นักพรตฉื้อเฟิงพาตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ผ่านมิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัดอันเวิ้งว้าง
มิติคละถิ่นกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นเดินทางเคลื่อนที่อยู่ภายในนั้น ก็ยังต้องสิ้นเปลืองเวลาไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน
พรึ่บ
เส้นสายสีแดงโลหิตสายหนึ่งกลายเป็นเงาร่างสองสายในทันใด ซึ่งก็คือนักพรตฉื้อเฟิงและตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง
“ดูสิ อยู่ตรงนั้นอย่างไรเล่า” นักพรตฉื้อเฟิงชี้ไกลออกไปด้านหน้า “หากทะลุอุโมงค์ห้วงมิติคละถิ่นสายนั้นไปแล้ว ศัตรูก็จะปรากฏตัวขึ้นมาแล้วล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองตามไป ด้วยการสัมผัสรับรู้ต่อห้วงมิติคละถิ่นของเขาในขณะนี้ก็รู้สึกได้ว่ามิติคละถิ่นแห่งนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน คล้ายกับว่าภายในมีเส้นทางอันแน่นอนเส้นหนึ่งเจาะทะลุเข้ามาจากที่ไกลๆ
“ปรากฏตัวแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็รู้สึกได้อย่างกระจ่างชัด
สัตว์ร่างใหญ่มหึมาตนหนึ่งเจาะทะลุออกมาจากทางเดินนั้น หลังจากออกมาแล้วร่างกายของมันก็กลับเป็นปกติอย่างฉับพลัน ความใหญ่โตของร่างกายมันก็เทียบได้ราวๆ หนึ่งในร้อยส่วนของโลกกำเนิดธรรมดาทั่วไปเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะยืนอยู่ที่นั่นก็ยังก่อให้เกิดความปั่นป่วนของพลังคละวิถีนับไม่ถ้วน กฎเกณฑ์ที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของมันตามธรรมชาติพุ่งโจมตีพลังคละวิถี
เขาทองสิบสองอันบนหัวของมันแต่ละอันทิ่มแทงขึ้นไปด้านบน รยางค์แปดเส้นทนทานเปี่ยมพลัง ด้านบนมีความเร้นลับของกฎเกณฑ์ระดับคละถิ่นจำนวนนับไม่ถ้วนโคจรอยู่
ส่วนต่างๆ ของร่างกายเขามีการไหลของเวลาที่แตกต่างกัน มีบางบริเวณที่เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีบางบริเวณที่เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ห้วงมิติยังเกี่ยวกระหวัดซ้อนทับกัน ทว่าห้วงมิติในบริเวณเดียวกันกลับสามารถมีส่วนของร่างกายมากมายพับทบซ้อนกันอยู่ที่นี่ด้วย การดำรงอยู่ของเขา…ก็คล้ายกับโลกกำเนิดขนาดเล็กจิ๋ว
“เป็นเขาหรือ ศิลาหรือ” นักพรตฉื้อเฟิงมองดูอยู่ห่างๆ ทันใดนั้นก็หน้าถอดสีแล้วถ่ายเสียงให้กับตงป๋อเสวี่ยอิง “จ้าวหิมะเหิน ศิลาเป็นคละถิ่นระดับโลกาช่วงท้าย นอกจากนี้ยังสั่งสมมาอย่างแน่นหนักเป็นอย่างยิ่ง มิอาจยั่วยุได้โดยง่าย หากเจ้าสามารถถ่วงเวลาได้ก็ถ่วงเวลาเสีย หากถ่วงเวลาไม่ไหวก็ไม่เป็นไร จงจำเอาไว้ว่าอย่าได้ทำตามอำเภอใจเป็นอันขาด พลังยุทธ์ของพวกเจ้าห่างชั้นกันมากเกินไป ร่างแยกอันอ่อนแอนี้ของข้าจะไม่รั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเจ้าทั้งสอง”
พูดแล้วนักพรตฉื้อเฟิงก็แปลงร่างเป็นเส้นสายสีแดงโลหิตสายหนึ่งอย่างรวดเร็วแล้วหนีไปทางโลกทิพย์แห่งการบำเพ็ญในทันที
……
