ภาค 8 ทะยานฟ้า โอบกอดจันทร์ บทที่ 733 ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่ด้านนอกบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ มองร่องแยกมิติที่มีประกายแสงสาดส่องไปทั่วสี่ทิศเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ

สายตาเขาเหมือนเพ่งมองไปยังจุดเดียว แต่ความจริงเขาตั้งสมาธิอยู่รอบๆ คอยสังเกตการเคลื่อนไหวของต้นไม้ใบหญ้าอันน้อยนิด

ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอที่เลื่อนจากขั้นบรรลุธรรมเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ หรือร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่เลื่อนเป็นระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง ความสามารถในการสัมผัสทางด้านจิตใจต่างก็ไม่อาจดูแคลน

โดยเฉพาะตัวเขายังฝึกฝนคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต ความสามารถในการรับรู้จึงแข็งแกร่งกว่าเดิม

การรบกวนจิตใจของอีกฝ่ายหายไปในพริบตา

เยี่ยนจ้าวเกอไม่คิดว่าเป็นเพราะความรู้สึกหลอนของตัวเอง

เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เดียว คือมีคนอื่นกำลังทดลองปิดบังการรับรู้ของตนอยู่

อีกฝ่ายอำพรางได้ดีเท่าไร ก็หมายความว่าสถานการณ์อันตรายเท่านั้น

เพราะมันหมายความว่าอีกฝ่ายมีระดับพลังฝึกปรือสูงกว่า และมีพลังแกร่งกว่า จึงทำให้ความสามารถในการรับรู้ของตนได้รบผลกระทบ

‘คนที่ถูกข้าพบในตอนแรก แสดงความแค้น ความเป็นปฏิปักษ์ และจิตสังหารต่อเราอย่างรุนแรง ดังนั้นจึงถูกเราพบในทันที’

เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าเรียบเฉย ไตร่ตรองอย่างรวดเร็วในใจ ‘คนที่รู้จักข้าและมีความแค้นกับข้าอย่างชัดเจน ย่อมไม่ใช่ลูกศิษย์ขององค์ประมุขอาคเนย์ ไม่ใช่คนของหอกระบี่ทะเลเหนือ เกาะมนุษย์สำริด สำนักความมืด’

‘ถ้าไม่ใช่คนขององค์ประมุขอาคเนย์ ก็เป็นคนของสำนักแสงสว่าง คนของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องก็เป็นไปได้เช่นกัน’

‘สามารถบิดบังการรับรู้ของข้าได้ แสดงว่าพลังฝึกปรือไม่ต่ำทราม แต่กลับไม่ได้ลงมือทันที เช่นนั้นอาจจะเป็นเพราะไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะจับข้าได้ หรือไม่ก็มีแผนการอื่น คิดจะสังเกตการเคลื่อนไหวของเรา’

เยี่ยนจ้าวเกอชอบวางแผนเป็นฝ่ายบุก ดังนั้นจึงไม่ได้ถอยเพราะเรื่องแค่นี้ ยังคงให้ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกเข้าไปในบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์

เพียงแต่หลังจากร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกก้าวเข้าไปในร่องแยกมิตินั้นแล้ว ก็อดทนต่อแรงดันจากพลังแห่งเขตแดน ไม่ได้ล่วงลึกเข้าไป

ตรงกันข้าม ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกกลับหยุดอยู่ใกล้ประตูของบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ ต่อยหมัดออกอย่างฉับพลัน

พลังงานสั่นไหว บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์พลันกระเพื่อมขึ้นมา

การเปลี่ยนแปลงของบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่พวกคังฮูหยินเห็น ความจริงเป็นภาพลวงที่เยี่ยนจ้าวเกอสร้างขึ้นมาเอง

เยี่ยนจ้าวเกอมองบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่แสงสว่างสั่นระริก ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ จับตาดูการเคลื่อนไหวใกล้ๆ เพิ่มขึ้นอีก

ถึงแม้ว่าคังจิ่นหยวนจะใจร้อน ทว่าคังฮูหยินกลับสงบจิตใจ ยังคงรั้งทัพรอจังหวะบุก

กระนั้น จิตใจของเยี่ยนจ้าวเกอพลันมีคลื่นเบ่งบานออกมา

เขาอดหันไปมองที่ไกลออกไปไม่ได้ ที่ทิศทางนั้นพลันมีแสงสว่างไร้ประมาณส่องแสงระยิบระยับ ครอบคลุมท้องฟ้าครึ่งหนึ่ง เข้าใกล้บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์อย่างรวดเร็ว

