บทที่ 821 ความหวังของตระกูล

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

หลังจากผ่านประสบการณ์ที่พวกเห็นสิ่งต่าง ๆ ในห้วงภวังค์ พวกเขาทุกคนก็รู้สึกตื่นเต้น ยกเว้นก็แต่หลินหรูซวนที่มีดวงตาแดงก่ำ แต่ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมาให้คนอื่น ๆ เห็น

ตอนนี้นางรู้สึกเศร้าเป็นอย่างมาก แต่ในใจของนางอีกฝั่งหนึ่งก็พยายามปลอบตัวเองว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่ภาพมายาที่หลอกหลอนนางเท่านั้น ดังนั้นนางจึงยังไม่ปักใจเชื่อเต็ม 10 ส่วน

แต่อย่างน้อย ๆ ในตอนนี้นางก็เริ่มที่จะยั้งใจของนางเองได้แล้ว

ภาพที่นางเห็นตอนนั้นมันรุนแรงเกินไป ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการคิดทบทวนอะไรหลายอย่างให้มากขึ้น

ในทางกลับกัน ถังจุนเหรินกลับรู้สึกตื่นเต้นในเรื่องของอำนาจหอคอยเสียงสวรรค์มากกว่า เพราะมันเป็นดั่งที่ตำนานเล่าขานกันจริง ๆ เขาอยากจะได้รับประสบการณ์แบบนี้อีกหลายรอบ ๆ เพื่อให้ตัวของเขาแข็งแกร่งขึ้น แต่น่าเสียที่เขาเองก็บังคับอะไรเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน ส่วนภาพมายาในห้วงภวังค์ที่เขาเห็นนั้น เขาแทบไม่ได้รู้สึกอะไรเลยกับสิ่งที่เขาเห็น เพราะเขาตั้งใจที่จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องตื่นเต้นอะไร

“พวกเรานี่โชคดีจริง ๆ ที่มีโอกาสได้สัมผัสกับตำนานของหอคอยเสียงสวรรค์แบบนี้!” หลินเหรินเจี๋ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น “พี่อู๋ ข้าเกรงว่าวันนี้ข้าคงต้องขออภัยท่านด้วยจริง ๆ เพราะข้าคงไม่สามารถพาท่านชมรอบ ๆ เกาะต่อได้อีกแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับไปแจ้งท่านปู่และคนอื่น ๆ ให้รู้ในเรื่องนี้ก่อนทันที”

หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ข้าเองต้องขอบคุณเจ้าจริง ๆ ที่พาข้ามาที่นี่จนทำให้ข้าได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย แถมยังทำให้ข้าวาดภาพสิ่งต่าง ๆ ที่ทรงอำนาจได้หลายอย่าง เอาล่ะข้าขอแบ่งภาพวาดที่ข้าเพิ่งวาดเสร็จให้กับเจ้าเพื่อเป็นการขอบคุณ ส่วนเจ้าสาวน้อย เจ้าอยากได้สักภาพไหมเพื่อเอาไว้ปกป้องตัวเอง?”

หลินหรูซวนมองหลิงตู้ฉิงด้วยหางตา จากนั้นนางก็เดินลงบันไดไปในทันทีไม่รอถังจุนเหรินเหมือนในตอนแรก

คนอื่น ๆ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ค่อย ๆ เดินลงบันไดตามกันไป เหลือแค่ถังจุนเหรินที่รั้งท้ายเพราะเขาเอาแต่ขมวดคิ้วจ้องหอคอยเสียงสวรรค์อยากรู้วิธีควบคุมมันแทบใจจะขาด แต่เมื่อรู้ว่าจ้องไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเขาจึงค่อย ๆ เดินลงบันไดไปเหมือนกัน และตั้งใจว่าจะรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อของเขา

หลังจากทุกคนลงมาจากหอคอยเสียงสวรรค์ หลินเหรินเจี๋ยก็ไปส่งหลิงตู้ฉิงที่เรือนรับรอง จากนั้นตัวเขาก็ไปหาหลินหงเหวินเพื่อแจ้งข่าวเรื่องหอคอยเสียงสวรรค์

ส่วนทางด้านถังจุนเหรินก็รีบกลับไปที่เรือนของเขาเพื่อแจ้งเรื่องหอคอยเสียงสวรรค์กับพ่อของเขา ถังเหวินหลี่เหมือนกัน “ท่านพ่อตำนานของหอคอยเสียงสวรรค์นั้นเป็นเรื่องจริง วันนี้ข้าประสบมากับตัวข้าเองเลย!”

ถังเหวินหลี่ ซึ่งกำลังนั่งหลับตาบ่มเพาะอยู่นั้นลืมตาขึ้นทันทีและรีบถามขึ้นว่า “หืม? เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ? ไหนเจ้าลองเล่ามาสิ!”

