ตอนที่ 658 โชคชะตา

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตระกูลซือมีรากฐานอยู่ในแดนสวรรค์ นานจนไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไหร่แล้ว 

 

 

นับตั้งแต่ที่ตี้เสียทรงเป็นรัชทายาทแห่งเผ่าเทพ เขาก็แทบจะไม่เคยได้เห็นพระองค์แย้มสรวลเลย แต่ว่าครั้งนี้พระองค์กลับทรงแย้มยิ้มให้กับสาวน้อยจากโลกเบื้องล่างผู้หนึ่ง? 

 

 

ภาพนี้ หากว่าฮว๋ายยู่ได้เห็นเข้าละก็ ไม่รู้ว่าในใจของนางจะต้องเจ็บช้ำถึงเพียงไหน 

 

 

ฝ่ามือของซือเป่ยขับพลังวิญญาณออกมา พอโบกออกไป หมอกสีแดงที่เคยกระจัดกระจายอยู่ก็รวมตัวกันเข้ามา แทบจะบดบังคนทั้งสองเอาไว้อย่างมิดชิด 

 

 

แต่ว่าภาพที่ตี้เสียทรงแย้มสรวลเมื่อครู่ ก็ประทับอยู่ในดวงตาของทั้งหมดอย่างแจ่มชัดไปแล้ว 

 

 

พวกเขาต่างก็เห็นแล้วว่า เทียนตี้ทรงโอบกอดนางมารจากโลกเบื้องล่างผู้นั้นเอาไว้ 

 

 

จำต้องยอมรับว่า นางมารผู้นั้นงดงามมากจริงๆ รูปโฉมนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเทียนโฮว่ในที่ใดเลย 

 

 

เพียงแต่ว่าดวงตาดอกท้อคู่นั้นออกจะโดดเด่นมีชีวิตชีวาขึ้นมา หากว่าไม่มีดวงตาที่ดูเหมือนกับดวงตาของเทียนโฮว่อย่างที่สุดคู่นั้น นางยังจะงดงามได้อย่างไร? 

 

 

แต่ว่าเมื่อเทียนตี้ทรงปรากฏองค์ออกมาแล้ว ต่อให้ในใจของเหล่าเทพมีข้อสงสัยหรือไม่พอใจ ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา 

 

 

แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกต่างก็ทยอยกันถอยกลับไปที่ข้างกายซือเป่ย 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าเทียนตี้ทรงปรากฏพระองค์ขึ้นมาอย่างกระทันหัน นางมารผู้นั้นจะต้องถูกเทพสงครามสังหารจนวิญญาณแตกสลายไปแล้วอย่างแน่นอน 

 

 

เหล่านักรบเทพต่างก็พากันหันกลับไปมองดูซือเป่ย ด้วยความหวังว่าเขาจะพูดอะไรออกมาสักสองประโยค 

 

 

ซือเป่ยกุมง้าวเทพสงครามเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ดวงตาทั้งสองมองทะลุเข้าไปในหมอกสีแดง ค่อยประคองหมัดขึ้นถวายคำนับ “เทียนตี้ทรงเสด็จมากำราบนางมารด้วยพระองค์เอง เพราะทรงตั้งพระทัยจะส่งนางไปยังลานประหารเทพหรือพะยะค่ะ?” 

 

 

ลานประหารเทพ สถานที่ที่แม้แต่เหล่าเทพเซียนก็ยังต้องหวาดกลัว 

 

 

นั่นเป็นสถานที่ตัดสินความตายของเหล่าเทพ 

 

 

เทพที่ขึ้นไปบนนั้น จะต้องรับทัณฑ์สายฟ้าฟาดหมื่นครั้ง กระทั่งกระดูกและเนื้อแยกออกจากกัน ตบะในร่างสิ้นสูญ แม้แต่จิตแห่งเทพก็บอบช้ำอย่างแสนสาหัส หลังจากถูกทรมานจนเสร็จสิ้น ยังต้องถูกผลักตกลงไปยังโลกเบื้องล่าง มีชีวิตอย่างอยู่มิสู้ตาย 

