บทที่ 1619 อารามแปดทิศ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

นี่ก็คือข้อดีของการอยู่ที่ตลาดผี ถ้าตัวอยู่ที่อื่น โดยถ้าอยู่ที่กองทัพองครักษ์ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนก็ไม่มีทางถือวิสาสะออกไปเองได้เลย แน่นอน ถ้าเขาจะแอบไปก็ไม่มีใครทำอะไรได้เช่นกัน แต่ถ้าอยู่ที่ตลาดผี ไม่ได้ถูกควบคุมหลายระดับชั้น ทำให้สะดวกและอิสระกว่าเยอะ เดิมทีจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็มีไว้เฉยๆ อยู่แล้ว

ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ อารามขนาดใหญ่มหึมาหลังหนึ่งกำลังลอยเงียบเชียบอยู่กลางอากาศ เปล่งรัศมีสีทองอ่อนๆ ออกมา

ยิ่งใหญ่อลังการ! ไม่มีทางบรรยายระดับความยิ่งใหญ่อลังการของวัดนี้ได้ กลิ่นอายความโบราณเรียบง่ายโผเข้ามาแต่ไกลๆ

วัดนี้ชื่อว่าอารามแปดทิศ สาเหตุที่เรียกว่าอารามแปดทิศ ก็เป็นเพราะรูปแบบของวัดนี้ ทั้งแปดทิศล้วนมีประตูหลักของวัด ประตูหลักของทั้งแปดทิศหน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง ไม่ว่าอารามแห่งนี้จะหมุนไปอย่างไร แต่ก็จะต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยประตูหลักเสมอ

วัดนี้ใหญ่โตขนาดไหนกัน? พอคนมาถึงหน้าประตูก็ไม่ต่างอะไรจากฝุนผงแล้ว

อารามแปดทิศก็คือทางเข้าแดนสุขาวดี ข้างในซ่อนประตูดวงดาวเอาไว้แห่งหนึ่ง ส่วนจะใช้วิธีการอะไรซ่อนประตูดวงดาวเอาไว้ในนั้น พระอาจารย์จี้คงก็อธิบายได้ไม่ชัดเจนเช่นกัน เอาเป็นว่าแค่นี้ก็สามารถพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของอารามแปดทิศได้แล้ว

อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นทางเข้าเดียวที่โลกภายนอกจะเข้าสู่แดนสุขาวดีได้ พอพวกเหมียวอี้เดินทางเข้ามาใกล้ ก็จะเห็นศิษย์สำนักพุทธจำนวนไม่น้อยที่ไปมาหาสู่กับที่นี่

ถึงแม้ชาวพุทธจะมีชีวิตที่สงบสุข แต่ถ้าพูดถึงสถานการณ์ของทางเข้าออกอารามแปดทิศ ก็ยังมีแบ่งระดับด้วย เหมียวอี้ไม่ได้เข้าประตูที่มีคนเยอะที่สุด แต่ขึ้นไปทางระตูข้างบนที่มีนน้อย

ตามที่พระอาจารย์จี้คงบอก เขาเองก็ได้ขึ้นประตูข้างบนไม่บ่อยเหมือนกัน ก่อนหน้านี้แค่เคยติดตามพระชั้นผู้ใหญ่ของแดนพุทธมาก็เลยผ่านได้ ครั้งนี้นับว่าได้อาศัยบารมีของเหมียวอี้แล้ว สาเหตุก็ย่อมเป็นเพราะเหมียวอี้เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว

เหมียวอี้บอกตระกูลโค่วแล้วว่าจะมาแดนสุขาวดี เขาไม่ได้อยากบอก แต่ช่วยไม่ได้ที่ครั้งก่อนโค่วเจิงได้เตือนเขาไว้แล้ว บวกกับหลังจากมาถึงแดนสุขาวดีแล้วคงปิดหูปิดตาอ๋องสวรรค์โค่วได้ลำบาก ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถปิดบังตัวตนได้เมื่อเข้าสู่แดนสุขาวดี เป็นไปไม่ได้ที่พระอาจารย์จี้คงจะช่วยเขาปิดบังตัวตนเพื่อพาเข้ามา ทำได้เพียงบอกตระกูลโค่วไว้ล่วงหน้า