‘จิตพลังเช่นนี้? คนของสำนักแสงสว่างหรือ?’ เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วขึ้นมา ‘คนที่สัมผัสได้เมื่อครู่ไม่น่าใช่พวกเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้แสดงว่าที่นี่มีศัตรูสองกลุ่มแล้ว’

คังฮูหยินสามแม่ลูกรู้สึกได้ถึงแสงสว่างที่เข้ามาใกล้จากที่ไกลออกไปเช่นกัน

คังฮูหยินเก็บกลิ่นอายโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย อำพรางคังเม่าเซิงและคังจิ่นหยวนไว้มิดชิดกว่าเดิม

หลังจากออกห่างมาไกล นางก็สัมผัสได้ว่าผู้มาไม่มีเจตนาดี กลุ่มของสำนักแสงสว่างมียอดฝีมือที่ไม่ด้อยกว่านางอยู่ด้วย

คังฮูหยินกลับไม่หวั่นเกรง เลือกอำพรางร่องรอยของตัวเอง การทำตัวเป็นนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง มองดูตั๊กแตนจับจั๊กจั่น[1]ได้ประโยชน์มากกว่า

แสงสว่างไร้สิ้นสุดครอบคลุมฟ้าดินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแผ่กระจายไปทั่วดินแดนหลวนเซียง คนกลุ่มหนึ่งพุ่งผ่านท้องฟ้า เข้าใกล้บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่อยู่ในบริเวณหนึ่งของดินแดนหลวนเซียงอย่างว่องไว

คนนำกลุ่มคือหญิงชราผมสีขาวโพลน สวมอาภรณ์สีขาว สีหน้าเคร่งขรึมคนหนึ่ง

นางถือคันฉ่องใบหนึ่งไว้ในมือ บนผิวคันฉ่องมีแสงสว่างเปลี่ยนแปลงไม่หยุด

นางดูเหมือนฮูหยินชราธรรมดาทั่วไป แจต่กลับเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่มีจำนวนน้อยนิดของสำนักแสงสว่าง ถานจิ่น เจ้าตำหนักแสงปรวนแปร มีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้า ขั้นเทวะสำแดงระยะกลาง

ที่ด้านข้างนางยังมียอดฝีมือสำนักแสงสว่างอีกหลายคน

พวกเขารีบมายังที่แห่งนี้ เพื่อรับพวกเจ้าสำนักหลัวจื้อเทากลับโลกซ้อนโลก

หลังจากการพังทลายของสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ พวกหลัวจื้อเทาที่เป็นยอดฝีมือในสำนักแสงสว่าง ได้ติดอยู่ในความวุ่นวายของกระแสปั่นป่วนของมิติเวลา

เมื่อไม่มีการช่วยเหลือจากงจักรมหาประกายกาฬ แม้จะเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงอย่างเช่นหลัวจื้อเทา คิดจะหนีออกมาในช่วงสั้นๆ กลับยากเหมือนปีนป่ายขึ้นสวรรค์ก็ไม่ปาน

แต่ว่าก่อนที่คนในสำนักแสงสว่างจะออกเดินทาง ก็ไม่ใช่ว่าไร้การเตรียมตัวโดยสิ้นเชิง

ไม่นานมานี้ พวกหลัวจื้อเทาแม้ว่าจะถูกขังอยู่ในกระแสปั่นป่วนของมิติเวลา แต่ก็ติดต่อกับยอดฝีมือในสำนักแสงสว่างที่เฝ้าอยู่บนโลกซ้อนโลกสำเร็จ ทดลองประสานในนอก เพื่อนำพวกเขากลับโลกซ้อนโลก

แต่ว่าพวกเขากลับจำเป็นต้องมาถึงบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่ดินแดนหลวนเซียง

ในอาณาเขตที่สำนักแสงสว่างควบคุมอยู่ ยังคงรักษาบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่เชื่อมไปยังโลกแปดพิภพไว้ แต่เพราะความปั่นป่วนของมิติเวลา ที่นี่กลับใช้การไม่ได้อีกแล้ว ทำให้พวกหลัวจื้อเทาและถานจิ่นรู้สึกหมดหนทาง

ถานจิ่นได้แต่พาคนมายังดินแดนหลวนเซียง ดีที่บนดินแดนหลวนเซียง ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องหรือสำนักความมืดล้วนไม่สนใจ อยู่ในสภาวะที่ไร้ผู้ใดยุ่งเกี่ยว

คนในสำนักแสงสว่างมาที่นี่เพื่อทำพิธี กลับไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะรบกวน

แต่เมื่อพวกเขามาถึงดินแดนหลวนเซียง กลับพบว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน

ตอนนี้พลันเกิดความรู้สึกเหมือนคู่แค้นพบกัน เกิดความเดือดดาลเป็นพิเศษ

ไม่ว่าจะเป็นเพราะความแค้นในอดีต หรือเป็นเพราะเยี่ยนจ้าวเกอกำลังขวางบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์อยู่ หลังจากความงงงันของพวกถานจิ่นหายไปแล้ว ก็พากันพุ่งเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกออย่างพร้อมเพรียงทันที!