ท่ามกลางมิติคละถิ่นอันเวิ้งว้าง บุรุษสามตาผมสีเงินคนหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง เขาก็คือ ‘เทียนหลางเค่อ’ ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นระดับโลกาผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือทางฝั่งผู้บำเพ็ญ เทียนหลางเค่อ… ก็คือผู้แกร่งกล้าคละถิ่นระดับโลกาขั้นสมบูรณ์ เป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ที่สุดภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าดินแดนแปดท่าน ตอนนี้กำลังได้รับคำสั่งให้รีบมาช่วย
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ยังมีผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ที่กำลังมุ่งหน้ามาสนับสนุนที่นี่อยู่เช่นเดียวกัน
เพราะว่าครั้งนี้ฝ่ายศัตรูกระตุ้นการป้องกันที่กินอาณาบริเวณใหญ่โต ทางด้านโลกทิพย์แห่งการบำเพ็ญนี้ก็คือหนึ่งในสนามรบที่สำคัญ
ในบรรดาผู้แกร่งกล้าจำนวนมากที่กำลังช่วยเหลือ เทียนหลางเค่อนั้นมีความรวดเร็วมากที่สุด แต่ก็ยังคงต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามจึงจะสามารถไปถึงได้
“ศิลาหรือ” เทียนหลางเค่อเดินทางไปพลาง พร้อมกันนั้นก็ทำการสำรวจอยู่ห่างๆ เขาค้นพบการปรากฏตัวขึ้นของ ‘ศิลา’ ในทันที
ถ้าหากเขาผ่านไป หนึ่งต่อหนึ่ง ใช้เวลาพอสมควรก็จะมีความมั่นใจในการเข่นฆ่า
“จ้าวหิมะเหิน” เทียนหลางเค่อส่งสารในทันใด วัตถุส่งสารที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้มาใหม่เหลือรอยประทับทิ้งเอาไว้ รอยประทับพลังของเขาแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วตามธรรมชาติ ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นคนอื่นๆ ก็สามารถอาศัยสิ่งนี้ติดต่อกันได้แล้ว
“ข้า เทียนหลางเค่อ รับบัญชามา ข้าจะไปช่วยเหลือเจ้าโดยเร็วที่สุด เจ้าต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่ รักษาระยะห่างกับเขาให้มากพอ! ถ้าหากระยะทางใกล้ไปสักหน่อย ร่างแยกพลังรบหลักร่างนี้ก็จะเสี่ยงภัยถึงดับสูญได้ จำเอาไว้ให้ดีๆ ล่ะ” เทียนหลางเค่อส่งสารเอ่ยว่า “ข้ากับศิลาเคยประมือกันมาก่อน นี่คือข้อมูลโดยละเอียดของเขา”
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับการตักเตือนของนักพรตฉื้อเฟิงและเทียนหลางเค่ออย่างต่อเนื่องอีกทั้งยังได้รับข้อมูลมาอีกด้วย
“รักษาระยะห่างให้มากพอหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกยาวสีดำเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ เหยียบพลังคละวิถีอันไร้ที่สิ้นสุดแล้วก็เดินข้ามไป พร้อมกันกับที่เดินเข้าไป ขนาดร่างกายก็พุ่งทะยานขึ้น พุ่งๆๆ… ในที่สุดขนาดร่างกายก็ยังเล็กกว่าเทียนหลางเค่ออยู่พอสมควร สูงเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของร่างกายอีกฝ่ายเท่านั้น นี่คือขีดจำกัดของการคงสภาพภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว
“เจ้าชื่อว่าจ้าวหิมะเหินหรือ เป็นเจ้าเองหรือที่สังหารเฉิงหาว” ศิลายืนอยู่ที่นั่น นัยน์ตาสีเหลืองหม่นทั้งคู่มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงแม้ว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายจะยังค่อนข้างห่างไกล แต่ก็สามารถมองเห็นฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน
“เฉิงหาวหรือ ผู้ที่เจ้าพูดถึงก็คือผู้ที่ถูกคุมขังเอาไว้ที่ทะเลหุบเหวลึกผู้นั้นน่ะหรือ ถ้าหากเป็นเขา ก็เป็นข้าที่สังหารเองจริงๆ นั่นแหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางก้าวยาวๆ เช่นเดิม ทุกฝีก้าวล้วนสำแดงเคล็ดการหลบหนีก้าวข้ามผ่านระยะทางอันไกลโพ้นด้วยความเร็วสูงยิ่ง
สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเป็น ‘โลกกำเนิดขนาดเล็กจิ๋ว’ สองตน ต่อให้มิได้สำแดงความเร้นลับมากมาย ก้าวยาวๆ อย่างง่ายๆ ฝีก้าวก็ยาวจนเกินธรรมดาแล้ว
“คละถิ่นระดับโลกากำเนิดใหม่ก็มีพลังยุทธ์ช่วงกลางแล้วอย่างนั้นหรือ” ศิลาเคลื่อนที่เข้ามาพลางลอบคิดใคร่ครวญเงียบๆ ไปพลาง พวกเขาต่างก็ต้องตายหากแก่นชีวิตสูญสลาย ดังนั้นจึงยิ่งต้องระมัดระวัง สิ่งแรกที่ทุกคนต้องทำยามที่ขุดค้นสายโลหิตก็คือทำให้พลังคุ้มกันชีพขุดค้นไปถึงขีดสุด ผู้แกร่งกล้าในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านี้ ปกติแล้วในบรรดาด้านต่างๆ มากมายล้วนมีควา
แข็งแกร่งในด้านการคุ้มกันชีพเป็นที่สุด!
“ทำลายร่างแยกพลังรบหลักนี้ของเขาก่อนเถิด” ศิลามิได้รู้สึกถึงการคุกคามแต่อย่างใด
ระยะทางระหว่างทั้งสองฝ่ายหดเล็กลงอย่างฉับพลัน
“จ้าวหิมะเหิน อย่าได้สำแดงเคล็ดวิชาจากระยะทางไกล อย่าห่างไปไกลนักล่ะ” เทียนหลางเค่อถ่ายเสียงกล่าวอย่างร้อนรน
“จ้าวหิมะเหินระวังด้วย อย่าเข้าไปใกล้นักเลย” นักพรตฉื้อเฟิงเองก็ตกอกตกใจ “รักษาระยะห่างกับเขาเอาไว้ด้วย”
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้ให้ความสนใจแต่อย่างใด
ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงหดเล็กลงเช่นเดิม
“พรึ่บๆ” นัยน์ตาสีเหลืองหม่นของศิลาเต็มไปด้วยแววอาฆาต
“ชิ้ง”
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับจิตใจวูบไหวคราหนึ่ง ที่กลางทะเลแห่งการรับรู้ เงาร่างสายหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะชวนให้คนหลงใหลเสียยิ่งกว่าหยกแก้วคละถิ่นยืนอยู่ที่นั่น ซึ่งก็คือวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงรวมตัวปรากฏขึ้น นี่ก็คือวิญญาณของผู้แกร่งกล้าคละถิ่นระดับโลกา ถึงแม้ว่าจะแสดงสีสันของหยกแก้วคละถิ่น แต่ก็มีความอดกลั้นมากยิ่งกว่า อีกทั้งภายในยังมีแสงหม่นสลัวสายแล้วสายเล่าโคจรอยู่ด้วย แสงหม่นสลัวทุกสาย ถ้าหากวิเคราะห์ดูโดยละเอียดก็คือความเร้นลับจำนวนนับไม่ถ้วน กว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด
ทางสายวิญญาณนั้นเร้นลับเป็นอย่างยิ่ง
ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นโดยทั่วไปย่อมยากที่จะขุดค้นเอาวิธีการขั้นล้ำลึกที่แฝงอยู่ในวิญญาณออกมาได้
วิถีเขตลวงโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปถึงขีดสูงสุดแล้ว! ตรวจดูวิญญาณเพียงเล็กน้อยก็จะตระหนักรู้เคล็ดวิชามากมายที่ตนสามารถสำแดงได้ในทันทีแล้ว
“มา”
โลกลวงหม่นสลัวแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นที่บริเวณรอบๆ ห่อหุ้มอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ ความกว้างของอาณาเขตนั้นใหญ่กว่าเส้นผ่านศูนย์กลางโลกกำเนิดหลายพันเท่า ทั้งยังห่อหุ้ม ‘ศิลา’ ที่อยู่ห่างออกไปเอาไว้ภายในโลกลวงด้วย
นี่คือเคล็ดวิชาวิญญาณที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเป็นครั้งแรกหลังจากสำเร็จเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นแล้ว
ความเร้นลับที่แฝงเอาไว้ในกระบวนท่านี้เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสั่งสมด้วยตัวเอง เคล็ดวิชาที่สอดแนมตระหนักรู้จากวิญญาณในตอนนี้ก็คือเคล็ดวิชาระดับคละถิ่น! นอกจากนี้ยังสำแดงด้วยพลังวิญญาณคละถิ่นระดับโลกาอีกด้วย… พูดถึงพลังคุกคามก็ยังแข็งแกร่งกว่าตอนที่ยังเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
“หืม นี่มันเคล็ดวิชาอันใดกัน” ศิลารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาในทันใด โลกลวงที่ปรากฏขึ้นที่บริเวณรอบๆ กำลังฉุดลากวิญญาณของเขา
แก่นชีวิตของศิลากำลังสั่นสะเทือน
ต้านทานขัดขืนอย่างสุดความสามารถ
“ฆ่า” หอกยาวเล่มหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารเข้ามาในระยะประชิดต่อไป
“ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่แปลกประหลาดนัก เป็นเคล็ดวิชาที่จัดการกับวิญญาณ ข้าพบพานผู้แกร่งกล้าคละถิ่นระดับโลกามามากมายถึงเพียงนั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีผู้ที่เคล็ดวิชาวิญญาณน่าหวั่นเกรงถึงเพียงนี้มาก่อนเลย” ศิลารู้สึกตื่นตกใจ ถึงแม้ว่าในบรรดาผู้แกร่งกล้าคละถิ่นจะมีจำนวนหนึ่งที่สำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณ แต่พูดถึงพลังคุกคาม ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในบรรดาคละถิ่นระดับโลกาที่เขาเคยพบพานมาเลยทีเดียว
ขวับๆๆ…
สองฝ่ายประมือเข้าด้วยกันในทันใด
“โอ้ เหตุใดเคล็ดวิชาของศิลากลายเป็นแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้เล่า แม้ว่าพลังยุทธ์ครึ่งหนึ่งจะยังมิได้สำแดงออกมาเลย” เทียนหลางเค่อที่อยู่ระหว่างการเดินทางก็ชมดูการต่อสู้อยู่แล้วอดที่จะตื่นตระหนกมิได้
“พลังยุทธ์ของศิลานั้นอ่อนแอลงไปเป็นอันมาก มีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกลวงที่ปรากฏขึ้นมาแห่งนั้นหรือไม่ อืม พลังยุทธ์ของจ้าวหิมะเหินน่าจะไปถึงคละถิ่นระดับโลกาช่วงกลางแล้ว ตอนนี้ศิลาพลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล เขาน่าจะสามารถต่อสู้ซึ่งๆ หน้าได้แล้วล่ะ” นักพรตฉื้อเฟิงดูการต่อสู้อยู่ห่างๆ พลางทอดถอนใจคราหนึ่ง แต่ทันทีหลังจากนั้นก็สีหน้าแปรเปลี่ยน “แย่แล้ว! แย่แล้ว!”
