ตอนที่ 847 หัวปีศาจแม่ทัพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 847 หัวปีศาจแม่ทัพ
มือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงตั้งท่าเคล็ดวิชา จิตสัมผัสแผ่ออกไปครอบคลุมทั้งหมู่บ้านในพริบตา

ครู่หนึ่งให้หลังเมื่อเขาเก็บพลังจิตสัมผัสไป เสียงถอนหายใจแผ่วเบาก็ดังขึ้น

เมื่อครู่เขาตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้ว ที่นี่เป็นที่อาศัยของทายาทผู้ฝึกฝนแซ่เยี่ยผู้นั้นเมื่อตอนนั้นจริงๆ ในศาลบรรพชนใจกลางหมู่บ้านบูชาป้ายวิญญาณบรรพบุรุษอยู่

ใต้ศาลบรรพชนมีคลื่นพลังเวทคลุมครือสายหนึ่งแผ่ออกมา นั่นคือค่ายกลชั้นจำกัดที่คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับผนึกในเขาสันเขียว มีหน้าที่ปกป้องทั้งหมู่บ้านไม่ให้ถูกภูตผีในเขาสันเขียวจู่โจม

สาเหตุที่เขาถอนหายใจก็เพราะเมื่อกวาดจิตสัมผัสไป กลับพบว่าคนหนึ่งร้อยกว่าคนทั้งหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาไม่มีพลังเวทแม้แต่น้อย คนเพียงคนเดียวที่มีพลังเวทเป็นเพียงผู้เฒ่าระดับจิตวิญญาณขั้นปลายคนหนึ่งเท่านั้น

ครอบครัวที่สืบทอดสายเลือดมาจากผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้คนหนึ่งกลับตกต่ำมาจนถึงขั้นนี้

หากผู้ฝึกฝนแซ่เยี่ยคนนั้นไม่ได้มอบหมายภารกิจปกป้องเขาสันเขียวให้แก่ทายาท แต่พาตระกูลของเขาไปยังสถานที่ซึ่งลมปราณฟ้าดินเข้มข้นสักแห่ง ตอนนี้หุบเขาตระกูลเยี่ยก็อาจพัฒนากลายเป็นตระกูลผู้ฝึกฝนแห่งหนึ่งไปแล้ว

คิดถึงตรงนี้ หลิ่วหมิงก็อดไม่ได้รู้สึกชื่นชมการกระทำของผู้ฝึกฝนแซ่เยี่ยผู้นี้อยู่บ้าง

หลังจากนั้นเขาก็หาถ้ำภูเขาแห่งหนึ่งบนยอดเขาใกล้ๆ นั่งขัดสมาธิทำสมาธิ รอฟ้าสางอย่างเงียบสงบ

เวลาผ่านไปทีละน้อย หลายชั่วยามให้หลังดวงจันทร์กลมสว่างไสวดวงหนึ่งก็โผล่พ้นเมฆลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาที่หุบเขาตระกูลเยี่ยอยู่ ยามดึกมาถึงแล้ว

ในเวลาเดียวกันนี้หมอกภูตที่ล้อมรอบเขาสันเขียวอยู่ไกลๆ ก็พลันปั่นป่วนอย่างรุนแรง เกิดเป็นคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าดุจคลื่นสมุทรโถมมารวมตัวกันที่ยอดเขาหลักของเขาสันเขียว

ครืน!

ยอดเขาหลักของเขาสันเขียวเริ่มสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย

“เกิดอะไรขึ้น?”

ใบหน้าหลิ่วหมิงเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา ปราณดำสายหนึ่งยกร่างเขาลอยทะลุออกจากถ้ำ เหาะไปยังทิศทางที่ยอดเขาหลักของเขาสันเขียวอยู่อย่างเร็วไว

เมื่อเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไปสั่นไหว ชาวบ้านในหุบเขาตระกูลเยี่ยย่อมสัมผัสได้เช่นกัน พวกเขาพากันเดินออกมาจากในบ้าน ใต้เท้าสัมผัสได้ชัดเจนถึงแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผ่านผืนดิน ราวกับว่าแผ่นดินไหว

“เกิดอะไรขึ้น?”

“เหมือนจะมาจากช่องเขาเขียวสังหารด้านนั้นอีกแล้ว!”

“ทุกคนอย่าตื่นตระหนก! ยามนี้อยู่ในหุบเขาตระกูลเยี่ยถึงจะปลอดภัยที่สุด!” ขณะที่ชาวบ้านทั้งหลายกำลังสับสนวุ่นวายอยู่นั้น เสียงแก่ชราทว่าทรงพลังเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางฝูงชนทำให้ทุกคนสงบลง

ผู้เฒ่าร่างกำยำสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบผู้หนึ่งเดินออกมาจากในหมู่คน เด็กชายอายุหกเจ็ดขวบคนหนึ่งกำลังพยุงแขนเขาอยู่

คนผู้นี้ดูอายุราวหกสิบเจ็ดสิบปีแต่ยังมีกำลังวังชา บนร่างมีคลื่นพลังเวทจางๆ แผ่ออกมา เขาก็คือผู้ฝึกฝนเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้านที่หลิ่วหมิงค้นพบก่อนหน้านี้นั่นเอง

เด็กชายข้างกายเขาหน้าตาน่ารักยิ่งนัก สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่เต็มไปด้วยรอยปะ ดวงตาแวววาวมีแสงสีทองจางๆ ไหลวนอยู่เลือนรางแต่ดวงตากลับคล้ายจะเป็นสีเขียวหยก เขามองซ้ายมองขวาอย่างสงสัยใคร่รู้เป็นระยะคล้ายไม่เคยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบด้านมาก่อน

“ผู้อาวุโสใหญ่ พักนี้เหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นบ่อยขึ้นทุกที โปรดพิจารณาอพยพตระกูลด้วยเถิด!”

“ใช่แล้ว! หากเจ้าพวกนั้นออกมาจริงๆ พวกเรามนุษย์ธรรมดาจะต่อต้านได้อย่างไร!”

“เรื่องนี้ข้าเตรียมพร้อมไว้แล้ว วันพรุ่งนี้เช้าข้าจะค่อยๆ จัดการให้ทุกคนอพยพไป” เวลานี้ผู้เฒ่ากำลังแหงนหน้ามองเขาสันเขียวที่อยู่ไกลออกไป คิ้วขมวดเล็กน้อย เสียงยังคงเต็มเปี่ยมด้วยพลังทว่าแฝงความเหนื่อยล้าอยู่เลือนราง

……

ใกล้ๆ ยอดเขาหลักของเขาสันเขียว แสงสีดำสายหนึ่งส่องสว่างเผยร่างของหลิ่วหมิงที่สีหน้าเคร่งขรึมออกมา

ด้านหลังเขา เด็กน้อยชุดเขียวผู้หนึ่งติดตามมาด้วย เฟยเอ๋อร์นั่นเอง

หมอกภูตรอบยอดเขาปั่นป่วนรุนแรงขึ้นทุกที ทันใดนั้นเสียงอสนีบาตดังสนั่นก็ดังขึ้นหนึ่งหน เสาแสงสีแดงมหึมาต้นหนึ่งฉับพลันพุ่งขึ้นมาจากจุดหนึ่งบนยอดเขาหลักของเขาสันเขียว พุ่งตรงไปยังท้องฟ้าดำสนิทยามราตรี

สายลมแรงโหมกระหน่ำพัดมา หลิ่วหมิงผู้อยู่กลางท้องฟ้าถูกคลื่นลมสายนี้ซัดจนปลิวถอยหลังออกไปหลายจั้งถึงยืนมั่นคงได้

ยอดเขาหลักของเขาสันเขียวสั่นไหวไม่หยุด หินภูเขาก้อนใหญ่ก้อนเล็กจำนวนไม่น้อยเริ่มร่วงหล่นลงมา ใจกลางหมอกภูตมีเสียงกู่ร้องคำรามตื่นเต้นดังขึ้นเป็นระลอก ประหนึ่งผีร้ายในนรกกำลังจะทลายผนึกมาเยือนโลกมนุษย์