ตระกูลโค่วไม่ได้จำกัดอิสระของเขา ในเมื่ออยากไปเปิดหูเปิดตาที่แดนสุขาวดี แล้วทางแดนสุขาวดีมีธุระพอดี ให้เหมียวอี้ไปเป็นตัวแทนสักครั้งก็ถือว่าเหมาะสม

แดนสุขาวดีจัดงานวันเกิดครบรอบสองแสนปีให้ ‘พระโพธิสัตว์’ ท่านหนึ่ง เดิมทีตระกูลโค่วจะต้องส่งคนมา บังเอิญว่าเหมียวอี้ต้องการจะไปพอดี การให้ลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วไปร่วมงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์ที่มีระดับเทียบเท่าเทพประจำดาว ก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทอะไร จึงถือโอกาสไปเสียเลย ทางตลาดผีมีของหายากมาเรื่อยๆ ย่อมมีคนเตรียมเป็นของขวัญวันเกิดให้เหมียวอี้พกมาด้วยอยู่แล้ว

พอพวกเขาเข้าใกล้อารามแปดทิศ ก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดที่เกิดจากการหมุนวนของอารามแปดทิศ

เมื่อเหยียบลงหน้าประตูวัดที่ใหญ่โตมโหฬาร ก็มีคนรอต้อนรับอยู่ข้างนอกแล้ว เป็นนักบวชหญิงคนหนึ่งที่อยู่ระดับพระอาจารย์ใหญ่ บนใบหน้าไร้เครื่องประทินโฉม หน้าตาธรรมดา สวมจีวรตัวใหญ่หลวม มองไม่ออกว่ามีรูปร่างเป็นอย่างไร

นักบวชหญิงหัวโล้นไม่ได้พูดอะไรกับเขามาก ที่น่าสนใจก็คือหลายคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากข้างหลังนางกำลังมองมาทางนี้

หวงฝู่เยี่ยนจากสมาคมวีรชน ด้านหลังคือหวงฝู่ตวนหรงลูกสาวของเขา อู่หนิงลูกเขยของเขา และหวงฝู่จวินโหรวหลานสาวของเขา

ครอบครัวนี้มาร่วมอวยพรวันเกิดให้พระโพธิสัตว์ท่านนั้น หวงฝู่เยี่ยนกับพระโพธิสัตว์ท่านนั้นค่อนข้างสนิทกัน ย่อมต้องมาอยู่แล้ว

เดิมทีหวงฝู่เยี่ยนก็ไม่ได้คิดจะพามาทั้งครอบครัวเช่นกัน หวงฝู่ตวนหรงเองก็ไม่ได้อยากมาด้วย แต่ใครจะไปคิด ว่าอู่หนิงจะบอกว่าอยากพาลูกสาวมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อย นางยังนึกว่าอู่หนิงอยากจะจับตาดูการไปมาหาสู่ระหว่างหวงฝู่เยี่ยนกับพระโพธิสัตว์ท่านนั้นเสียอีก จนกระทั่งมาถึงแล้วได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วก็จะมาด้วย นางก็ปวดหัวทันที

นางไม่รู้ชัดว่าลูกสาวอยากจะมาเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือสามีอยากจะมาจับตาดูตระกูลหวงฝู่ อยู่ที่นี่ไม่สะดวกจะถาม

สิ่งที่ทำให้นางลำบากใจที่สุดก็คือ พอหวงฝู่เยี่ยนบิดาของนางได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังจะมาถึง ก็เหมือนสนใจอยากจะพบหน้าสักครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะรอเข้าไปด้วยกัน อู่หนิงสามีของนางก็เห็นด้วยเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าสนใจอยากจะเห็นหนิวโหย่วเต๋อ ทำเอานางพูดไม่ออกเลย แต่นางก็ไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวกับหนิวโหย่วเต๋ออีก

สิ่งที่ทำให้นางแค้นจนกัดฟันกรอดยิ่งกว่านั้นก็คือท่าทีของหวงฝู่จวินโหรว เจ้าเวรที่มันทำให้คนปวดหัวกลับมายืนอยู่ด้านนั้นราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“โหรวโหรว เจ้ารู้จักหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปทักทายสักหน่อยล่ะ?” เมื่อเห็นพวกเหมียวอี้กำลังกล่าวทักทายกับผู้ที่มาต้อนรับ จู่ๆ หวงฝู่เยี่ยนก็เอียงหน้าบอกใบ้ เจตนาชัดเจนมาก ต้องการให้หลานสาวพาทำความรู้จัก