 

 

ที่ซือเป่ยกราบทูลไป เท่ากับถือโอกาสตัดสินใจแทนตี้เสียเลยด้วยซ้ำ 

 

 

เหล่าเทพต่างก็เห็นว่า หากว่ากันตามเหตุผล ตี้เสียทรงสมควรทำตามที่เทพสงครามกราบทูล 

 

 

แม้ว่าจะมีหมอกสีเลือดขวางกั้นอยู่ ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกได้ถึงประกายเกลียดชังในดวงตาของซือเป่ย 

 

 

หากมิได้สังหารนางให้ตายคาทีก็คงไม่มีวันยอมเลิกลา 

 

 

ไม่รอให้ตี้เสียทรงตรัสอะไร นางก็ขยับริมฝีปากหัวเราะเสียงเย็นชาออกมา ทั้งยังตบลงไปบนบ่าของตี้เสียเบาๆ “เจ้ายังจะเป็นจักรพรรดิสวรรค์ไปทำไม? ถอยออกมาเสียเถอะ เทพสงครามยังมีสง่าราศีกว่าเจ้าเสียอีก” 

 

 

ฝ่ามือเรียวยาวสัมผัสกับพระอังสะ ไม่เจ็บไม่คัน 

 

 

ดวงเนตรเปล่งประกายของตี้เสีย กวาดมองไปที่มือข้างนั้น มือที่กึ่งโปร่งแสง ระยิบระยับ ราบกับว่าสร้างขึ้นจากชิ้นหยก 

 

 

ละเอียดนวล กระดูกได้รูปชัดเจน มือข้างนั้นงามกระจ่างขาวสะอาดดุจดอกยู่หลันฮวา[1] 

 

 

มุมโอษฐ์ที่แย้มสรวลอยู่ยังมิได้จางหาย ทั้งยังเพิ่มพูนรอยยิ้มขึ้นอีกหลายส่วน 

 

 

“ยุแยงให้แตกแยกรึ? วิธีนี้ใช้กับเราไม่ได้ผลหรอก” แม้จะตรัสเช่นนั้น แต่ว่าน้ำเสียงของพระองค์กลับนุ่มนวลอย่างยิ่ง ไม่มีร่องรอยของความเหน็บหนาวเหมือนยามที่อยู่ในตำหนักจื่อเวยกงหรือเจดีย์กำราบเทพมารเลย 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..” 

 

 

นางรีบเก็บมือกลับไปในทันที ทั้งยังเช็ดถูกกับเสื้อผ้า 

 

 

กริยาเล็กน้อยเหล่านี้ย่อมอยู่ในสายพระเนตรของตี้เสีย แต่ว่าพระองค์มิได้ทรงขุ่นเคือง แววพระเนตรเพียงอับแสงลงเล็กน้อยเท่านั้น 

 

 

นางรังเกียจพระองค์! 

 

 

แต่ว่านางไม่อาจผลักไสพระองค์ จึงได้ต้องปล่อยให้พระองค์โอบเอาไว้ 

 

 

ด้านนอกหมอกสีเลือด ซือเป่ยกุมง้าวเทพสงครามเอาไว้ เตรียมจะเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นแสงสว่างสีทองในหมอกสีเลือดมีความเคลื่อนไหว 

 

 

“เราย่อมมีความคิดอ่านของตนเอง เทพสงครามจงนำแม่ทัพทั้งแปดล่าถอยไป” 

 

 

เหล่าเทพ “ล่าถอย?” 

 

 

ถ้าถอยไปเช่นนี้ แล้วนางมารผู้นั้นจะจัดการลงโทษอย่างไร? 

 

 

พวกเขาสูญเสียแม่ทัพสวรรค์ไปหนึ่งคนและพี่น้องอีกกลุ่มหนึ่ง แล้วนี้จะให้ยอมจบเรื่องไปทั้งๆอย่างนี้? 