หลังจากนั้นถังจุนเหรินก็เล่าทุกอย่างจนหมด ซึ่งถังเหวินหลี่ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าตื่นเต้นและพูดว่า “ไม่เสียแรงเลยจริง ๆ ที่ข้ายอมเสียเวลาอยู่ที่นี่ 200 กว่าปี! เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะต้องรีบกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้กับนายน้อยรู้ให้เร็วที่สุด!”

“แต่ท่านพ่อ หากท่านจะออกไปจากตระกูลหลินตอนนี้มันจะดูไม่น่าสงสัยงั้นเหรอ ข้าคิดว่าอีกไม่นานตระกูลกงก็คงจะมาโจมตีที่นี่แล้ว หากท่านไม่อยู่ข้าเกรงว่ามันจะดูมีพิรุธเป็นอย่างมาก และอีกอย่างพวกเราต้องช่วยตระกูลหลินให้รอดจากภัยพิบัตินี้ก่อน ไม่เช่นนั้นอนาคตพวกเราจะเข้าถึงหอคอยไม่ได้ง่าย ๆ แบบนี้” ถังจุนเหรินเตือนขึ้น

ถังเหวินหลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาพูดว่า “ไม่เป็นไร เรื่องปกป้องตระกูหลินเดี๋ยวข้าจะให้คนอื่นจัดการแทน ว่าแต่เรื่องของเด็กสาวตระกูลหลินกับเจ้าตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว? ด้วยความสัมพันธ์ของนางกับเจ้ามันยิ่งทำให้แผนของเราง่ายขึ้น เจ้ารู้ใช่ไหม?”

ถังจุนเหรินยิ้มและตอบกลับ “ข้ามั่นใจว่านางไม่หลุดไปจากเงื้อมมือของข้าแน่นอน แต่ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้มีชายหนุ่มที่อ้างว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์จิตรกรปรากฏกายขึ้นและที่สำคัญตอนที่หอคอยเสียงสวรรค์นั่นส่งพลังออกมา ไอ้เจ้าจิตรกรนั่นก็อยู่ด้วย ซึ่งข้าคิดว่ามันแปลกมาก ๆ แถมมันยังบอกอีกว่ามันชอบหลินหรูซวน และก่อนหน้านี้มันมอบสมบัติให้นางไปแล้วถึง 2 ชิ้น ซึ่งมันทำให้ข้ากังวลเล็กน้อยว่าสถานการณ์ต่าง ๆ อาจจะไม่แน่นอนเหมือนอย่างที่เคยเป็น”..

หลินหรูซวนนั้นไม่เคยปิดบังอะไรเขา ดังนั้นเขาจึงรู้ได้จากปากของนางว่าหลิงตู้ฉิงมอบสมบัติให้กับนางแล้วถึง 2 ชิ้น

อันที่จริงหากเขาไม่รู้ว่าหอคอยเสียงสวรรค์มันมีอำนาจเหมือนที่ในตำนานเล่าขานเอาไว้จริง ๆ เขาก็คงไม่สนใจรายละเลียดเล็กน้อยแบบนี้

แต่ตอนนี้เมื่อตำนานของหอคอยเสียงสวรรค์เป็นความจริงและเขาอยากได้มัน ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเอาหลินหรูซวนมาเป็นของเขาให้ได้เร็วที่สุด เพื่อที่เขาจะได้ใช้นางในการยึดครองตระกูลหลินอย่างช้า ๆ

เมื่อได้ยินลูกชายตัวเองพูดเช่นนี้ ถังเหวินหลี่จึงครุ่นคิดอยุ่ครู่หนึ่งและพูดว่า “งั้นเจ้าจงรีบไปหาฤกษ์ยามมาเพื่อที่เมื่อถึงเวลาข้าจะได้ไปคุยกับหลินหงเหวินเรื่องการแต่งงานของเจ้ากับหลินหรูซวน ข้าคิดว่าเขาไม่น่าจะกล้าปฏิเสธหากลูกสาวของเขายืนยันว่าจะแต่งกับเจ้าให้ได้จริง ๆ”

“ได้เลยท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าคงต้องหวังพึ่งท่านแล้ว!” ถังจุนเหรินหัวเราะ

ที่อีกด้านหนึ่ง หลินหงเหวินเมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดจากหลินเหรินเจี๋ย เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นเต้นอะไรมากนัก

ต้องรู้ว่าเขาเป็นผู้นำของตระกูลมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าตระกูลของเขามีความลับอะไรซ่อนอยู่บ้าง เขาจึงทำเพียงแค่ยิ้มและตอบกลับ “ข้าเคยบอกเจ้านานแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าหากเจ้าว่าง ๆ เจ้าก็ควรไปที่หอคอยเสียงสวรรค์บ่อย ๆ เพื่อบ่มเพาะที่นั่น นี่แสดงว่าเจ้าไม่เคยไปเลยใช่ไหม? เอาล่ะเจ้าจงเอาเรื่องนี้ไปบอกกับคนอื่น ๆ เถอะ และอย่าลืมบอกให้พวกเขาแวะเวียนกันไปบ่มเพาะที่หอคอยเสียงสวรรค์กันด้วยล่ะ”