หวงฝู่ตวนหรงถลึงตาใส่ลูกสาว แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น ตอบว่า “ค่ะ!” เสียงดังฟังชัดแล้วเดินไปทางเหมียวอี้แล้ว

“นายท่านนหนิว!” หวงฝู่จวินโหรวก้าวขึ้นมาย่อตัวคำนับ

เหยียนซิวที่ยืนอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ปวดประสาทนิดหน่อย มองเหมียวอี้ด้วยสายตาจนใจ ยอมแพ้ท่านนี้แล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้ยังแปลกใจว่าตระกูลโค่วไม่มีคนอื่นแล้วเหรอ ทำไมถึงให้เหมียวอี้มาร่วมงานวันเกิดได้ ที่แท้ก็เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้จะมาด้วยนี่เอง สองคนนี้คงไม่ได้แอบนัดกันมาที่แดนสุขาวดีหรอกใช่มั้ย? สำรวมหน่อยไม่ได้รึไง?

เหมียวอี้ชำเลืองมองหวงฝู่ตวนหรงที่กำลังจ้องมาทางนี้ด้วยสายตาเตือนภัย เขารู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย กลุ้มใจนิดหน่อยเช่นกัน บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้เจอกันในงานเลี้ยง จะมารออยู่ที่นี่กันทำไม? เจ้ายังกล้าวิ่งมาทักทายอีกเหรอ?

“ผู้จัดการหวงฝู่” เหมียวอี้พยายามกุมหมัดคารวะเหมือนไม่เป็นอะไร เมื่ออยู่ต่อหน้าฝูงชนเขาไม่สะดวกจะถ่ายทอดเสียงคุยส่วนตัวกับหวงฝู่จวินโหรว

ทั้งจากทั้งสองทำความเคารพกันแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ย่อมช่วยแนะนำตามประสงค์ของท่านตา ทั้งคู่เดินตามกันเข้าไป

เหมียวอี้ไม่ลืมที่จะหันกลับไปถ่ายทอดเสียงบอกเหยียนซิวว่า “ครั้งนี้บังเอิญเจอกัน”

คำพูดนี้ให้ความรู้สึกว่า ‘ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง[1]’ เหยียนซิวทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่รู้เหมือนกันว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ

ถ้าจะบอกว่าบังเอิญก็บังเอิญ ถ้าจะบอกว่าไม่บังเอิญก็ไม่บังเอิญ เป็นเพราะหวงฝู่จวินโหรวเปลี่ยวเหงาจนทนไม่ไหว ถ้าไปแอบนัดเจอกับเหมียวอี้ที่ตลาดผี เหมียวอี้ก็ย่อมปฏิเสธอยู่แล้ว และตัดสินใจจะคัดค้านการแอบนัดเจอกันในอาณาเขตตัวเอง อ้างเรื่องที่จะต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดที่แดนสุขาวดีมาบอกปัดนาง

ได้! หวงฝู่จวินโหรวก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน เจ้าไปงานวันเกิดได้ ข้าก็ไปงานวันเกิดได้เหมือนกัน เหมียวอี้พูดไม่ออกเลย ทำได้เพียงตอบตกลงว่าจะเจอกันในงานเลี้ยง

แต่ว่ากันตามจริง ถึงแม้เหมียวอี้จะกลัวว่าตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรวจะก่อเรื่อง แต่ก็เฝ้าคอยจะได้พบเจอกับความเร่าร้อนดั่งไฟของผู้หญิงคนนี้มาก แค่คิดถึงก้นขาวอวบนั่นเขาก็รู้สึกร้อนผ่าวในใจแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกหวงฝู่ตวนหรงแล้วจริงๆ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาเขาก็ไม่สามารถจะจบเรื่องนี้ไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าไปมีเรื่องกับสมาคมวีรชนไม่ไหว เพราะอวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน ต่อให้โดนตีตายเขาก็ไม่กล้าให้อวิ๋นจือชิวรู้เรื่องของเขากับหวงฝู่จวินโหรว

