ยโยวเหยาได้! ”

เดิมที คิ้วที่พันกันอยู่แล้วของอู๋จุนยิ่งพันกันเข้าไปอีก

เขาพบว่าตนไม่สามารถสนทนากับซูจิ่นซีในหัวข้อนี้ได้

“เจ้าทำเป็นว่าข้าไม่ได้พูดอันใดก็แล้วกัน! ไม่ได้พูดอันใด! ”

“สิ่งที่เจ้าพูดมันไร้สาระอยู่แล้ว! ”

“พี่จุนไม่พูดแล้ว ตกลงหรือไม่? ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า พอได้! ”

ทั้งสองพูดๆ หยุดๆ ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีรู้สึกอันใด ใบหน้าถึงได้นิ่งค้างและซีดขาวตะลึงงันอยู่ตรงนั้น