ตอนที่ 1060 ได้ยินชัดเจนแล้ว

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ไม่ใช่เช่นนั้นแน่นอน เจ้ายังเหมือนกับสหายอีกคนของข้ามาก ข้าไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้เลย ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้นางโกรธ ข้ารู้สึกผิดต่อนางมาก”

คนผู้นั้นที่เขากล่าวถึงคงจะไม่ใช่นางหรอกกระมัง! มู่เฉียนซีตกใจเล็กน้อย

“แค่นี้นะเหรอ?” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วพลางกล่าว

“ยังมีอีก ข้าอยากจะเป็นสหายกับเจ้าด้วยใจจริง หรือว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ในอนาคตก็ได้!”

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ข้าก็เหมือนกัน คำตอบของเจ้าทำให้ข้าพอใจมาก เอาไว้ข้าจะให้ของขวัญเจ้าทีหลังก็แล้วกันนะ”

“เพียงแต่ว่า พวกคนเหล่านี้ใส่ร้ายป้ายสีข้า ข้าไม่ชอบ ต้องทำให้พวกมันเอาคำใส่ร้ายป้ายสีนี้กลับไปให้ได้”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์เสแสร้งได้อย่างแนบเนียนมาก ซึ่งนั่นส่งผลกระทบต่อนางเป็นอย่างมาก

ตอนนี้ต้องการจะให้คนเหล่านี้เชื่อใจพวกเขา เกรงว่าจะยาก!

เฟิงอวิ๋นซิวขมวดคิ้วขึ้น ทว่า เมื่อมองดูสีหน้าท่าทางที่เผยให้เห็นถึงความมั่นใจของชายหนุ่มตรงหน้าแล้ว เขารู้ว่าเขาต้องมีวิธีแน่นอน

มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าขวางคนอื่นเอาไว้ ข้าจะไปจับเจ้านกยูงหน้าเขียวตาเดียวนั่นเอง”

“ตกลง!” เฟิงอวิ๋นซิวไม่ได้ถามแผนการต่อไปของมู่เฉียนซีแต่อย่างใด เขาให้ความร่วมมือตามที่นางบอก

ข่งชัวเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บผู้หนึ่ง แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการเข้าร่วมการต่อสู้นี้

องครักษ์ซวนเข้าไปโจมตีเขาโดยที่ไม่สนใจแต่อย่างใด ทว่า เขานึกไม่ถึงว่ามู่เฉียนซีก็จะเข้ามาลงมือกับเขาด้วยเช่นกัน

มู่เฉียนซีปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขาอย่างไร้ซึ่งสุ้มเสียง และได้ยัดของสีดำขลับสิ่งหนึ่งเข้าไปในปากเขา ทำให้เขาไม่มีโอกาสที่จะตอบโต้และถุยของสีดำขลับสิ่งนั้นออกมา

“เจ้า นี่เจ้า…”

เนื่องจากความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ การแสดงออกทางสีหน้าจึงเผยออกมาชัดเจนมาก ผ้าพันแผลบนใบหน้าเขาในตอนนี้ก็มีเลือดซึมและเลือดก็เริ่มไหลออกมาแล้ว

“นี่เจ้าให้ข้ากินสิ่งใด นี่เจ้าจะวางยาพิษให้ข้าตายอย่างนั้นเหรอ!”

มู่เฉียนซีคว้าตัวเขาออกไป และให้สัญญาณมือเฟิงอวิ๋นซิวให้หยุด

จากนั้นเหล่าองครักษ์ซวนก็หยุดการโจมตีและคุ้มกันความปลอดภัยให้กับมู่เฉียนซี

ข่งชัวถูกจับตัวแล้ว มู่หรงเฉียนเยี่ยจับตัวเขาเพื่ออันใด จับเป็นตัวประกันอย่างนั้นเหรอ?

ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “มู่หรงเฉียนเยี่ย เจ้าได้กระทำความผิดใหญ่หลวงแล้ว ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเจ้ายังจะกล้าใช้กำลังบีบบังคับท่านข่งชัวเพื่อที่จะหลบหนีอีก นี่เจ้ากำลังจะทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่านะ ตำหนักตงจี๋ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”

“เจ้าอย่าได้หลงผิดอย่างกู่ไม่กลับเช่นนี้ได้หรือไม่” น้ำเสียงของไป๋เหยียนเอ๋อร์เต็มไปด้วยการขอร้องอ้อนวอน

“ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์มีจิตใจเมตตากรุณาถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ามู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นี้ช่างไม่รู้จักชั่วดีเอาซะเลย!”

“ช่างน่าสงสารในความจิตใจดีมีเมตตาของท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ!”

“……”

หลังจากที่ไป๋เหยียนเอ๋อร์แสดงละครตบตาได้อย่างแนบเนียน คนที่เคารพนางเหล่านั้นต่างก็ออกหน้ากล่าวแทนนาง

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “มีข้าอยู่ เจ้าคิดว่าเฉียนเยี่ยยังจำเป็นต้องใช้กำลังจับคนเป็นตัวประกันเพื่อหนีออกไปจากตำหนักตงจี๋อีกอย่างนั้นเหรอ?”