“ข้าจะไปบอกคนอื่น ๆ เดี๋ยวนี้ท่านปู่!” หลินเหรินเจี๋ยตอบรับทันที

หลังจากหลินเหรินเจี๋ยจากไป หลินหงเหวินก็ถอนหายใจและพึมพำกับตัวเองว่า “เฮ้อ…ท่านพ่อนะท่านพ่อ ทำไมตอนนั้นท่านไม่บอกข้ามาตรง ๆ เลยว่าตระกูลของพวกเรานั้นมีที่มาที่ไปที่ยิ่งใหญ่แบบไหน…ท่านเอาแต่บอกว่าตระกูลของพวกเรามีอดีตที่ไม่ธรรมดา แต่ท่านกลับไม่ให้รายละเอียดอะไรข้าเพิ่มเลย ท่านเอาแต่ย้ำคำของท่านปู่ซ้ำ ๆ ว่าพวกเราจะรู้เองเมื่อคนของตระกูลเราทะลวงระดับขึ้นไปถึงระดับนภาคราม แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมาไม่มีสักคนในตระกูลที่ใกล้เคียงจะไปถึงจุดนั้นเลย แล้วข้าจะทำยังไงดี?”

ถึงแม้ว่าหลินเหรินเจี๋ยจะเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องป้ายที่ไร้ชื่อ ซึ่งวางคู่กับบรรพบุรุษของเขา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าของป้ายนั้นคือใคร การที่เขาจะรู้ได้นั้นบรรพบุรุษของเขาได้สั่งเสียไว้ว่าจะต้องให้ผู้ที่มีระดับพลังเหนือกว่าระดับนภาครามมาไขความลับนี้ออก

น่าเสียดายที่เงื่อนไขนี้มันยากเกินไปจริง ๆ เพราะด้วยทรัพยากรบ่มเพาะอันน้อยนิดที่มีอยู่ในอาณาเขตหนานหัว เอาแค่ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญหรือขอบเขตสวรรค์ระดับ 4 ก็แทบจะไม่มีแล้วในอาณาเขตหนานหัว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องพูดระดับนภาครามหรือขอบเขตสวรรค์ระดับ 7 ซึ่งทั้งอาณาเขตไม่มีเลยสักคน!

อันที่จริงแม้แต่อาณาเขตรอบ ๆ ที่มีทรัพยากรมากกว่าพวกเขาก็มีผู้เชี่ยวชาญระดับนภาครามอยู่ไม่เกิน 10 คนเหมือนกัน…

แต่แล้วตอนนี้หอคอยเสียงสวรรค์กลับมีปฏิกิริยาขึ้นมากับลูกหลานของเขา ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะมีความหวังขึ้นมาลึก ๆ ว่า ลูกหลานของเขาอาจจะได้รับความช่วยเหลือจากหอคอยเสียงสวรรค์จนทำให้พวกเขาสามารถบรรลุระดับนภาคราม และจากนั้นความลับของตระกูลเขาอาจจะได้เปิดเผยออกมา!

ในระหว่างที่หลินหงเหวินกำลังวางแผนอานาคตให้กับหลินเหรินเจี๋ย ทางด้านของหลินเหวินปิงและคนอื่น ๆ ในครอบครัวก็กำลังง่วนอยู่กับการจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งเขาได้สั่งให้หลินหรูซวนไปตามหลิงตู้ฉิงมาร่วมงานเลี้ยงของพวกเขา

อันที่จริงมันไม่ใช่ว่าหลินเหวินปิงไม่รู้ว่าลูกสาวของเขาไม่ได้ชอบหลิงตู้ฉิงสักเท่าไหร่ แต่ด้วยคุณสมบัติที่คู่ควรของหลิงตู้ฉิง ดังนั้นด้วยการที่เขาเป็นพ่อที่อยากให้ลูกสาวของตัวเองได้ดีและสุขสบาย เขาจึงพยายามทำทุกวิถีทางให้หลิงตู้ฉิงและลูกสาวของเขาลงเอยกันให้ได้ และยิ่งไปกว่านั้นหลิงตู้ฉิงก็ดูเหมือนจะสนใจลูกสาวของเขาเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงมีความหวังมากเข้าไปใหญ่

ส่วนทางด้านหลินหรูซวนกลับไม่แสดงท่าทีอิดออดเลยเมื่อพ่อของนางสั่งให้นางไปตามหลิงตู้ฉิง ซึ่งมันค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องแปลกเป็นอย่างมากเพราะปกติแล้วนางจะไม่มีวันเป็นแบบนี้!