ไม่ใช่ว่าเขาสู้ไม่ชนะอวิ๋นจือชิว แต่เป็นเพราะเรื่องบางเรื่องนั้นขาดเหตุผลในการแก้ตัว อวิ๋นจือชิวกำลังเป็นตัวประกันอยู่ทางนั้น แต่เขากลับแอบลักกินขโมยกินลับหลัง แบบนั้นจะยืดอกเถียงได้ก็แปลกแล้ว ถ้าโดนซ้อมขึ้นมาก็ไม่ต้องพูดถึงการโต้ตอบเลย คาดว่าแม้แต่ความมั่นใจในการกล่าวแก้ตัวสักประโยคก็ไม่มีด้วยซ้ำ

ตอนนี้เขากำลังอกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าหวงฝู่จวินโหรวอยากจะเล่นบ้าอะไรอีก เขากังวลสุดๆ ว่าหวงฝู่จวินโหรวจะเปิดโปงเรื่องระหว่างพวกเขา

โชคดีที่ผลไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ เพียงแค่ทำความรู้จักก็เท่านั้นเอง เสียแรงที่ตกใจ

เขาส่งสายตาที่แฝงความหมายล้ำลึกให้เหยียนซิวอีกครั้ง ราวกับกำลังบอกว่า ‘เห็นมั้ยล่ะว่าข้าไม่ได้หลอกเจ้า บังเอิญเจอกันจริงๆ’

จะมองเห็นอารมณ์อะไรจากใบหน้าเหยียนซิวได้ล่ะ ไม่มีปฏิกิริยาอะไร!

จากนั้นคนสองกลุ่มก็แยกกัน มีผู้นำทางมาพาคนของตระกูลหวงฝู่ไปก่อน ปฏิกิริยาของหวงฝู่จวินโหรวทำให้เหมียวอี้วางใจ สงบเสงี่ยมและรักษาระยะห่างกับเหมียวอี้ เล่นละครได้เนียนมาก!

สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้กับหวงฝู่ตวนหรงโล่งใจมาก

พอแยกกันแล้ว เหมียวอี้ยังอยากเดินชมอารามแปดทิศก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ไม่อยากเดินร่วมกับตระกูลหวงฝู่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งเช่นกัน

นักบวชที่คอยนำทางได้พาพวกเขาเข้ามาข้างในอย่างสุภาพ ในมือถือคำสั่งที่ทำให้ผ่านได้ตลอดทาง พาไปเยี่ยมชมด้านในของอารามแปดทิศด้วยตัวเอง มีหลายจุดมากที่แม้แต่พระอาจารย์จี้คงเองก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้เห็น เห็นได้ชัดว่าการมีตระกูลโค่วหนุนหลังได้แสดงบทบาทแล้ว

ในอารามแปดทิศคล้ายกับเขาวงกตขนาดใหญ่ ถ้าไม่มีคนที่คุ้นเคยนำทางก็จะต้องหลงทางแน่นอน เรียกได้ว่าเป็นวัดที่อยู่ในวัด ข้างในมีวัดใหญ่วัดเล็กอยู่จำนวนมาก ไม่รู้ว่ามีพระสงฆ์มากเท่าไรพักอยู่ในนี้ จะเรียกว่าเป็นผู้พิทักษ์ทางเข้าแดนสุขาวดีก็ได้

สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ทุกที่ในวัดเหมือนจะเต็มไปด้วยกลไก บางเส้นทางเดินไปถึงปลายทางแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าถูกกำแพงปิดไว้สนิทแล้ว แต่พอนักบวชใช้มือกดลงไปบนตัวอักษรไม่กี่ตัวบนผนัง ก็ทำให้ผนังเปิดโล่งทันที เห็นเส้นทางข้างหน้าอีกแล้ว

ระหว่างทางถึงขั้นเห็นกับตาว่าทั้งตัวอารามกำลังเคลื่อนย้าย หรือไม่ทั้งตัวอารามก็จมลงและหายไป โครงสร้างกลไกที่ใหญ่ขนาดนี้ทำให้คนรู้สึกทึ่งและประหลาดใจจริงๆ

เมื่อเห็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็อยากจะเดินไปดูข้างหน้าต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่กลับถูกนักบวชที่นำทางตะโดนห้ามไว้ทัน “แม่ทัพภาคหนิว ถึงแม้ชาวพุทธจะจิตใจดีมีเมตตา แต่ก็ไม่ขาดวัชรสยบมาร ที่นี่มีกลไกสงบสุข ทุกที่เต็มไปด้วยกลไกที่อันตรายถึงชีวิต ถ้าไม่มีคนนำทางก็อย่าบุกไปไหนซี้ซั้ว!”