จากเริ่มแรกที่หลิ่วหมิงตกตะลึง เวลานี้เขาสงบลงแล้ว

เหตุการณ์ผิดปกติกะทันหันนี้เห็นชัดว่าเกิดจากภูตผีที่ถูกผนึกที่นี่เตรียมจะอาศัยช่วงเที่ยงคืนยามที่ปราณหยินเข้มข้นที่สุดเริ่มโจมตีผนึก

เวลานี้เองแสงสีแดงมหึมาสายแล้วสายเล่าก็พุ่งตามต่อกันออกมาจากหลายตำแหน่งบนเทือกเขาสันเขียว

เสาแสงสีแดงมีทั้งหมดแปดต้น ครอบภูเขาทั้งหมดไว้ใต้แสงสีแดงผืนหนึ่งอย่างรวดเร็ว

ฆ่า ฆ่า ฆ่า!

กระแสจิตโหดเหี้ยมดุร้ายสายหนึ่งทะลักออกมาจากใต้แสงสีแดง แสงสีแดงเริ่มสั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรงประหนึ่งถูกโจมตี

หลิ่วหมิงหน้าซีดไปเล็กน้อย กระแสจิตโหดเหี้ยมสายนี้ส่งมาถึงในสมองของเขาด้วย

ชั่วพริบตานั้นสมองเขาปรากฏภาพโหดร้ายของการเข่นฆ่าในสนามรบขึ้นมา ภูเขาดาบฝนลูกศร ศีรษะกองเป็นภูเขา เลือดนองเป็นสายน้ำ หอกทองอาชาเหล็ก!

“เหอะ!”

หลิ่วหมิงตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่งแล้วยกขึ้นชี้หว่างคิ้ว ทันใดนั้นความเย็นสบายสายหนึ่งก็ทะลักออกมาจากในทะเลจิตรับรู้ ชั่วพริบตาไหลไปยังเส้นลมปราณทั่วร่าง จากนั้นพุ่งเข้ามาในศีรษะ

สมองสะท้านไปวูบหนึ่ง จากนั้นกระแสจิตสายนั้นก็สลายหายไปไร้ร่องรอยในพริบตา

เวลานี้ไม่ว่าแสงสีแดงสายนี้จะกดลงมาอย่างไรก็ไม่เกิดภาพมายาปรากฏการณ์ประหลาดอันใดอีก

“เป็นอย่างที่คิด ภูตผีที่นี่ล้วนเป็นวิญญาณแค้นที่เกิดจากสนามรบ ดูท่าผนึกจะทนต่อได้ไม่นานแล้ว เพราะเหตุนี้เฟยเอ๋อร์ถึงสัมผัสความผิดปกติของที่นี่ได้อย่างง่ายดาย” หลิ่วหมิงเอ่ยพึมพำกับตนเอง พร้อมกันนั้นแสงสีดำจางๆ ก็กระเพื่อมเป็นวงรอบร่าง ดวงตาสองข้างฉายแสงหม่นๆ สองสายออกมากวาดไปเบื้องหน้า

ดวงตาเขาฉับพลันมองทะลุหมอกภูตชั้นแล้วชั้นเล่าลึกเข้าไปกลางแสงสีแดงนี้ ลึกลงไปใต้ยอดเขาหลักลูกนี้ราวร้อยกว่าจั้งมีเสาศิลาสีแดงทั้งต้นเจ็ดต้นล้อมเสาศิลาสีเขียวที่หนากว่าเล็กน้อยต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง ใต้เสาศิลาสีเขียวเหมือนจะสะกดเงาสีดำสนิทก้อนหนึ่งอยู่

ทว่าเสาศิลาเหล่านี้โงนเงนเล็กน้อยแล้ว ผิวของเสาสีเขียวต้นนั้นตรงกลางก็มีรอยแตกจากบนจรดล่างเส้นหนึ่ง เสาศิลาใกล้จะแยกเป็นสองสี่ยง

เงาดำแหงนหน้าขึ้นฟ้ากู่ร้องอย่างเคียดแค้นทำให้เสาศิลาสั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้ง รอยร้าวของเสาศิลาตรงกลางลึกขึ้นอีกหลายส่วน แทบจะแตกกระจายอยู่รอมร่อ

