ตอนที่ 868 การตัดสินใจของฉินเหยียน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากได้ฟังข้อมูลจากเยี่ยซาและไตร่ตรองเป็นเวลานาน ในที่สุดฉินเหยียนก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่

สำหรับ ‘ตระกูลเยี่ย’ แม้ยังไม่ทราบว่าคนเหล่านั้นเป็นอย่างไร นางก็มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพวกนาง การบุกไปที่ตระกูลเยี่ยในตอนนี้ก็มีแต่จะเข้าไปหาความตายเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ยังมีเรื่องของตนเองที่ต้องสะสางและฉินเหยียนก็ไม่ต้องการถ่วงเวลาให้ล่าช้าเพียงเพราะปัญหาของตน

ทว่าหากนางต้องฝึกวิชาในดินแดนมหาเทพต่อไปโดยไม่ทราบว่าฉินเฟิงตกอยู่ในสภาพเป็นตายร้ายดีอย่างไรนั้น นางก็ทำไม่ได้เช่นกัน

“พี่สะใภ้…”

ฉินอวี้โม่ต้องการกล่าวอะไรบางอย่างทว่าถูกฉินเหยียนขัดจังหวะไว้เสียก่อน

“อวี้โม่ เยี่ยซาก็กล่าวไว้แล้วว่าผู้นำตระกูลเยี่ยพยายามจับตัวพวกเรากลับไปเท่านั้นและคงจะไม่ทำอันตรายใด ๆ ต่อพวกเรา อีกอย่าง…ตอนนี้พี่เฟิงก็น่าจะถูกคนตระกูลเยี่ยจับตัวไปได้แล้ว ข้าต้องไปที่นั่นเพื่อพบกับเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าในตอนนี้คือการผ่านการคัดเลือกรอบนี้ไปให้ได้และเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผาเพื่อตามหามารดาของเจ้า เพราะฉะนั้นไม่ต้องพยายามโน้มน้าวใจข้าหรอก ข้าตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว”

ฉินเหยียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าเพื่อยืนยันมิให้ฉินอวี้โม่กังวลใจ

“นางพูดถูก ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้นางไม่กลับไปกับพวกเราในครานี้ ท่านผู้นำก็จะส่งคนอื่นมาจับตัวนางในอนาคตอยู่ดี ต่อให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสามสำนักและเก้านิกายได้ นางก็ไม่มีทางรอดพ้นจากการไล่ล่าของคนตระกูลเยี่ย เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดคือการกลับไปกับพวกเราและเห็นด้วยตาตนเองว่าท่านผู้นำตระกูลมีเจตนาจะทำสิ่งใดกันแน่”

เยี่ยซาอดแสดงความคิดเห็นของตนไม่ได้ และสิ่งที่เขากล่าวมาก็เป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

หากพวกเขาทำภารกิจไม่สำเร็จ สมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลเยี่ยก็จะถูกส่งมาจับตัวฉินเหยียนอย่างแน่นอน ต่อให้ฉินเหยียนเข้าร่วมกับสามสำนักและเก้านิกายได้สำเร็จ นางก็ยังต้องระวังตัวไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม หากเลือกกลับไปกับพวกเขาในครานี้ นางจะไม่เผชิญกับอันตรายใดและจะได้ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้นำตระกูลเยี่ยเช่นกัน

“เอาล่ะ ในเมื่อพี่สะใภ้ตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่คัดค้าน ทว่าท่านจะต้องระวังตัวด้วย หากได้พบกับศิษย์พี่ การรักษาความปลอดภัยของท่านทั้งสองคือสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อเราสะสางความวุ่นวายในดินแดนมหาเทพเสร็จสิ้น เราจะไปตามหาพวกท่านอย่างแน่นอน”

ฉินอวี้โม่ทราบดีว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้

ในเมื่อตระกูลเยี่ยไม่มีความคิดที่จะสังหารฉินเฟิงและฉินเหยียน การยอมให้ฉินเหยียนติดตามเยี่ยซากลับไปก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับพวกนาง นอกจากจะยังไม่สามารถเข้าไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ในตอนนี้ พวกนางก็ยังมีความแข็งแกร่งที่ไม่มากพอ หากต้องเผชิญหน้ากับตระกูลเยี่ยจริง พวกนางไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย ในเมื่อยังไม่ทราบจุดประสงค์และจุดยืนที่แท้จริงของตระกูลเยี่ย การบุ่มบ่ามทำสิ่งใดในตอนนี้ก็มีแต่จะเป็นภัยต่อฉินเฟิงและฉินเหยียนเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น การคัดเลือกในรอบสุดท้ายก็ใกล้สิ้นสุดลงเต็มทีและการล้มเลิกตัดใจไปในตอนนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเกินไป

“ไม่ต้องห่วง ศิษย์พี่ของเจ้าและข้าจะไม่เป็นอะไร หากเราจัดการกับปัญหาทางนั้นได้ก่อน เราจะกลับมาที่ดินแดนมหาเทพเพื่อช่วยเจ้า”

ฉินเหยียนแตะมือฉินอวี้โม่เบา ๆ และกล่าวยืนยันอีกครั้งเพื่อมิให้อีกฝ่ายเป็นกังวลจนเกินไป

“เยี่ยซา ตอนนี้การคัดเลือกยังไม่จบ เจ้ามีวิธีออกไปจากสมรภูมิรบเดนตายก่อนกำหนดเวลางั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่มองไปที่เยี่ยซาและทราบว่าบุรุษผู้นี้น่าจะปิดบังบางอย่างไว้ ทว่านางก็ไม่สนใจเท่าใดนัก

เยี่ยซาเปิดเผยข้อมูลส่วนใหญ่ที่พวกนางต้องการทราบแล้วและสิ่งที่เขายังซ่อนไว้น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญนัก

“หากฉินเหยียนยินดีกลับไปกับพวกเรา ข้าก็สามารถพานางออกจากสมรภูมิรบเดนตายได้ในทันที และหากพวกเจ้าต้องการออกไปด้วย แน่นอนว่าข้าก็พาออกไปได้เช่นกัน”

เยี่ยซาพยักศีรษะและประโยคหลังเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจกล่าวเสริมด้วยตนเอง

การที่พวกเขาเข้ามาในสมรภูมิรบเดนตายเพื่อจับตัวฉินเหยียน พวกเขาก็ได้เตรียมวิธีที่จะช่วยให้ออกไปจากที่นี่เป็นการล่วงหน้าแล้ว การที่เขาเสนอช่วยพาฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ออกจากมิติพิเศษแห่งนี้ก็เป็นเพราะความรู้สึกที่ถูกชะตาและเป็นการขอบคุณที่พวกนางไม่สังหารพวกตน

“ไม่ เรายังต้องการอยู่ที่นี่จนกระทั่งการคัดเลือกสิ้นสุด”

ฉินอวี้โม่ปฏิเสธข้อเสนอของอีกฝ่ายทันทีทว่าไม่คิดเอ่ยถามถึงวิธีการออกจากที่นี่ของเขา

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปก่อน”

เพื่อจะได้ทราบข่าวของฉินเฟิง ฉินเหยียนจึงไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป นางกล่าวอำลาฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก่อนเตรียมตัวเดินทางไปกับเยี่ยซา

“สหายเหยียน รับระเบิดพลังมายาพวกนี้ไปเถอะ พวกมันอาจเป็นประโยชน์สำหรับเจ้า”

ก่อนแยกจากกัน อวิ๋นซื่อเทียนก็แอบยื่นระเบิดพลังมายาจำนวนหนึ่งให้กับฉินเหยียน

ระเบิดพลังมายาเหล่านี้เป็นระเบิดรุ่นปรับปรุงใหม่ที่นางศึกษาค้นคว้ามานานและถูกเก็บไว้เป็นไพ่ตายซึ่งนางก็ยังไม่มีโอกาสได้ใช้

ตอนนี้ฉินเหยียนกำลังจะเดินทางไปยังโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมีภยันตรายใดรออยู่ข้างหน้า อย่างน้อยที่สุดระเบิดพลังมายาเหล่านี้ก็น่าจะช่วยนางได้พอสมควร ตราบใดที่ถูกใช้อย่างเหมาะสม แม้แต่จอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นสูงสุดก็จะได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

“ขอบคุณมาก”

ฉินเหยียนไม่ปฏิเสธและกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ

“สหายเหยียนไม่ต้องเกรงใจเลย น่าเสียดายที่เวลามันกระชั้นชิดเกินไป ไม่เช่นนั้นข้าคงเตรียมระเบิดได้มากกว่านี้”

