ตู๋กูเยว่อดกลั้นความโกรธในใจไว้ แล้วหันไปกุมมือคำนับเฉินโม่ “เฉินไต้ซือ นี่คุณ……”

ความจริง เมื่อกี้ตู๋กูเยว่ถือว่ายอมจำนนต่อเฉินโม่แล้ว

ตามหลักแล้ว ถ้าเฉินโม่ไม่อยากมีเรื่องกับตระกูลตู๋กูจนไม่ตายไม่เลิก ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็จะไม่ทำอะไรตู๋กูเยว่แล้ว

แต่อยู่ดีๆ ตอนนี้เฉินโม่กลับเรียกเขาไว้ นี่คิดจะไม่จบไม่สิ้นกับ ตระกูลตู๋กูรึไง?

เฉินโม่ไม่แม้แต่จะมอง ตู๋กูเยว่ แล้วพูดไปอย่างรวดเร็วว่า “พวกคุณไปได้ แต่เขาจำเป็นต้องอยู่ต่อ!”

เฉินโม่ชี้ไปที่หยูเปียวแล้วพูดออกมา น้ำเสียงนั่นทำเหมือนพวกตู๋กูเยว่เป็นแค่แมลงวันฝูงหนึ่ง แค่อยากไล่ออกไปเร็วๆ เท่านั้น

หยูเปียวรู้สึกใจหาย สายตาที่มองเฉินโม่ปรากฏความอำมหิตออกมาแวบหนึ่ง ท่าเฉินโม่คงไม่ยอมปล่อยฉันไปแล้ว

ตู๋กูเยว่ขมวดคิ้ว ดูท่าเฉินโม่คงไม่อยากไม่จบไม่สิ้นกับตระกูลตู๋กู แต่ถ้าจะทิ้งหยูเปียวไว้แบบนี้ ต่อไป ตระกูลตู๋กูต้องกลายเป็นตัวตลกของยุทธภพแน่

ถึงตอนนั้น ตระกูลตู๋กูของเขาต้องถูกครหาว่าเป็นพวกไม่รักษาคำพูดไร้สัจจะ ต่อไปใครจะกล้ามาหวังพึ่งตระกูลตู๋กูอีก

ตอนนี้ถือเป็นโอกาสอันดีของโลกบู๊โบราณ กองกำลังต่างๆ ของโลกบู๊โบราณต่างกำลังขยับขยายอย่างสุดกำลัง รวบรวมผู้มีความสามารถ ขยายอำนาจของตัวเอง ตระกูลตู๋กูก็ไม่ยกเว้น ดังนั้นในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ จะปล่อยให้ตระกูลตู๋กูถูกตราหน้าว่าเป็นพวกไร้สัจจะไม่ได้

ตู๋กูเยว่พูดพร้อมรอบยิ้มว่า “เฉินไต้ซือ คุณลุงหยูเป็นคนที่ตระกูลตู๋กูของผมพามา ถ้าพากลับไปด้วยไม่ได้ มันจะส่งผลเสียกับตระกูลตู๋กู ขอให้เฉินไต้ซือได้โปรดเห็นใจ ช่วยปล่อยเขาไปสักครั้งนะครับ!”

ตู๋กูเยว่วางตัวได้ต่ำมาก ถือว่าให้เกียรติเฉินโม่มากแล้ว แถมเขายังงัดต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลตู๋กูออกมา คนทั่วไปถ้าอยู่ต่อหน้าตระกูลตู๋กู ส่วนมากก็จะไว้หน้าตระกูลตู๋กูแล้วยอมปล่อยหยูเปียวไป

แถมในคำพูดของตู๋กูเยว่ยังเผยข้อมูลอีกอย่างให้เฉินโม่ด้วย นั่นก็คอครั้งนี้ให้ปล่อยหยูเปียวไปก่อน เพราะตระกูลตู๋กูเป็นคนพาเขามา ถ้าครั้งหน้าตกไปอยู่ในมือของเฉินโม่อีกตระกูลตู๋กูก็จะไม่เข้ามายุ่งแล้ว

การที่พูดแบบนั้นออกมา แม้แต่ตู๋กูเยว่เองยังรู้สึกเสียหน้า แอบคิดในใจว่าเฉินไต้ซือไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

แต่ว่า แนวทางการทำงานของเฉินโม่มีใครที่สามารถเทียบได้บ้าง?

เฉินโม่ขำออกมาอย่างไม่ให้เกียรติ แล้วพูดไปว่า “เกียรติของตระกูลตู๋กู ในสายตาของผมมันไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียว รีบไสหัวไปซะ เดี๋ยวถ้าผมเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา พวกคุณก็ไม่ต้องไปแล้ว!”

เฉินโม่แข็งกร้าวขนาดนี้ ก็เพื่อเปิดเผยให้คนในโลกบู๊โบราณได้รู้อย่างหนึ่งว่า : อย่ามาหาเรื่องฉัน ให้หน้าไหนก็ไม่ไว้หน้าทั้งนั้น!

ตู๋กูเยว่หน้าแดงขึ้นมาทันที เฉินโม่พูดแบบนี้มันเกิดไปแล้ว ถ้าขนาดนี้แล้วตู๋กูเยว่ยังจะทำ แบบนี้ต่อไปตระกูลตู๋กูก็ไม่มีที่ยืนในโลกบู๊โบราณแล้ว

พอหยูเปียวได้ยินเฉินโม่พูดอย่างนั้น สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ในใจกลับกำลังดีใจ “ถ้าคำเหยียดหยาบแบบนี้เจ้าหนูตู๋กูเยว่ยังทนได้ถ้าอย่างนั้นต่อไปตระกูลตู๋กูก็ไม่หน้าไปเจอใครแล้ว เขาไม่อยากเป็นศัตรูกับเฉินไต้ซือ แต่เฉินไต้ซือกลับไม่ไว้หน้าเลยสักนิด ฮ่าฮ่า!”

ตู๋กูเยว่เริ่มรำคาญมากขึ้น จ้องมองที่เฉินโม่ และพูดอย่างหมดความอดทน: “เฉินไต้ซือ อย่าทำเกินไป ถ้าคุณเอาคืนสิ่งที่คุณเพิ่งพูดและขอโทษผม ผมจะไม่ว่าอะไร!”

เฉินโม่พูดขัดตู๋กูเยว่ไปตรงๆ แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “สิ่งที่ผมพูดไปแล้ว ยังไม่เคยคืนคำมาก่อน ถ้าพวกคุณไม่อยากไป งั้นก็อยู่ต่อเลยแล้วกัน!”

“นี่คุณ……” ตู๋กูเยว่สีหน้าดุร้าย เฉินโม่บีบเขาจนถึงขีดสุดแล้ว “เฉินไต้ซือ เดิมผมไม่อยากมีเรื่องกับคุณ แต่คุณกลับบีบบังคับผม การที่คุณทำแบบนี้ คือคิดจะไม่จบไม่สิ้นกับตระกูลตู๋กูของผมสินะ!”

เฉินโมยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วพูดด้วยสีหน้าเยาะเย้ยว่า “ไม่จบไม่สิ้นกับตระกูลตู๋กูของคุณ คุณจะหลงตัวเองเกินไปแล้ว ต่อให้แปดตระกูลใหญ่ของพวกคุณเข้ามาพร้อมกันยังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะไม่จบไม่สิ้นกับผมเลย!”