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงรีบรั้งวิชาอนธการค้นวิญญาณกลับมา พร้อมกันนั้นก็โคจรวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงขีดสุด แสงสีดำบนร่างส่องสว่างประหนึ่งเปลวเพลิงสีดำลุกโหมกระหน่ำในทันใด

เขาเพิ่งใช้วิชาเสร็จ เงาดำที่ถูกผนึกไว้ก็ระเบิดเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง เสาศิลาสีเขียวที่สะกดมันอยู่ในที่สุดก็ส่งเสียงดังปึง ปริแตกกระจุยจากตรงกลาง

เสาศิลาสีแดงเจ็ดต้นรอบด้านก็พังทลายลงทีละต้นตามลำดับบางอย่าง

ครืน!

ยอดเขาหลักของเขาสันเขียวหักโค่นตั้งแต่ตรงไหล่เขา ภูเขาใหญ่ยักษ์ถล่มลงมาอย่างเชื่องช้า แผ่นดินสั่นไหวอย่างบ้าคลั่งระลอกหนึ่งแล้วค่อยๆ สงบลง

ลำแสงหนาขนาดมหึมาสีดำหลายจั้งเส้นหนึ่งลอยออกมาจากเทือกเขาที่เอนลงมาแล้วพุ่งขึ้นไปกลางท้องฟ้า

“ก๊ากๆๆ หนึ่งพันปี! ผ่านไปหนึ่งพันปีเต็มๆ! ในที่สุดข้าก็ได้เห็นท้องฟ้าดวงตะวันอีกครั้ง! ฆ่าๆๆ!” เสียงแสบแก้วหูประหนึ่งโลหะเสียดสีกันดังออกมาจากกลางไอสีดำ

ลำแสงสีดำค่อยๆ สลายไป ร่างมหึมาร่างหนึ่งที่มีปราณสีดำวนเวียนอยู่รอบร่างปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลิ่วหมิง

มันเป็นศีรษะมหึมาสีน้ำเงินเข้มหัวหนึ่ง!

บนศีรษะสวมหมวกเกราะที่ขึ้นสนิมประปรายใบหนึ่ง พู่หมวกสีแดงสดห้อยอยู่เบื้องหลัง แม้ผิวหนังบนใบหน้าจะเป็นสีน้ำเงินแห้งเหี่ยว แต่บนใบหน้ายังคงเห็นเค้าความห้าวหาญของมันในวันวานอยู่เลือนราง มองปุบก็รู้ว่ายามนั้นมันเคยเป็นแม่ทัพเก่งกล้าผู้ควบขี่อาชาพุ่งผ่านสนามรบผู้หนึ่ง!

เวลานี้ดวงตาดุร้ายสีแดงเลือดทั้งคู่บนศีรษะแม่ทัพศีรษะนี้กำลังจับนิ่งอยู่ที่หลิ่วหมิงกับหัวบินซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล

“หัวบินอีกหัวหนึ่ง มิน่าก่อนหน้านี้เฟยเอ๋อร์จึงว้าวุ่นไม่สงบ ที่แท้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพวกเดียวกันนี่เอง!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ตกตะลึงจากนั้นเผยท่าทางเข้าใจออกมา

แม้หัวปีศาจโดยปกติจะถือกำเนิดขึ้นมาจากปราณชั่วร้าย ไม่นับว่าเป็นภูตผีอย่างแท้จริง แต่หัวปีศาจที่ถือกำเนิดมาจากดินแดนแห่งปราณหยินเช่นนี้ ในบางความหมายก็เหมือนภูตผีตัวจริงทุกประการ นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังดุร้ายโหดเหี้ยมมากกว่าอีกด้วย…

เฟยเอ๋อร์เห็นศีรษะแม่ทัพที่อยู่ไม่ไกล ทั้งร่างก็สั่นเทาแสยะมุมปาก ส่งเสียงคำรามแผ่วเบาออกมาโดยสัญชาตญาณ

ในเวลาเดียวกันนี้หมอกภูตเบื้องล่างก็มีเสียงภูตผีคร่ำครวญดังออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า ปราณดำประหนึ่งวัตถุจริงสายหนึ่งซัดออกมาจากผนึก ภูตผีวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากด้านในท่ามกลางปราณดำตลบอบอวล