 

 

สีหน้าของซือเป่ยมิสู้ดี ฝ่ามือใหญ่โตของเขากุมง้าวเทพสงครามเอาไว้อย่างแน่นหนา “เทียนตี้พะยะค่ะ นางมารผู้เจ้าเล่ห์เพทุบาย…..” 

 

 

พูดยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาของเทียนตี้ตรัสว่า “เจ้ารับคำสั่งจากผู้ใดให้นำแปดแม่ทัพสวรรค์และนักรบสวรรค์นับหมื่นออกมา?” 

 

 

พอตรัสเช่นนี้ ซือเป่ยก็ถึงกับเสียงหายไปในลำคอ 

 

 

ราชโองการนี้….เขาเองก็ดูออกอยู่ว่า นอกจากตราลัญจกรแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นฝีมือของฮว๋ายยู่ทั้งสิ้น 

 

 

ตี้เสียทรงใช้ฮว๋ายยู่มาเป็นเครื่องมือข่มขู่ 

 

 

เมื่อจำต้องยอมลงให้ ซือเป่ยก็ถอยออกไปด้านข้างก้าวหนึ่ง เป็นฝ่ายเปิดทางลงให้กับตี้เสีย 

 

 

“กระหม่อมย่อมต้องรับพระบัญชาจากเทียนตี้ และวันนี้ก็ยังคงทำตามพระประสงค์” 

 

 

คำพูดนี้พอเข้าหูของเหล่าเทพ แม้ต่างก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆอยู่บ้าง แต่ก็ฟังไม่ออกว่าผิดแปลกที่ตรงไหน 

 

 

พอเห็นซือเป่ยล่าถอย พวกเขาก็ได้แต่ถอยไปเช่นกัน 

 

 

ในหมอกสีแดงเลือด ประกายแสงสีทองนั้น พริบตาเดียวจางหายไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ในหมอกสีแดงคงเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเทียนตี้ทรงนำนางมารผู้นั้นไปยังที่ใด 

 

 

ทอดทิ้งเหล่าเทพเอาไว้ในที่เดิม โดยไม่รู้อะไรทั้งสิ้น 

 

 

……………… 

 

 

พระตำหนักไท่เหิงกง 

 

 

พระตำหนักที่งดงามเลิศหรูที่สุดในพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถูกตี้เสียหนีบเอาไว้ เหาะผ่านหมู่เมฆมายังที่นี่อย่างรวดเร็ว 

 

 

เมื่อไม่มีเก้ามังกรลากไป พระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนนี้จึงยังคงหยุดอยู่ที่ใกล้ๆเจดีย์กำราบเทพมาร 

 

 

หากมองดูจากภายนอก พระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนนี้ช่างงดงามเลิศหรูอย่างที่สุด 

 

 

แต่ว่าเมื่อมองดูจากด้านใน ความเลิศหรูนี้ออกจะถึงขั้นเว่อร์วังอลังการจนบ้าคลั่งไปแล้ว 

 

 

โดยเฉพาะในตำหนักไท่เหิงกงนั้น แม้แต่ตู๋กูซิงหลันยังไม่รู้ว่าสมควรจะบรรยายเช่นไรดี 

 

 

ตี้เสียทรงนำตู๋กูซิงหลันไปยังตำหนักบรรทมของพระองค์เอง 

 

 

ด้านบนของตำหนักบรรทม คือแผ่นกระจกใสทั้งหมด 

 

 

เหนือแผ่นกระจกนั้น มีดวงอาทิตย์ขนาดฝ่ามือเก้าดวงโคจร ต่อให้เป็นยามดึกสงัด เจ้าดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงนี้ก็ยังคงส่งแสงแผดเผาร้อนแรงออกมา ทำให้ทั่วทั้งพระตำหนักบรรทมสว่างเรืองรอง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันอยู่ในสภาพของจิตวิญญาณ เดิมทีก็ไม่สมควรจะอยู่ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้า 

 

 

พอถูกพามาตากอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ถึงเก้าดวง ร่างกายก็ร้อนลุ่มจนแทบจะลุกไหม้ 

 

 

หากจะบอกว่าจีเฉวียนและซือมั่วเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง เช่นนั้นตี้เสียก็เป็นดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงที่สุด 

 

 

หนึ่งหนาวหนึ่งร้อน  สุดขั้วของสองด้าน 

 

 

ในพระตำหนักบรรทมของตี้เสีย ประดับประดาไปด้วยสมบัติล้ำค่าอยู่เต็มไปหมด ทั่วทั้งตำหนักมีแต่ของพวกนี่เทินจนสูงขึ้นไป ดูไปแล้วออกจะรกเลอะเทอะ แต่เมื่อเห็นอยู่ชัดๆว่าที่วางอยู่คือสมบัติล้ำค่า ถึงแม้ว่าจะดูเละเทะไปบ้าง แต่ก็ยังไม่เกะกะสายตาแต่อย่างใด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเพียงกวาดตาดูเล็กน้อย ใต้แสงสว่างอันเจิดจ้า สมบัติล้ำค่าเหล่านี้เปล่งแสงสะท้อนงดงาม จนทำให้ทั่วทั้งตำหนักบรรมทมระยิบระยับวับวาวไปทั้งหลัง 

 

 

ตี้เสียทรงประทับอยู่ข้างกายนาง ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ดวงเนตรสีทองคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของนางตลอดเวลา ราวกับว่าต้องการมองนางให้ทะลุปรุโปร่ง 

 

 

“เราคือร่างหยางพิสุทธิ์ ถือครองธาตุไฟโดยธรรมชาติ เก้าสุริยะหมุนวนนี้ คือแก่นชีวิตของเรา” 

 

 

หลังเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พระองค์ก็ตรัสกับตู๋กูซิงหลันอย่างไม่มีสิ่งใดปิดบัง 

 

 

แก่นชีวิต 

 

 

ความหมายของคำนี้ก็คือ ที่มาแห่งพลังชีวิต ทั้งยังเป็นแก่นแท้ของพลังชีวิต 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่เข้าใจว่าอยู่ๆเขามาพูดเรื่องนี้กับนางทำไม 

 

 

เขาพานางมาต่อหน้าต่อตาของผู้คนทั้งหมด พอเข้ามาในตำหนักบรรทมของตนเอง ก็มาพูดเรื่องที่มาแห่งพลังชีวิตกับนาง? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันออกจะไม่เข้าใจการกระทำของเขาแล้ว 

 

 

“เมื่อฟ้าดินถือกำเนิด สรรพชีวิตปะปนสับสนวุ่นวาย เรากำเนิดจากดวงสุริยา จึงครอบครองแสงที่สว่างที่สุดในใต้หล้า 

 

 

ตี้เสียตรัสต่อไป ว่าแล้ว พระองค์ก็ขยับเข้ามาใกล้ตู๋กูซิงหลันอีกเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าและเราได้รู้จักกันมีบางเรื่องที่ไม่ดีเท่าไรนัก ตอนนี้เจ้าและข้าสมควรมาทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้ง” 

 

 

“เรามีนามว่า ตี้เสีย คือจักรพรรดิแห่งแดนสวรรค์” 

 

 

ภายใต้แสงจากการโคจรของดวงอาทิตย์ทั้งเก้า ร่างของเขาเหมือนมีแสงสีเหลืองทองทอทาบอยู่ชั้นหนึ่ง ระยิบระยับจนแสงตาไปหมด 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……” 

 

 

ขอบใจนะ แต่ไม่ได้อยากจะรู้จักเจ้าสักหน่อย 

 

 

นางยังไม่ทันจะได้เอ่ยปาก ก็เห็นตี้เสีย…… 

 

 

……………………… 

 

 

  

 

 

[1] 玉兰花: ดอกแมกโนเลีย