ตอนที่ 869 สถานที่ที่คุ้นเคย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ เชิงเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เยี่ยซาเดินนำฉินเหยียนไปพบกับบุรุษชุดดำหลายสิบคนที่ติดตามมากับตน

แน่นอนว่าคนเหล่านั้นสับสนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้พวกเขาหลายคนเห็นตรงกันว่าเยี่ยซาถูกจับตัวไป แล้วเหตุใดฉินเหยียนจึงติดตามกลับมากับเขาเช่นนี้ ?

“นางจะเดินทางไปที่โลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กับเราและตอนนี้ก็ถือว่าเราทำภารกิจเสร็จสมบูรณ์แล้ว สำหรับความจริงที่เกิดขึ้นในวันนี้ ห้ามผู้ใดปริปากออกไปเด็ดขาด เข้าใจรึไม่ ?”

เยี่ยซากวาดสายตามองบุรุษชุดดำทุกคนและกำชับด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“รับทราบขอรับ !”

บุรุษชุดดำเหล่านี้เป็นลูกน้องที่ติดตามเยี่ยซามานานและพวกเขาไม่มีทางขัดคำสั่งผู้เป็นหัวหน้าอย่างแน่นอน แม้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นบนยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็เชื่อฟังและจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่มีเงื่อนไข

“ไปกันเถอะ !”

ฉินเหยียนก็เหลือบมองเยี่ยซาและเกิดความสงสัยเล็ก ๆ ว่าเหตุใดเขาจึงเลือกทำเช่นนี้

หากพวกเขาปิดบังสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ก็จะไม่มีผู้ใดทราบความจริงได้อย่างแน่นอน ตอนนี้นางก็ทราบความลับบางส่วนของตระกูลเยี่ยแล้วและต้องการไปที่นั่นเพื่อตามหาฉินเฟิง ถึงอย่างไรแล้วการที่เยี่ยซาทำเช่นนี้ก็มีแต่จะเป็นผลดีต่อนางเท่านั้น

“จงจำไว้ว่านางถูกพวกเราจับตัวได้ มิใช่ยินยอมกลับไปกับเราด้วยตัวเอง”

เยี่ยซากล่าวเสริมอีกประโยคซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการช่วยฉินเหยียนอย่างแท้จริง

จากนั้นเขาก็หยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาและให้ทุกคนยืนรวมตัวกันก่อนค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏตรงหน้า

“แม่นางฉินเหยียน ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้จะส่งเราไปยังโลกภายนอกโดยตรง เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าเพียงต้องติดตามเราไปก็พอ”

เขากล่าวอธิบายกับฉินเหยียนเพื่อที่นางจะไม่ตื่นอกตกใจกับสถานการณ์หลังจากนี้

ฉินเหยียนพยักศีรษะตอบรับและก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายก่อนผู้ใด บุรุษชุดดำคนอื่น ๆ ก็ไม่รอช้าและก้าวตามเข้าไปในค่ายกลเช่นกัน จากนั้นทุกคนและค่ายกลเคลื่อนย้ายก็หายไปจากเชิงเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นที่นี่มาก่อน…

ณ ยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ หยุดพักชั่วคราวก่อนมุ่งหน้าลงจากยอดเขา

บนภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่มีปริศนาความลับให้สืบค้นอีกต่อไปและไม่มีจอมยุทธ์คนใดปรากฏให้เห็นแม้แต่คนเดียว คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในสมรภูมิรบเดนตายคงจะเลือกหลีกเลี่ยงภูเขาลูกนี้

ในตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่เกินสิบวันก่อนการคัดเลือกในรอบสุดท้ายจะสิ้นสุดลงและฉินอวี้โม่ยังต้องการสำรวจพื้นที่ของสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งข้อสันนิษฐานเดิมของนางก่อนหน้านี้และคำเตือนจากเยี่ยซาก่อนแยกจากกันล้วนพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ไม่เรียบง่ายอย่างที่เห็น เกรงว่าจะต้องมีวิกฤตบางอย่างรอพวกนางอยู่อีกแน่นอน

จากนั้นคณะจอมยุทธ์ก็เดินหน้าไปตามทิศตะวันตกซึ่งเป็นทิศทางที่ฉินอวี้โม่และทุกคนไม่เคยผ่านไป

และเวลาห้าวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างช่วงห้าวันนี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่เผชิญกับอุปสรรคร้ายแรงใด ๆ พวกนางพบเพียงอสูรมายาสองตัวที่ไม่เหลือสติสัมปชัญญะของตนเอง ด้วยการร่วมมือกัน พวกนางก็เอาชนะและกำจัดพวกมันได้อย่างง่ายดาย

ในระหว่างทางก็ไม่มีเมืองใดปรากฏให้เห็นอีกราวกับว่าเมืองอู๋เริ่นก่อนหน้านี้เป็นเพียงเมืองเดียวที่ตั้งอยู่ในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้

แน่นอนว่าทั่วทั้งดินแดนก็ยังคงไม่มีเวลากลางคืนเช่นเดิม เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่และทุกคนจึงคาดการณ์เวลาได้เพียงคร่าว ๆ เท่านั้นและไม่สามารถมั่นใจได้อย่างเต็มร้อย

“มีใครสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมืดหม่นรอบตัวรึไม่…”

ในวันนี้ ฉินอวี้โม่และคณะก็ก้าวเข้ามาสู่ที่ราบกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง

ที่ราบแห่งนี้กว้างใหญ่จนมองไม่เห็นขอบเขตสิ้นสุดด้วยซ้ำ นอกจากไม่มีบุปผาหรือพฤกษาใด ที่นี่ก็ยังไม่มีภูเขาหรือทะเลสาบรอบตัวซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งนัก

ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด จู่ ๆ เหมียวเจินเจินก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาและสัมผัสได้ถึงบรรยากาศประหลาดรอบตัวซึ่งไม่อาจมองข้ามได้

“มีบางอย่างผิดปกติ…ที่ราบแห่งนี้มีพื้นที่ที่กว้างใหญ่อย่างยิ่ง ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดปรากฏให้เห็นในระยะร้อยลี้รอบตัว ราวกับว่าเราติดอยู่ในข่ายอาคมบางอย่างและไม่มีทางหลุดพ้นไปได้”

ซ่างจู๋มู่ขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวออกไป ต่อให้เป็นในโลกภายนอกก็ไม่เคยมีที่ราบที่โล่งกว้างเช่นนี้ปรากฏมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่อยู่บนพื้นดิน ไม่ว่าที่ใดก็ต้องมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างปรากฏให้เห็น อย่างน้อยที่สุดก็ควรมีต้นหญ้างอกตามเส้นทาง อย่างไรก็ตาม ทั่วบริเวณรอบตัวในระยะรัศมีร้อยลี้กลับไม่มีแม้แต่รากหญ้าเหี่ยวเฉา อีกทั้งความรู้สึกที่สัมผัสได้ในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากการก้าวเข้าไปในข่ายอาคมมายา เมื่อใดที่ก้าวเข้าไปขอบเขตของมัน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีทางหลุดพ้นออกไปได้

“เรากำลังอยู่ในข่ายอาคมจริง ๆ”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมขมวดคิ้วมุ่นเช่นกัน ทว่าสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกแปลกมิใช่เพราะความน่าหวาดหวั่นของข่ายอาคมนี้ หากแต่เป็นความรู้สึกคุ้นเคยกับข่ายอาคมนี้ต่างหาก…

“นายหญิง มันดูเหมือนข่ายอาคมที่เราวางไว้นอกสมรภูมิรบใต้ดินในเมืองเทียนหยวนก่อนหน้านี้…”

มารยาปรากฏตัวข้างกายฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจเล็กน้อย

ข่ายอาคมรอบตัวในตอนนี้เหมือนกับข่ายอาคมที่มันและฉินอวี้โม่วางไว้ ณ ทางเข้าของสมรภูมิรบใต้ดินในเมืองเทียนหยวน ซึ่งเมื่อใดที่มีใครก้าวเข้าไป มันก็เป็นเรื่องยากมากที่จะหลุดพ้นออกไปได้

“ไปตามหาแกนควบคุมของมันเร็วเข้า”

ข่ายอาคมทุกชนิดจะมีแกนควบคุมของมันอยู่ ความเชี่ยวชาญในศาสตร์การวางข่ายอาคมของฉินอวี้โม่และมารยาก็จัดอยู่ในระดับที่สูงมากพอที่จะซ่อนแกนควบคุมของข่ายอาคมได้อย่างแนบเนียน ทว่าไม่มีทางเลยที่ข่ายอาคมจะไร้แกนควบคุม ตราบใดที่หามันพบ พวกนางก็จะสามารถฝ่าทะลวงออกไปจากข่ายอาคมนี้ได้

“รับทราบ นายหญิง !”

มารยารับคำสั่งและแยกตัวออกไปทันที ไม่นานนักเสียงของมันก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“นายหญิง มันคือข่ายอาคมของเราจริง ๆ ทว่าเหตุใดมันจึงปรากฏในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ได้ ?”

แกนควบคุมของข่ายอาคมที่ฉินอวี้โม่และมารยาวางไว้อยู่ในจุดที่พิเศษอย่างมากซึ่งยากที่คนธรรมดาจะค้นพบได้ มารยาก็นึกทบทวนในความทรงจำก่อนหน้านี้ของตนและพบตำแหน่งของแกนควบคุมดังกล่าว ตอนนี้มันก็มั่นใจแล้วว่านี่คือข่ายอาคมของพวกตนอย่างแท้จริง

“ทำลายแกนควบคุมก่อนเถอะ”

คิ้วเรียงสวยของฉินอวี้โม่ขมวดเป็นปมยิ่งกว่าเดิม เหตุใดพวกนางจึงก้าวเข้ามาในขอบเขตของข่ายอาคมที่วางไว้ข้างหน้าสมรภูมิรบโบราณที่อยู่ใต้เมืองเทียนหยวนเช่นนี้ได้ ?

มารยาก็ทำลายแกนควบคุมของข่ายอาคมอย่างรวดเร็วและสิ่งแวดล้อมรอบตัวทุกคนก็เปลี่ยนแปลงไปทันที

“แม่เจ้า นั่นมันคืออะไรกัน ?”

เมื่อเฉินหยางชั่วมองเห็นภาพตรงหน้าในแวบแรก เขาก็อดอุทานด้วยความประหลาดใจไม่ได้

“ตอนนี้เราอยู่ที่ใดกัน ?”

โหรวรั่วขมวดคิ้วเช่นกัน เขาจดจำได้ว่าเคยได้ยินเกี่ยวกับภาพของสถานที่ตรงหน้าจากใครสักคน

“นี่คือสมรภูมิโบราณ !”

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองหน้ากันด้วยสีหน้าจริงจังทันที

ตรงหน้าพวกนางในตอนนี้คือสมรภูมิรบโบราณที่อยู่ใต้ดินของเมืองเทียนหยวน อย่างไรก็ตาม สิ่งแวดล้อมรอบตัวมิใช่ถ้ำใต้ทะเลสาบที่พวกนางผ่านเข้าไปก่อนหน้านี้ หากแต่เป็นหน้าผาสูง

ซากศพจำนวนมากนอนเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณและมีอาวุธสนิมเขรอะนับไม่ถ้วนปักจมอยู่ในพื้นดิน บรรยากาศหดหู่เยือกเย็นและเต็มไปด้วยพลังงานของความตายแผ่ออกมาอย่างชัดเจนจนทุกคนถึงกับต้องใจสั่นขึ้นมา

“สมรภูมิรบโบราณ…สงครามครั้งรุนแรงระหว่างเทพและปีศาจเมื่อหลายพันปีก่อน”

หลานเผิงขมวดคิ้วมุ่นขณะยกขาเตรียมก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้นเพื่อยืนยันมันให้ชัดเจน

แต่ทว่า…ก่อนที่จะทำสำเร็จ เขากลับถูกพลังบางอย่างสะท้อนกลับมาอย่างรุนแรง

ม่านแสงฉายวาบขึ้นมาในชั่วขณะหนึ่ง ทว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน

“สมรภูมิรบโบราณไม่ได้มีทางเข้าจากใต้ดินของเมืองเทียนหยวนเพียงทางเดียว ทว่ายังมีทางเข้าอยู่ที่นี่ด้วยรึ? เพียงแต่…เหตุใดข่ายอาคมของข้าและมารยาจึงปรากฏอยู่ที่นี่ได้ ?”

นี่คือสิ่งที่ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้มากที่สุด

การที่สมรภูมิรบเดนตายมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับสมรภูมิรบโบราณไม่ถือว่าเกินความคาดหมายของนางเท่าใดนัก ถึงอย่างไรแล้วพวกมันก็เป็นสถานที่ที่เกิดสงครามระหว่างเทพและปีศาจเหมือนกัน มันจึงย่อมมีบางอย่างที่เกี่ยวพันเชื่อมโยงกัน อย่างไรก็ตาม ข่ายอาคมหลายชนิดของนางถูกวางไว้ที่ทางเข้าใต้ดินของเมืองเทียนหยวน แล้วเหตุใดมันจึงปรากฏขึ้นมาในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ได้ ?

“หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของพวกจอมยุทธ์ปีศาจ ?”

มารยาคาดเดาออกมา ทว่ามันก็ไม่เชื่อวาจาของตนเองด้วยซ้ำ หากจอมยุทธ์ปีศาจมีฝีมือมากถึงเพียงนั้น พวกเขาก็คงจะไม่เผชิญกับปัญหาในการเข้าไปในสมรภูมิรบระหว่างเทพและปีศาจตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น จอมยุทธ์ปีศาจอาจไม่ทราบเกี่ยวกับทางเข้าที่สมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ด้วยซ้ำ

“บางทีมันอาจมีแรงฉุดดึงพิเศษบางอย่างระหว่างสมรภูมิรบเดนตายและสมรภูมิรบโบราณ…”