“โฮกๆ …” ภูตผีเหล่านี้ล้วนส่งเสียงคำรามอย่างตื่นเต้น

หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว เห็นชัดว่าภูตผีเหล่านี้ถูกผนึกไว้ที่นี่เช่นเดียวกับหัวปีศาจ พวกมันไม่เหมือนวานรเขาเน่าที่เขาพบก่อนหน้านี้ ภูตผีเหล่านี้แต่ละตน แม้ไม่มีร่างจริงแต่ดุร้ายอย่างที่สุด

เบื้องหลังภูตผีวิญญาณร้ายยังปรากฏวิญญาณกองทัพทหารที่สวมชุดเกราะ มือถือดาบกระบี่หอกยาวกองแล้วกองเล่า สายลมเย็นเยียบพัดวนเวียน ไอสังหารท่วมฟ้า พวกมันส่วนใหญ่ครอบครองพลังเกือบถึงระดับของเหลวจิตวิญญาณ

“ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์!”

หัวปีศาจแม่ทัพใช้สายตาเคียดแค้นจ้องหลิ่วหมิงเขม็ง ริมฝีปากอ้าหุบส่งเสียงทุ้มต่ำแสบหูออกมา

“เจ้าโจรกบฏคนนี้ เป็นพวกเดียวกับเจ้าจมูกวัวแซ่เยี่ยคนนั้นหรือ เจ้าจมูกวัวแซ่เยี่ยนั่นอยู่ที่ไหน มันผนึกข้าไว้นานพันปี วันนี้ข้าจะป่นกระดูกมันเป็นผง ลงโทษให้เป็นเยี่ยงย่าง!”

“ดูท่าท่านคงถูกผนึกมานานเกินไป สมองจึงไม่ค่อยแล่นเสียแล้ว! ผู้อาวุโสเยี่ยละสังขารไปนานแล้ว แต่ถ้าท่านอยากพบหน้าเขาเช่นนี้ ข้าก็พอจะส่งท่านเดินทางไปหาได้!” หลิ่วหมิงหรี่สองตาลงแล้วเอ่ยนิ่งๆ

“เจ้าพูดอะไร…” ศีรษะยักษ์ของแม่ทัพได้ยินก็ตวาดโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที

“เฟยเอ๋อร์ เจ้าไปเก็บรวบรวมวิญญาณร้ายเหล่านั้นด้านหลัง หัวปีศาจตนนี้ข้าจัดการเอง” หลิ่วหมิงไม่สนใจศีรษะแม่ทัพฝั่งตรงข้ามสักนิด แต่หันไปสั่งเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง

หัวบินพยักหน้ารัว สองมือกำสร้อยมุกตรงลำคอไว้ ทันใดนั้นบนร่างแสงสีเขียวก็ส่องสว่าง มันหมุนติ้วอยู่กับที่ครู่หนึ่งก็แปลงเป็นหัวบินที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการเก้าหัว เหาะไปหาวิญญาณร้ายสองฝั่งที่รุมเข้ามา

ระหว่างที่ร่างกายอยู่กลางท้องฟ้า เส้นผมสีเขียวนับพันนับหมื่นของหัวบินทั้งเก้าก็ทยอยพุ่งเร็วรี่เข้าใส่วิญญาณร้ายหลายร้อยดวงนั้นประหนึ่งลมสลาตันสายฝนกระหน่ำ

วิญญาณร้ายเหล่านั้นดุร้ายอย่างที่สุด แม้ถูกขังมานานปีเช่นนี้จนเหลือแต่พลังตามสัญชาติญาณ พลังเทียบเฟยเอ๋อร์ไม่ได้แม้แต่นิด ทว่าในอดีตพวกมันล้วนเคยเป็นทหารหาญผู้ชำนาญศึก จึงเหวี่ยงดาบกระบี่ในมือเข้าประจันอย่างห้าวหาญไม่หวาดกลัวความตาย

ชั่วขณะเสียงประหัตประหารดังขึ้นรอบด้าน