“แต่ว่า ท่านข่งชัวได้รับบาดเจ็บอยู่ พวกท่านอย่าได้ทำร้ายเขาอีกเลยจะได้หรือไม่…” ไป๋เหยียนเอ๋อร์มองไปที่ข่งชัวด้วยความเป็นห่วง

มู่เฉียนซีกล่าว “ที่ข้าจับข่งชัวก็เพราะว่าข้าต้องการเรียกร้องความบริสุทธิ์ให้กับตัวเอง”

ในตอนนี้ พิษในร่างข่งชัวออกฤทธิ์แล้ว และเขาก็มีท่าทางเหม่อลอยขึ้น

มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโบราณสถานแห่งเพลิงทั้งหมดให้ทุกคนฟังเดี๋ยวนี้!”

ข่งชัวกล่าว “ได้!”

มู่เฉียนซีหรี่ตายิ้มและกวาดสายตามองไปที่ทุกคนพลางกล่าว “พวกเจ้าฟังกันให้ดีล่ะ!”

ข่งชัวเริ่มแล้ว เขาได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดออกมา

เดิมที สาเหตุที่พวกเขาได้มาเป็นผู้ควบคุมการทดสอบในครั้งนี้ ก็เพราะว่าต้องการเอามาเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะเข้าไปในโบราณสถานแห่งเพลิงโดยที่ไม่มีผู้ใดสงสัย มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยสถานะของพวกเขาจะมาเป็นผู้ควบคุมการทดสอบได้อย่างไรกันเล่า

โบราณสถานแห่งเพลิงเป็นสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง สามารถทำให้ผู้ฝึกบำเพ็ญมีพลังธาตุอัคคีได้

หลังจากที่รู้เรื่องนี้มาจากท่านหัวหน้าตำหนักนักปรุงยา ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็อดใจรอที่จะเข้าไปไม่ไหว

เดิมที ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยากใกล้ชิดผู้เข้าร่วมทดสอบด้วยซ้ำไป นางมีเป้าหมายอื่นแอบแฝงอยู่ พวกเขาก็เป็นแค่เกราะกำบังให้กับนางเท่านั้น

หลาย ๆ คนรู้สึกผิดหวังต่อธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว!

ยากมากกว่าพวกเขาจะหาเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์เจอ แต่สุดท้ายก็พบว่ามีคนค้นพบเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์เร็วกว่าพวกเขาไปก้าวเดียว จากนั้นธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ได้เชิญชวนมู่หรงเฉียนเยี่ยเข้าไปในเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์ด้วย

พวกเขาได้เข้าไปในตำหนักใหญ่ตำหนักหนึ่ง และได้เจอกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เสนอเงื่อนไขขึ้น…

เงื่อนไขอันโหดร้ายนั่น ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ตอบรับทันใดอย่างไม่ลังเล จากนั้นทุกคนในที่แห่งนั้นก็ลงมือกับมู่หรงเฉียนเยี่ย

ต้องการฆ่ามู่หรงเฉียนเยี่ยเพื่อที่จะใช้เลือดเซ่นไหว้เพลิงศักดิ์สิทธิ์!

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเฟิงอวิ๋นซิวพลันดุดันขึ้น

ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “เหลวไหล เหลวไหลทั้งสิ้น! มู่หรงเฉียนเยี่ยใช้แผนการหลอกลวงทำให้ท่านข่งชัวพูดจาเหลวไหลออกมา ข้า ธิดาศักดิ์สิทธิ์จะกระทำเรื่องชั่ว ๆ เช่นนั้นได้อย่างไร พวกเจ้าเลิกปิดบังความจริงหลอกลวงผู้อื่นได้แล้ว!”

ทว่า ข่งชัวกล่าวออกมาได้อย่างชัดเจนมาก หากเรื่องราวไม่ได้เกิดขึ้นจริง จะมีผู้ใดเล่าได้อย่างละเอียดเช่นนี้ได้เล่า

สุดท้ายก็ได้เล่าถึงพลังวิญญาณของพวกเขาถูกเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์ยับยั้งเอาไว้อย่างแปลกประหลาด ดังนั้นพวกเขาจึงฆ่ามู่หรงเฉียนเยี่ยไม่สำเร็จ

“ต่อให้พลังของท่านข่งชัวจะถูกยับยั้งถดถอยลงมาถึงขั้นมหาจักรพรรดิระดับต่ำ แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นขั้นมหาจักรพรรดินะ นึกไม่ถึงเลยว่ามู่หรงเฉียนเยี่ยจะรับมือกับพวกเขาได้ ช่างเก่งกาจยิ่งนัก”

“พวกเจ้าไม่รู้อะไร พรสวรรค์ของมู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ตอนที่อยู่ในโบราณสถานแห่งเพลิง ข้ากับเหล่าสหายของข้าร่วมมือกันก็ยังทำร้ายเขาไม่ได้แม้แต่น้อย”

“……”