อวิ๋นซื่อเทียนแตะมือฉินเหยียนเบา ๆ เพื่อแสดงความเต็มใจ

แน่นอนว่าเยี่ยซาไม่เห็นสิ่งที่อวิ๋นซื่อเทียนยื่นให้กับฉินเหยียน ทว่าต่อให้เขาเห็นมัน เขาก็จะไม่มีความคิดคัดค้านใด ๆ

การได้พาฉินเหยียนกลับไปกับตนในครานี้ถือว่าเป็นการทำภารกิจสำเร็จแล้วและเรื่องอื่นที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา

ฉินอวี้โม่เองก็มอบโอสถจำนวนหนึ่งให้กับฉินเหยียนและกำชับให้นางระวังตัว

“ฉินอวี้โม่ ข้าไม่ทราบว่าการคัดเลือกนี้มีเรื่องอะไรกันแน่ แต่ข้ามั่นใจได้ว่ามันมีแผนการสมคบคิดซ่อนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน โดยปกติแล้วสมรภูมิรบเดนตายไม่ควรจะปรากฏในดินแดนมหาเทพเช่นนี้”

เยี่ยซาเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่และกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เขาค้นพบความจริงข้อนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ทว่าไม่คิดเข้าไปแทรกแซง คนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอก หากมิใช่เพราะได้รับคำสั่งให้จับตัวฉินเฟิงและฉินเหยียนกลับไป พวกเขาคงไม่คิดมาที่ดินแดนมหาเทพด้วยซ้ำ

สมรภูมิรบเดนตายเป็นสถานที่ที่แม้แต่คนของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องหวาดหวั่น มันไม่ควรจะปรากฏในดินแดนมหาเทพในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ มันก็ปรากฏขึ้นมาและกลายเป็นสถานที่ทดสอบจอมยุทธ์ในการคัดเลือกศิษย์ของสามสำนักและเก้านิกาย หากกล่าวว่าไม่มีแผนการสมคบคิดใดซ่อนไว้ เขาไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน

“ขอบคุณที่เตือนพวกเรา เราจะระวังตัวไว้”

ฉินอวี้โม่คาดการณ์เรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วทว่ายังกล่าวขอบคุณเยี่ยซาสำหรับการย้ำเตือนด้วยความหวังดี นางสัมผัสได้ว่าเยี่ยซามิใช่คนชั่วร้ายแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายมีจุดยืนที่ขัดกันก็เท่านั้น

ฉินอวี้โม่โบกมือเล็กน้อยก่อนพลังมายาแผ่ตรงไปที่ร่างของเยี่ยซาเพื่อปลดผนึกที่ปิดกั้นพลังของเขาและความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาก็กลับคืนมา

เยี่ยซาไม่กล่าวสิ่งใดต่อและปล่อยให้ฉินเหยียนกล่าวอำลาทุกคนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหันหลังให้ทุกคนและตามเยี่ยซาลงไปจากภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์…

“ไม่ต้องกังวลหรอก ศิษย์พี่และพี่สะใภ้มีสติปัญญาที่หลักแหลม พวกเขาจะเอาตัวรอดได้แน่”

เมื่อมองดูฉินเหยียนหายลับไป หานโม่ฉือก็โอบร่างบางของฉินอวี้โม่เข้าหาตนพร้อมกล่าวปลอบใจนาง

“ข้ารู้…แต่ข้าอดเป็นห่วงไม่ได้ ศัตรูที่พวกเขาต้องเผชิญอาจแกร่งกล้ายิ่งกว่าศัตรูของเราเสียอีก”

ฉินอวี้โม่เอนกายพิงอ้อมแขนอบอุ่นและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนไหว

ณ เชิงเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ในเวลานี้กลุ่มคนชุดดำกำลังรวมตัวกันและเฝ้ารอหัวหน้าด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ดูนั่นเร็ว ! หัวหน้ามาแล้ว !”

เมื่อเห็นเยี่ยซาเดินมาจากระยะไกล บุรุษชุดดำคนหนึ่งก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มดีใจ

“เฮ้ เหตุใดนางจึงตามมาด้วยล่ะ ?”

ในเวลานี้ เขาก็สังเกตเห็นฉินเหยียนที่เดินตามหลังเยี่ยซาอย่างใกล้ชิดและเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย