ตอนที่ 659 พวกเราเคยเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

พอเห็นปลายดัชนีของตี้เสียขยับเบาๆ ดวงอาทิตย์ทั้งเก้าก็เปล่งประกาย ใต้แสงเรืองรองนั้น มีเงาร่างของสาวน้อยนางหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ 

 

 

สาวน้อยผู้นั้นสวมชุดสีแดงดุจเปลวเพลิงตลอดร่าง เส้มผมสีเงินพลิ้วไสว 

 

 

รูปร่างของนางสมส่วน มีส่วนเว้าส่วนโค้งที่สวยงามน่าหลงใหล เรือนร่างที่แทบจะโปร่งแสงนั้น งดงามจนราวกับว่าออกมาจากห้วงความฝัน 

 

 

ตอนแรกเงาร่างของสาวน้อยนางนั้นหันหลังให้กับตู๋กูซิงหลันอยู่ แต่จากนั้นนางก็ค่อยๆหมุนตัวกลับมาช้าๆ 

 

 

เส้มผมยาวสลวยพลิ้วออกไป ยามที่เผชิญหน้ากับนางนั้น กลับเป็นเพียงดวงหน้าว่างเปล่าที่ไร้เครื่องหน้าใดๆ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง 

 

 

ตี้เสียมาถึงข้างกายนาง “เรื่องราวผ่านมานานหลายปีมากแล้ว วันเวลาผ่านไปเสียจนแม้แต่เราก็ยังเกือบจะลืมไปแล้วว่า นางมีรูปโฉมเช่นไร” 

 

 

นับตั้งแต่ฟ้าดินก่อกำเนิด จนมาถึงตอนนี้เป็นเวลากี่หมื่นปีมาแล้ว เขาเองก็นับไม่ถูกอยู่เหมือนกัน 

 

 

ต้องลงไปเกิดใหม่ในโลกเบื้องล่างกลับไปกลับมากว่าห้าหมื่นปี ผ่านประสบการณ์กลับชาติมาเกิดนับครั้งไม่ถ้วน 

 

 

หากว่ายังจะให้สามารถจดจำรูปโฉมของคนผู้หนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็ออกจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไปอยู่บ้าง 

 

 

หรือบางทีก็อาจจะเป็นเพราะว่า หัวใจดวงนี้ถูกทำให้เจ็บช้ำอย่างรุนแรงเสียจน ในส่วนลึกของจิตใจไม่อยากจะจดจำเอาไว้อีกต่อไปก็ได้กระมั้ง 

 

 

จะมีก็แต่ดวงตาดอกท้อคู่นั้น ที่ลบไม่ออก ลืมไม่ลง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ได้อยากจะฟังเขาพูดจาอ้อมค้อมวกวนในเรื่องใดๆเลยเสียด้วยซ้ำ 

 

 

นางแค่อยากจะมอบประโยคที่ว่า ‘มีลม (ตด)ก็ให้รีบผาย’ ให้เขาเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ไม่รู้ว่าเขาจะยอมรับเอาไว้หรือไม่ 

 

 

แต่ถึงอย่างไรเมื่อต่อมาทนอยู่ใต้แสงสว่างและความร้อนจากดวงอาทิตย์ถึงเก้าดวง ตู๋กูซิงหลันก็อยากจะถอยหลังไปสักหน่อย 

 

 

แต่แค่นางถอยไปเพียงก้าวเดียว ตี้เสียก็ยื่นพระหัตถ์ออกมา คว้าข้อมือของนางเอาไว้อย่างเหนียวแน่น แล้วก็ลากคนกลับมาที่เดิม 

 

 

พละกำลังของเขาแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขนาดที่ตู๋กูซิงหลันไม่อาจขัดขวางหรือว่าต่อต้านได้ 

 

 

จึงกลายเป็นพุ่งเข้าไปกับทรวงอกของเขา 

 

 

กระแทกเข้าไปบนตำแหน่งหัวใจ 

 

 