ในตอนนี้เรื่องราวนั้นช่างแตกต่างกันไปมาก แม้พวกเขาจะชื่นชอบสตรีผู้งดงาม แต่บนโลกใบนี้ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขายิ่งเคารพผู้แข็งแกร่งมากกว่า

สีหน้าของไป๋เหยียนเอ๋อร์เริ่มดำคล้ำเขียวขึ้นแล้ว นางกล่าว “ไปช่วยท่านข่งชัวมา ท่านข่งชัวถูกควบคุมดวงจิต เกรงว่าจะอันตรายมาก อาจจะถูกทำลายดวงจิตไปได้ทุกเมื่อ”

ไม่อาจปล่อยให้ข่งชัวเล่าต่อไปได้อีกแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะไม่อาจยืนยันได้ว่าสิ่งที่ข่งชัวกล่าวมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ แต่คำพูดของคนนั้นน่ากลัว และนางจะต้องเสียชื่อเสียงอย่างแน่นอน

ในตำหนักใหญ่ตำหนักแรก ข่งชัวเล่าถึงไป๋หรูเหยียนลงมือผลักมู่หรงเฉียนเยี่ยเข้าไปในทะเลเพลิง

เฟิงอวิ๋นซิวขมวดคิ้วมองไปที่มู่เฉียนซี มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ทะเลเพลิงนั้นน่ากลัวมาก แต่ข้าก็รอดพ้นมาจากอันตรายนั้นได้”

เมื่อมาถึงตำหนักใหญ่ตำหนักที่สอง ข่งชัวเล่าว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั้นได้เลือกธิดาศักดิ์สิทธิ์ไป๋เหยียนเอ๋อร์ ส่วนเหตุผลก็คือ…

เป็นดวงจิตที่ดำมืดและสกปรกที่สุด!

พวกเขามองไปที่ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องผู้นั้น ดวงจิตของสตรีผู้มีจิตใจเมตตาและอ่อนโยนเช่นนี้ จะดำมืดและสกปรกอย่างที่ข่งชัวกล่าวมาจริง ๆ เหรอ

สีหน้าของไป๋เหยียนเอ๋อร์ดำคล้ำขึ้นด้วยความโกรธ “มู่หรงเฉียนเยี่ย เจ้าทำให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างข้าอับอายขายหน้า ทำให้ชื่อเสียงของข้าแปดเปื้อน เจ้าคิดว่าทุกคนจะเชื่อเจ้าอย่างนั้นเหรอ ทุกคนไม่ให้เจ้าหลอกลวงได้ง่าย ๆ หรอกนะ”

มู่เฉียนซีกล่าว “จะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของพวกเขา ข้าก็แค่เล่าเรื่องราวความจริงออกมาให้ชัดเจนก็เท่านั้น”

ข่งชัวกล่าวต่อว่า เดิมทีเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่สามารถให้พลังธาตุอัคคีกับนางได้ เฒ่าประหลาดกลืนกินวิญญาณของธิดาศักดิ์สิทธิ์ นางเจ็บปวดทรมานมาก

จากนั้นธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็หันมาสั่งให้พวกเขาฆ่ามู่หรงเฉียนเยี่ย และพวกเขาก็ลงมือ!

หลังจากที่ลงมือ พวกเขาก็พ่ายแพ้ วิญญาณของธิดาศักดิ์สิทธิ์ถูกเฒ่าประหลาดนั้นกลืนกินไม่สำเร็จ จากนั้นนางก็ฉีกค่ายกลส่งตัวเพื่อที่จะหนี

ส่วนเขาก็หนีตามไปเช่นกัน ในระหว่างที่หนีนั้นมู่หรงเฉียนเยี่ยก็ลงมือกับเขาจนเขาได้รับบาดเจ็บ

เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้

ตุบ!

จากนั้นร่างของข่งชัวก็ล้มลงไปกับพื้น

มู่เฉียนซียิ้มและมองไปที่ไป๋เหยียนเอ๋อร์พลางกล่าว “ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ แน่ใจเหรอว่าจะจับข้า?”

“หรือว่าเพียงเพราะเจ้าเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักตงจี๋ คิดจะฆ่าข้าหลายต่อหลายครั้ง และข้าจะตอบโต้ไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?”

“อย่าคิดว่าอยู่ในอาณาเขตของตำหนักตงจี๋แล้วจะรังแกข้าได้ตามใจอยาก หากสู้กันตัวต่อตัว ข้าก็ไม่มีทางกลัวเจ้าหรอก”

ชายหนุ่มชุดขาวนั้นเย่อหยิ่งและไม่ตกอยู่ภายใต้การบังคับของผู้ใด แถมยังประกาศสงครามกับธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างบ้าระห่ำอวดดี เขาไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องละอายใจแก่ตนเอง ไม่เหมือนกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ไป๋เหยียนเอ๋อร์ผู้ที่มีใบหน้าท่าทางอ่อนโยนผู้นั้น ที่ตอนนี้ใบหน้าดำคล้ำด้วยความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของนางนั้นไม่สามารถเสแสร้งปกปิดความชั่วร้ายที่อยู่ภายในใจของนางเอาไว้ได้แล้ว