เหมียวอี้มองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง

สรุปก็คือเมื่อเดินไปเรื่อยเปื่อยเพียงไม่กี่รอบ ก็พบว่าทั้งอารามแปดทิศก็เหมือนกับของวิเศษขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง ขณะที่เหมียวอี้ตกตะลึง ก็เอ่ยถามขึ้นระหว่างทางว่า “ไต้ซือ เกรงว่าอารามแปดทิศแห่งนี้เหมือนจะไม่ต่างอะไรกับของวิเศษ ของวิเศษใช้โตขนาดนี้ เวลาเคลื่อนไหวคงจะสิ้นเปลืองจนน่าตกใจมากเลยใช่มั้ย?”

เมี่ยวฉุนนักบวชที่นำทางตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องให้อาตมาอธิบายหรอก เดี๋ยวตอนหลังแม่ทัพภาคหนิวก็ย่อมรู้เอง”

“อ้อ!” เหมียวอี้พยักหน้า ทำท่าเหมือนเฝ้ารอดู

เมื่อมาถึงบริเวณศูนย์กลางของอารามแปดทิศ และเป็นจุดที่ครอบคลุมประตูดวงดาวอย่างแท้จริง เหมียวอี้ถึงได้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เข้าใจแหล่งทรัพยากรที่ขับเคลื่อนอารามแปดทิศแล้ว

มีฟันเฟืองรูปเกลียวขนาดใหญ่ที่สบกันจำนวนมากกำลังหมุนวนเสียงดังกึกๆ ไม่หยุด เมี่ยวฉุนพาพวกเขาเดินมาบนจานกลมใบหนึ่งที่หมุนวนค่อนข้างช้า เป็นจานที่อยู่ระหว่างฟันเฟืองที่เป็นเพลาหมุนรูปเกลียว ขณะมองดูฟันเฟืองใหญ่ตรงหน้ากำลังบดอัดเข้ามาแล้วสบกันพอดี ก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ ทำให้มีความคิดอยากจะหาที่หลบ

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นเมี่ยวฉุนกับจี้คงทำสีหน้าเรียบเฉย เหมียวอี้ก็ต้องสงสัยแน่นอนว่าตัวเองโดนลอบวางแผนร้าย

โชคดีที่ตรงระหว่างฟันเฟืองขนาดใหญ่สองอันที่สบกันยังมีพื้นที่วางเพียงพอ คาดว่าให้ยืนพร้อมกันหนึ่งหมื่นคนก็ยังไม่มีปัญหา

หลังจากตำแหน่งยืนของทุกคนย้ายไปตามจานกลมที่อยู่ใต้เท้าพอสมควร แรงดึงมหาศาลกลุ่มหนึ่งก็พลันแทรกซึมเข้ามา ดึงพวกเขาให้ไถลบนผิวโลหะ เมี่ยวฉุนโบกมือคว้ากระสวยทองออกมาและปล่อยลำแสงครอบทุกคนเอาไว้ ทำให้แรงดึงมหาศาลคลายออกทันที

ฟันเฟืองที่สบกันก็มีรอยแยกรอยหนึ่งทันที ชั่วพริบตานั้นลำแสงที่ครอบพวกเขาเอาไว้ก็ดูดพวกเขาออกไปแล้ว

ตรงหน้าก็คือประตูดวงดาวสีกำที่กำลังหมุนวน เหมียวอี้รีบหันกลับไปมองเพลาหมุนหนาแน่นที่หมุนวนไม่หยุดข้างหลังแวบหนึ่ง เข้าใจแล้วว่าแหล่งพลังที่ขับเคลื่อนอารามแปดทิศก็คือแรงดึงมหาศาลของประตูดวงดาว ไม่รู้จริงๆ ว่าทำออกมาได้อย่างไร

ลำแสงที่ครอบคลุมหายไปแล้ว ตัวของพวกเขามาอยู่ที่ดาราจักรอีกผืนหนึ่งแล้ว

…………………………

[1] ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง 此地无银三百两 หมายถึง อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้