บทที่ 1959 พวกเธอมีความสุขกันก็ดีแล้ว
โอ๊ย! ท่าทางเอียงคอของลูกชายน่ารักเกินไปแล้ว!
เยี่ยหวันหวั่นอดใจไม่อยู่จึงลูบหัวเจ้าตัวน้อยพลางเอ่ยว่า “ถูกๆๆ ก็คือเขานั่นละ ลูกรัก ลูกคิดว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”
หลังจากที่ได้รับการสัมผัสจากแม่แล้ว ถังถังก็หรี่ตาลงพร้อมเผยสีหน้าเบิกบาน แต่พอได้ฟังคำนี้ ถังถังก็ผงะไปแวบหนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยถาม “แม่ครับ แม่จะนอกใจเหรอ”
เยี่ยหวันหวั่นสำลักแล้ว “แค่กๆๆ…”
เยี่ยหวันหวั่นสำลักอยู่นานถึงได้สงบลง เธอรู้สึกว่าจะต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าลูกน้อยให้ได้ โดยเฉพาะตอนนี้หลังจากที่ยืนยันได้แล้วว่าซือเยี่ยหานก็คือพ่อแท้ๆ ของหนูน้อยถังถัง จะปล่อยให้เขารู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับพ่อของเขาย่ำแย่ไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้นเยี่ยหวันหวั่นจึงรีบพูดไปว่า “แค่กๆ จะเป็นไปได้ยังไง แม่ยังรักพ่อของลูกที่สุดนั่นแหละ!”
“แต่ว่า ตอนอยู่ที่ถนนอาหารเลิศรสครั้งก่อน ผมรู้สึกว่าแม่ดูจะชอบนายแห่งอาชูร่าอยู่ แม่เอาแต่มองเขาตลอดเลย” ถังถังพูดออกมา
เยี่ยหวันหวั่นอดไม่ได้ที่น้ำตานองหน้า สมกับที่เป็นลูกของซือเยี่ยหานจริงๆ ฉลาดเกินไปแล้ว…
“แม่เปล่านะ แม่เปล่าเลย อย่าพูดเหลวไหลสิ! จะเป็นไปได้ยังไงละจ๊ะ! อันที่จริง…ความจริงน่ะเป็นแบบนี้ ตอนนี้พ่อของลูกอยู่ที่จีน มาหาพวกเราไม่ได้ใช่ไหม ที่แม่มองนายแห่งอาชูร่าบ่อยๆ ก็เพื่อ เพื่อ…เอ่อ…มองแก้ขัดไง!” ในที่สุดเยี่ยหวันหวั่นก็คิดข้ออ้างอย่างหนึ่งขึ้นมาได้แล้ว
มองแก้ขัดงั้นเหรอ…
พอได้ยินประโยคนี้ ถังถังก็มีสีหน้าที่ยากจะพูดอยู่บ้าง
หนูน้อยถังถังที่ก่อนหน้านี้พูดอยู่ปาวๆ ว่าจะไม่เล่นกับคนโง่กลับพยักหน้ายอมรับ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!”
เยี่ยหวันหวั่นโล่งอกแล้ว “ใช่แล้ว เป็นแบบนี้เลย!”
“แม่นายถูกใจเขาแล้วชัดๆ ไม่ใช่เหรอ” อี้สุ่ยหานที่อยู่ด้านข้างเลิกคิ้วแล้วพูดออกมาประโยคหนึ่ง
หนูน้อยถังถังพลันเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “คุณห้ามว่าแม่แบบนี้”
เยี่ยหวันหวั่นก็เอาด้วยเหมือนกัน “ห้ามมายุแยงความสัมพันธ์ของพวกเราแม่ลูก!”
อี้สุ่ยหานเอือมระอาอยู่บ้าง “ถือว่าฉันไม่พูดแล้วกัน พวกเธอมีความสุขกันก็ดีแล้ว…”
….
ไม่คิดเลยว่าการมาหลบภัยจะทำให้บังเอิญได้พบถังถังเข้า เยี่ยหวันหวั่นฉวยโอกาสอยู่พูดคุยกับลูกน้อยตั้งนานสองนาน จนกระทั่งอี้สุ่ยหานเริ่มออกปากไล่
ถังถังก็ไม่สามารถรั้งอยู่ที่นี่นานเกินไปได้ ยังต้องกลับบ้านสกุลเนี่ย เยี่ยหวันหวั่นถึงได้ยอมจากไปอย่างหักใจไม่ลงอยู่บ้าง
พอกลับไปถึงวิลล่า เยี่ยหวันหวั่นก็อาบน้ำแล้วนอนลงบนเตียง
คาดไม่ถึงเลยว่าคนพวกนั้นจะยังไม่ยอมถอดใจ แถมยังตามมาที่รัฐอิสระ…
โชคดีที่เธอมีต้นขาใหญ่ๆ ให้กอดไว้อยู่ทางนี้ ถึงได้รอดมาได้
ปริมาณข้อมูลที่เธอได้รับมาในช่วงนี้มากเกินไปแล้ว ขณะที่เธอกำลังนอนวิเคราะห์ใคร่ครวญอยู่บนเตียง นอกหน้าต่างพลันมีสายฟ้าแลบผ่านเส้นหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง แล้วฝนห่าใหญ่ก็ซัดโครมๆ ลงมา
เวรเอ๊ย…
ทำไมจู่ๆ ถึงมีฝนตกหนักกันล่ะ!