“ฮว๋ายเอ๋อร์” พระองค์กุมข้อมือของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา พระหัตถ์อีกข้างโอบล้อมรอบแผ่นหลังของนาง กอดรัดตู๋กูซิงหลันเอาไว้ทั้งตัว 

 

 

จนศีรษะของนางแนบชิดกับกลางแผ่นอกของพระองค์ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “….” นางรู้สึกเหมือนว่าได้ยินเสียงอะไรดังซี่ๆขึ้นมา  

 

 

โอ้ สวรรค์ เห็นไหมนั่น ดวงวิญญาณที่งดงามและสูงส่งของนาง กำลังส่งเสียงเหมือนเนื้อย่างที่ทำให้คนต้องน้ำลายสอออกมา ชนิดที่ว่าจิตวิญญาณของนางกำลังจะไหม้เกรียมหมดแล้ว! 

 

 

“ฮว๋ายเอ๋อร์ เจ้าจากข้าไปเนิ่นนานหลายปี ครั้งนี้กลับมาแล้ว ก็จะไม่ยอมให้เจ้าจากไปที่ใดอีกแล้ว” 

 

 

ตี้เสียยังทรงกอดนางเอาไว้ พร่ำบ่นต่อไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “นี่เอ่อ ข้าว่า….” แม่งเอ้ยอย่ากอดนานนักจะได้ไหม! จะสุกหมดแล้วนะ! 

 

 

จนกระทั่งตู๋กูซิงหลันมีควันลอยขึ้นมา เขาถึงค่อยรู้สึกว่าได้กลิ่นอะไรแปลก 

 

 

พอก้มศีรษะมองดู ก็เห็นว่าใบหน้าน้อยๆของนางถูกเผาจนไหม้เกรียมส่งเสียงดังฉี่ๆ 

 

 

ชนิดที่เรียกว่าเสียโฉมไปแล้ว! 

 

 

ตี้เสียรีบปล่อยนาง  

 

 

ตี้เสียทรงรีบปล่อยนาง จากนั้นถึงค่อยคิดได้ว่า นางยังเป็นแค่เพียงดวงจิต เมื่ออยู่ใกล้กับแก่นชีวิต การสนิทชิดเชื้ออย่างแนบแน่นถึงเพียงนี้ จะทำให้นางต้องบาดเจ็บอย่างสาหัส 

 

 

ดังนั้นพระองค์จึงคว้ามือตู๋กูซิงหลันขึ้นมา ลากถอยไปยังแท่นบรรทมที่อยู่ไกลออกไป 

 

 

บนแท่นบรรทมยังมีกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายอยู่ แถมยังหอมเข้มข้น 

 

 

ตี้เสียเหมือนมิได้ทรงรู้สึก เพราะมัวแต่คิดจะใกล้ชิดกับตู๋กูซิงหลัน ถึงจะจับเอาไว้นานแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ 

 

 

พระองค์ฉุดนางให้นั่งลง ดวงเนตรสีทองคู่นั้นมีความอบอุ่นที่หาได้ยาก 

 

 

“ฮว๋ายเอ๋อร์ เจ้าและข้าเดิมทีก็เป็นเทพเซียนอมตะที่รักใคร่กันอย่างหวานชื่นที่สุด เราตามหาเจ้ามาเนิ่นนานหลายปีแล้ว” ตี้เสียทอดพระเนตรดูนางด้วยแววเนตรที่หวานล้ำ จนแทบจะทำให้นางจมความหวานตายได้เลย 

 

 

แววตาของจีเฉวียนที่เปี่ยมไปด้วยความรักเช่นเดียวกันนี้ ตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกสบายใจ ในหัวใจมีแต่ความปลาบปลื้ม 

 

 

แต่พอเป็นของตี้เสีย นางกลับรู้สึกว่าเลี่ยนไปหมด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่แสดงอะไรออกไปทั้งนั้น ทั้งยังส่งสายตาที่สื่อความหมายว่า “เจ้าคิดว่าแค่นี้ข้าก็จะเชื่อหรือ เห็นข้าเป็นคนปัญญาอ่อนหรือไง” 

 

 

อยู่ๆก็มาบอกว่าข้ากับเจ้าเป็นคู่เทพครองรักอมตะ ล้อกันเล่นหรือยังไง? 

 

 

แบบนี้เสี่ยวเฉวียนเฉวียนของบ้านข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? 

 

 

ตี้เสียทรงเห็นนางกรอกตาบนใส่อย่างชัดเจน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันในตอนนี้ยังคงพยายามหาทางที่จะขัดขืนเขา ยืนหยัดอย่างถึงที่สุด มิว่าอย่างไรก็ไม่ยอมแพ้ 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าเขาใช้พละกำลังที่เหนือกว่าสะกดข่มนางเอาไว้ เกรงว่านางคงจะชิงชังรังเกียจเขาจนถึงขั้นจับโยนลงกองปฏิกูลไปแล้ว 

 

 

“สตรีที่ยืนอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงนั้น ที่จริงแล้วก็คือตัวเจ้า” ตี้เสียยังคงไม่ยอมปล่อยพระหัตถ์ 

 

 

พระองค์ทอดพระทัยออกมาครั้งหนึ่ง ด้วยท่าทางราวกับว่าทรงเป็นผู้ยึดมั่นในความรักลึกล้ำอย่างที่สุดในใต้หล้า “มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเพราะอะไร ทั้งๆที่เจ้ายืมร่างของผู้อื่นบุกรุกขึ้นมาบนสวรรค์ แต่ว่าเราก็ยังคงปกป้องเจ้าจากนักรบสวรรค์นับหมื่น?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา ไม่ยอมพูดจากับเขาแม้แต่น้อย 

 

 

แม้แต่ถ้อยคำไร้สาระสักครึ่งคำก็ยังไม่อยากจะพูดด้วย 

 

 

ตี้เสียเห็นนางทำท่าทางเช่นนี้ ก็ได้แต่ส่ายศีรษะ จากนั้นก็ถอนหายใจหนักๆอีกครั้ง “ผ่านมาก็ตั้งนานหลายปีแล้ว เจ้าคงจะลืมไปจนหมดแล้วว่า ที่จริงแล้วพวกเราเคยเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกียวกัน….” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “! ! !” 

 

 

เจ้าพอได้แล้วมั้ง! แค่คู่รักเทพอมตะก็เกินไปมากแล้ว นี่ยังจะมาบอกว่าเป็นสามีภรรยากันอีก…” 

 

 

เป็นผัวเมียกับผีน่ะสิ! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันจ้องไปที่ตราประทับดวงสุริยะบนหน้าผากของเขา ทั้งยังแอบด่าบรรพชนของเขาอยู่ในใจ 

 

 

นางยอมรับนะว่า ที่ผ่านมานางชื่นชอบคนที่หน้าตาดี 

 

 

แต่ถึงแม้ว่าตี้เสียจะทรงเข้าข่ายพวกหน้าตาดีอย่างไร แต่ว่าสำหรับนางแล้ว ก็ไม่คิดจะเหลือบแลแม้แต่น้อยอยู่ดี 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกต่อต้านอีกด้วย 

 

 

แค่ได้ฟังประโยคที่เขาบอกว่าเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียว ก็แทบจะทำให้ตู๋กูซิงหลันกระโดดขึ้นไปตบเขาแล้ว! 

 

 

ใส่ความ! ให้ร้ายกันชัดๆ! 

 

 

เจ้าตัวร้ายผู้นี้จะต้องมีแผนการร้ายกาจอันใดที่ไม่อาจบอกผู้คน ถึงได้คิดแผนมาหลอกนางเช่นนี้ 

 

 

“เรารู้ว่า เรื่องนี้ออกจะกระทันหันมากเกินไป เจ้าคงจะปรับตัวได้ไม่ทัน” ตี้เสียตรัสอย่างมีพระทัยอดทน 

 

 

ดวงเนตรสีทองเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง พระองค์ทอดพระเนตรมองดูตู๋กูซิงหลัน ทางหนึ่งก็คิดเข้าใกล้นาง อีกทางหนึ่งก็เกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ 

 

 

พักใหญ่ถึงได้ทรงตรัสต่อไปว่า “มิว่าอย่างไร ก็ต้องถือว่าฟ้าดินส่งเสริมผู้คน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาอยู่ที่ข้างกายของเรา และครั้งนี้ เราจะทนุถนอมเจ้าให้ดี จะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นครั้งก่อนได้อีกแล้ว” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสงบใจลง ดึงเอาใจความสำคัญเมื่อครู่ออกมา 

 

 

“เรื่องเช่นครั้งก่อน” 

 

 

ในที่สุดนางก็ยอมสบตามองตี้เสียแวบหนึ่ง 

 

 

“ตกลงว่าตอนนั้น ข้าคือผู้ใดกันแน่?” ตู๋กูซิงหลันเหลือบมองเขาเล็กน้อย พอได้ออกห่างจากแหล่งกำเนิดชีวิตของเขา จิตวิญญาณของนางก็ค่อยมั่นคงขึ้นมาอีกหน่อย 

 

 

บาดแผลบนใบหน้าฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว 

 

 

มีหยกสรรพชีวิตชิ้นเบ้อเริ่มเทิ่มอยู่ในตัวนาง นางย่อมไม่มีทางบาดเจ็บหนักหนาอยู่แล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนฟูกนอน ทั้งยังหยุดต่อต้านเขาแล้ว ในเมื่อถูกจับมาแล้ว ตอนนี้นางควรรักษาชีวิตเอาไว้ รอให้วิญญาณทมิฬเรียกวิญญาณกลับไปจะดีกว่า 

 

 

คิดๆดูแล้วเวลาก็คงจะมิได้เนิ่นนานสักเท่าใด ของเพียงเก้ามังกรกลับไปยังหุบเขาหมื่นปีศาจ อธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้ชัดเจน ด้วยสมองน้อยๆที่ชาญฉลาดของวิญญาณทมิฬ ย่อมจะต้องรู้จักเรียกนางกลับไปก่อนเวลา 

 

 

นางไม่จำเป็นจะต้องหาเรื่องจนต้องตายอยู่ที่นี่ 

 

 

มือของนางวางอยู่บนฟูกนุ่มๆ เพราะไม่ทันมองจึงคลำไปถูกอะไรนุ่มนิ่มบางอย่าง 

 

 

พอเหลือบตามองไป ก็เห็นว่าเป็นผ้าคาดอกของสตรี บนผ้าคาดอกที่ขาวสะอาดดุจหิมะยังปักดอกไม้สีแดงดอกเล็กๆเอาไว้ดอกหนึ่ง 

 

 

เอ่อ บนผ้าคาดอกนี้ยังมีเส้นขนที่ดูไม่ธรรมดาหลายเส้น 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…….” 

 

 

สมองของนางแทบจะปรากฏภาพการสอดประสานกันอย่างกลมกลืนออกมา 

 

 

จากนั้นสมองก็ทวนคำที่ตี้เสียพึ่งจะตรัสเมื่อครู่อีกครั้ง 

 

 

‘เจ้าและเราเคยเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียว’ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่า ต่อให้นางต้องถูกเจ้าติ๊งต๊องจิกตา ก็ไม่ขอกระทำเรื่องฉันท์สามีภรรยากับบุรุษมักมากผู้นี้ 

 

 

……………. 

 

 

 

 

 

พอเห็นนางเป็นฝ่ายถามออกมา พระอารมณ์ของตี้เสียก็ดีขึ้นไม่น้อย 

 

 

พระองค์ประทับนั่งลงที่ข้างกายนาง ทอดพระเนตรไปยังเงาร่างของสตรีที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงนั้น 

 

 

จากนั้นก็ค่อยๆตรัสออกมาอย่างช้าๆ…. 

 

 

…………………..