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงและศิลากำลังห้ำหั่นกัน
ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของศิลาจะลดลงอย่างมหาศาล แต่ก็ยังคงแกร่งกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่หลายส่วน แต่ทั้งสองฝ่ายประมือกันไปเพียงแค่ไม่กี่สิบกระบวนท่าเท่านั้น หอกยาวฝีหอกเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สามารถสกัดรยางค์แปดเส้นของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ รยางค์สองเส้นของฝ่ายตรงข้ามเกี่ยวรัดหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ส่วนรยางค์ที่เหลืออีกหกเส้นก็แทรกเข้าไปในร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิง เมื่อทิ่มแทงเข้าไปแล้วก็แทรกผ่านไปฉุดลากได้อย่างง่ายดาย…
ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งหมดกลายเป็นผุยผงไปภายใต้พลังฉุดลากและสั่นสะเทือนอันบ้าคลั่งขุมหนึ่ง
ทำลายได้ในกระบวนท่าเดียว!
หอกยาวเล่มนั้นก็ตกมาอยู่ในอุ้งมือของศิลา
“อะไรกัน” มือข้างหนึ่งในบรรดามือแปดข้างของศิลากุมหอกยาวสีดำเล่มนี้เอาไว้ด้วยความสงสัยประหลาดใจอยู่บ้าง “เคล็ดวิชาคุ้มกันร่างกายของเขาอ่อนแอถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน ถึงขนาดที่ข้าทำลายร่างกายของเขาได้ภายในกระบวนท่าเดียวเลยหรือนี่”
อ้างอิงจากเหตุผลทั่วไป ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นคนหนึ่งสามารถขุดค้นเคล็ดวิชาต่างๆ นานาทุกด้านของตนเองได้ ถึงขนาดที่ขุดค้นทุกด้านทั้ง ‘คุ้มร่าง’ ‘ป้องกัน’ ‘ร่างกาย’ และในด้านการคุ้มกันชีพอื่นๆ อย่างสุดความสามารถ ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วต่อให้ร่างกายติดกับก็เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ปกติแล้วอีกฝ่ายจะต้องห้ำหั่นกันเนิ่นนานยิ่ง เมื่อเห็นท่าไม่ดีก็สามารถหนีไปได้ในทันที การสังหารนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย
อย่างเช่นเทียนหลางเค่อก็เคยประมือกับศิลามาก่อน! ก็ยังไม่สามารถฆ่าให้ตายได้เลย
******
การพ่ายแพ้ในชั่วพริบตาของตงป๋อเสวี่ยอิง ร่างแยกพลังรบหลักถูกทำลาย ทำให้นักพรตฉื้อเฟิงและเทียนหลางเค่อที่เดิมทีความหวังพุ่งทะยานนั้นตะลึงลานกันอยู่บ้าง
“ยังหวังว่าเขาจะสามารถถ่วงเวลาได้นานสักหน่อย แต่กลับถูกทำลายได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้” นักพรตฉื้อเฟิงและเทียนหลางเค่ออับจนคำพูดอยู่บ้าง
“ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นผู้แกร่งกล้าที่สำเร็จเป็นคละถิ่น เหตุใดจึงไม่ระมัดระวังเช่นนี้เล่า”
ผู้ที่สามารถสำเร็จเป็นคละถิ่นได้ มีคนโง่งมอยู่ด้วยหรืออย่างไร
แต่พฤติกรรมของตงป๋อเสวี่ยอิงทำให้พวกเขารู้สึกอับจนคำพูด
“ครืน”
…………