นอกหน้าต่างมีพายุรุนแรง เงาต้นไม้พวกนั้นที่ตกกระทบบานหน้าต่างดูราวกับเงาภูตผี แล้วยังมีเสียงลมอื้ออึงที่น่ากลัวเหมือนเสียงโหยหวนของภูตผีอีกด้วย เยี่ยหวันหวั่นขนลุกซู่ขึ้นมาแล้ว
ในเวลานี้เองโคมไฟที่อยู่เหนือศีรษะก็พลันดับลง!
เดิมทีเธอเคยด่าไป๋เฟิงอยู่ตลอดว่าเป็นคนโง่ ถึงได้ชอบอยู่ในสถานที่ผีสิงแบบนี้
แต่ไม่เคยคิดเลยว่า ไป๋เฟิงก็คือเธอ และตัวเธอเองนั่นแหละที่เป็นคนโง่คนนั้น
ตอนแรกเธอเกือบจะปรับตัวเข้ากับสถานที่ผีสิงแห่งนี้ได้แล้ว แต่ฟ้าผ่าในครั้งนี้ และแย่ที่สุดคือไฟดับ ระดับความกลัวพุ่งกระฉูดขึ้นมาเป็นร้อยเท่าแล้ว!
เยี่ยหวันหวั่นล้วงมือถือออกมาเตรียมจะขอความช่วยเหลือ
เดิมทีเตรียมจะเรียกพรรคพวกจากพันธมิตรอู๋เว่ยสักสองสามคนมาเสริมขวัญกำลังใจ แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็ไม่เอาดีกว่า เพราะอะไรน่ะเหรอ ปกติแล้วคนพวกนั้นล้วนเห็นที่นี่เป็นหุบเขามีดทะเลเพลิง ไม่มีทางกล้าย่างกรายเข้ามาแน่
พึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย!
และในตอนนี้เอง มือถือของเยี่ยหวันหวั่นก็พลันสว่างวาบ และจู่ๆ ก็ส่งเสียงขึ้นมา
มือถือส่งเสียงขึ้นมากะทันหัน เยี่ยหวันหวั่นตกใจจนแทบปามือถือออกไปแล้ว ผ่านไปหลายวินาทีถึงได้รับสาย จากนั้นก็มองเห็นเลขหมายของสายเรียกเข้าอย่างชัดเจน…เถ้าแก่โรงงานน้ำส้มสายชูแห่งรัฐอิสระ!
———————————————–
บทที่ 1960 อย่างเช่นบอกว่าคุณชอบฉันมากๆ
“ทำไมคุณโทรหาฉันเวลานี้ล่ะคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ” เยี่ยหวันหวั่นแปลกใจอยู่บ้าง
หลังจากแลกเบอร์กันแล้ว แค่ซือเยี่ยหานเป็นฝ่ายโทรมาหาเธอก่อนครั้งหนึ่ง นั่นก็นับเป็นความก้าวหน้าที่ใหญ่หลวงมากแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะยังมีครั้งที่สองด้วย
ซือเยี่ยหานตอบอย่างเฉยเมย “ไม่มีอะไรหรอก กดผิด”
เยี่ยหวันหวั่นอึ้งไป
กด…กดผิดงั้นเหรอ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะแค่กดผิด เยี่ยหวันหวั่นที่เต็มไปด้วยความคาดหวังมีสีหน้าอึมครึมแล้ว
“เธอทำอะไรอยู่” ผู้ชายที่อยู่ปลายสายเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน
เสียงของชายหนุ่มราวกับมีอำนาจในการทำให้จิตใจคนสงบลง ทุกอย่างที่อยู่นอกหน้าต่างเหมือนถูกขวางกั้นไว้ในโลกอีกใบหนึ่ง เยี่ยหวันหวั่นพลันรู้สึกว่าไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นแล้ว
“นอนหลับอยู่บนเตียงไง ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ จะมีฝนตกหนัก สถานที่ผีสิงนี่แค่ฝนตกก็ทำให้คนตกใจได้แล้ว!” เยี่ยหวันหวั่นโอดครวญด้วยความคับข้องใจยิ่ง
“ทำไมถึงไม่ย้ายที่ล่ะ” ซือเยี่ยหานถาม
“ได้ยินว่าตอนแรกฉันพนันกับใครบางคนไว้ บอกว่าแบดเจอร์อย่างฉันจะกล้าอยู่ในคฤหาสน์ผีสิงที่ไม่มีใครในรัฐอิสระกล้าซื้อได้ไหม ถ้าย้ายออกตอนนี้ ฉันไม่เสียหน้าหรอกเหรอ” เยี่ยหวันหวั่นบ่นอุบ
ซือเยี่ยหานเงียบไปครู่หนึ่ง
จากนั้นสุ้มเสียงที่เต็มไปด้วยความจนปัญญาอย่างลึกล้ำของซือเยี่ยหานก็ดังขึ้น “ปิดหน้าต่างดีหรือยัง”