‘ยังมีศัตรูอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่รู้ไปซ่อนที่ไหน คอยลอบสังเกตในที่ลับเพื่อรอฉกฉวยโอกาส…’ เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาขาว ‘ครั้งนี้ข้ามาตามหาคนในครอบครัว ไม่คิดจะรับมือกับพวกท่าน พวกท่านกลับยกพวกมาล้อมข้าหรือ?’

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้วเกอก็หมุนร่าง พุ่งเข้าไปในบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ทันที!

คนในสำนักแสงสว่างไล่ตามมาใกล้ ไม่รอพวกเขาทำการเคลื่อนไหวต่อไป บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่เคลื่อนไหวอย่างผิดปกติอยู่แล้ว กลับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงมากขึ้น

เยี่ยนจ้าวเกอเมื่อเข้าไปในบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ ก็พลันรู้สึกว่าพลังบิดเบี้ยวที่รุนแรงกำลังจะฉีกร่างของตน

พวกเฟิงอวิ๋นเซิง อาหู่ และเสี่ยวอ้ายในวังฝูงมังรที่ถูกตนใช้ญาณจริงแท้ม้วนเก็บและหดเล็กลง ต่างรู้สึกได้อย่างชัดเจนเช่นกัน

ชายหนุ่มส่ายหน้า รับพัดกระดาษไม้เจี้ยนมาจากร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก ใช้ของวิเศษชิ้นนี้คุ้มครองทุกคนไว้ด้วยกัน

เขากับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกหยุดอยู่ใกล้ๆ ประตูทางเข้าของบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ บังคับให้ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่หยุดอยู่ด้านในบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์สั่นสะเทือนมิติเวลา ทำให้ทุกอย่างทวีความสับสนเพิ่มขึ้นอีกขั้น

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกต่อยหมัดซ้ายออก ส่วนหมัดขวาขีดเขียนใส่ความว่างเปล่า

ลวดลายอาคมที่ลี้ลับซับซ้อนหลายสายปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน ลวดลายอาคมนับหมื่นนับพันซ้อนทับกัน เกิดเป็นค่ายกลที่น่าอัศจรรย์ค่ายหนึ่ง

เมื่อได้รับผลจากค่ายกลนี้ ร่องแยกมิติที่เปล่งแสงระยิบระยับถึงกับขยายตัวขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

เหมือนกับบาดแผลถูกฉีกให้กว้างกว่าเดิม

ที่ขอบของร่องแยกนี้ยังคงมีแสงอันสว่างไสวส่องวูบวาบ แต่ว่าในร่องแยกกลับเกิดสิ่งที่ดูเหมือนหลุมดำ มีแรงดึงดูดมหาศาลปรากฏขึ้นด้านใน

เพราะรับมือไม่ทัน ต่อให้เป็นยอดฝีมือมากประสบการณ์ที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้าเช่นถานจิ่น ก็ยังถูกหลุมดำดูดไว้

บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ยามนี้เหมือนกับกลายเป็นอสูรยักษ์ดุร้าย อ้าปากอันน่ากลัว กลืนกินจอมยุทธ์สำนักแสงสว่างที่อยู่ใกล้ๆ อย่างบ้าคลั่ง

พวกถานจิ่นพยายามหยุดยั้งท่าร่างของตัวเอง แต่กลับพบว่าพวกตนกับเยี่ยนจ้าวเกอเฉียดไหล่กัน

นี่ทำให้คนในสำนักแสงสว่างโมโหควันออกหูอย่างอดไม่ได้

เยี่ยนจ้าวเกอกับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกยังหยุดอยู่ในบริเวณขอบของร่องแยกที่แสงครอบคลุมอยู่ ใกล้กับประตูร่องแยกอย่างชัดเจน

………………..

[1] ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง สุภาษิตจีน เป็นการเปรียบเปรยถึงผู้ที่ไร้การวางแผน มักหวังผลในระยะสั้น โดยที่ไม่ระวังผลร้ายที่อาจจะตามมาในภายหลัง รวมถงใช้กระทบกระเทียบถึงผู้ที่คิดจะคิดบัญชีกับผู้อื่น แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองก็กำลังถูกเพ่งเล็งอยู่เช่นกัน