เยี่ยหวันหวั่นตอบกลับว่า “ปิดดีแล้ว…”
ซือเยี่ยหานจึงพูดต่อไปว่า “งั้นก็ดี ไม่มีอะไรแล้ว ฉันจะวางแล้วนะ”
“ไม่เอา อย่าวางนะ ไฟดับแล้ว คุณเก้า ฉันกลัว คุณอยู่คุยเป็นเพื่อนฉันทีสิ…” ถึงแม้ความจริงจะไม่ได้กลัวขนาดนั้นแล้ว แต่สุ้มเสียงของเยี่ยหวันหวั่นกลับยิ่งดูน่าสงสารกว่าเดิม
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะเกรงว่าถ้าเด็กสาวไม่ได้ยินเสียงเขาแล้วจะหวาดกลัว จึงเงียบไปเพียงสองวินาทีเท่านั้น จากนั้นเสียงของชายหนุ่มก็แว่วขึ้นมา “ได้”
หลังจากได้รับเสียงยืนยันแล้ว เยี่ยหวันหวั่นก็ราวกับมังกรโผสู่สมุทรกว้าง เริ่มเริงร่าแล้ว
“โอ๊ะ นายแห่งอาชูร่าคะ ฉันว่าแปลกๆ แล้วนะ โทรผิดงั้นเหรอ ไม่ใช่ว่าคุณเห็นฝนตกเลยห่วงว่าฉันจะกลัว ก็เลยตั้งใจโทรมาหาฉันหรอกเหรอ ไม่ได้โทรผิดแต่แรกแล้วใช่ไหมล่ะ” เยี่ยหวันหวั่นหรี่ตาแล้วเอ่ยถาม
ซือเยี่ยหานตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “เธอคิดมากไปแล้ว”
เยี่ยหวันหวั่นไม่ยอมแพ้ “ฉันคิดมากงั้นเหรอ งั้นคุณบอกฉันมาสิ ดึกดื่นค่อนคืนคุณไม่ได้จะโทรหาฉัน แล้วจะโทรไปหานางปีศาจที่ไหนกัน!”
ซือเยี่ยหานเถียงไม่ได้แล้ว…
เยี่ยหวันหวั่นจึงเอ่ยเร่งเร้า “พูดมาสิ”
ชายหนุ่มที่อยู่ปลายสายถอนหายใจด้วยความจนปัญญา “ตอนนี้ไม่กลัวแล้วสินะ”
เยี่ยหวันหวั่นหยอดคำหวานตอบกลับไป “เพราะได้ยินเสียงของคุณไง!”
หลังจากคุยกันไปหลายประโยค ความกลัวของเยี่ยหวันหวั่นหายไปอย่างหมดสิ้นแล้ว ถึงขั้นที่รู้สึกว่าการพูดคุยกันในบรรยากาศค่ำคืนแบบนี้ได้อรรถรสมาก “ใช่แล้ว คุณเก้า คุณรู้เรื่องระหว่างสายหลักกับสายรองในรัฐอิสระบ้างไหม”
“ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ล่ะ” น้ำเสียงของซือเยี่ยหานคล้ายจะขรึมลงหลายส่วน
เยี่ยหวันหวั่นเพียงตอบไปว่า “ก็แค่ถามไปเรื่อย ได้ยินว่าสายหลักมีความคิดที่จะล้มล้างสายรอง แล้วพวกคุณตระกูลซืออันเก่าแก่ไม่ใช่สายรองเหรอ”
“ในรัฐอิสระการต่อสู้ห่ำหั่นกันระหว่างสองสายนี้มีมานานแล้ว เรื่องราวภายในไม่ใช่สิ่งที่จะบอกเล่าอย่างรวบรัดได้ อย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้เลย มันไม่เกี่ยวกับเธอ” น้ำเสียงซือเยี่ยหานฟังดูเคร่งขรึมเอาจริงอยู่บ้าง
“ยุ่งกับเรื่องพวกนี้งั้นเหรอ ฉันว่างขนาดนั้นเลยเหรอไง เวลาว่างทั้งหมดของฉันก็เอามาใช้ง้อคุณหมดแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่พูดก็ไม่พูดสิ ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้อยากฟังเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ไม่สนุกเลย งั้น…คุณพูดอะไรที่น่าฟังสักหน่อยสิ!” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยร้องขอด้วยรอยยิ้ม
ประโยคที่บอกว่าเอาเวลาทั้งหมดมาง้อคุณแล้ว ทำให้น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนลงอีกครั้งได้สำเร็จ “พูดอะไรล่ะ”
เยี่ยหวันหวั่นตอบว่า “อย่างเช่น…บอกว่าคุณชอบฉันมากๆ ไม่มีฉันก็อยู่ไม่ได้ รักฉันจนแทบเป็นแทบตายแล้ว…”
ซือเยี่ยหานเงียบงันไปแล้ว…
…………………………………………..