ตอนที่ 1094 กวีบทใหม่

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1094 กวีบทใหม่

“ดี ! เช่นนั้นคงต้องให้ฝ่าบาทประพันธ์กวีให้สักบทแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ต่างพากันปรบมือโห่ร้องขึ้นมา พวกเขาหรี่ตาลงพลางจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วครุ่นคิดในใจว่าเจ้าหมอนี่มีพรสวรรค์ด้านการประพันธ์กวีเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าก็จริง ทว่าบัดนี้เขาเมามายมากแล้ว ดังนั้นเขายังสามารถประพันธ์กวีได้อยู่อีกหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มเข้าไปอึกใหญ่ เขามิได้ปฏิเสธคำร้องขอของเมิ่งซี

ในเมื่อออกมาเที่ยวทั้งทีก็ต้องสนุกให้สุดเหวี่ยง !

เขามิได้รู้สึกสนุกสนานเช่นนี้มานานเท่าใดแล้วนะ ?

แน่นอนว่าจะทำให้ทุกคนเบื่อหน่ายหมดสนุกมิได้เป็นอันขาด

“ข้ายังคงยืนยันคำเดิมว่าเรื่องประพันธ์กวีนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับข้า จงเตรียมกระดาษมา ! ”

เมิ่งซีรู้สึกยินดีมากยิ่งนัก ส่วนคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินดังนั้น ต่างก็เบิกตากว้างมองเขา เจ้าหมอนี่ยังสามารถประพันธ์กวีออกมาได้อยู่อีกหรือ ?

เขาขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิมานานหลายปี ทั้งยังเป็นจักรพรรดิที่ยอดเยี่ยมยิ่ง จึงทำให้ทุกคนลืมไปแล้วว่าเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการประพันธ์เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า

ต่อให้เมื่อครู่เขาได้ประพันธ์กวีที่ยอดเยี่ยมออกมาแล้วบทหนึ่ง แต่ทุกคนก็ล้วนคิดว่ากวีบทนั้นเป็นบทกวีที่เขาแต่งขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว

ทว่าเมื่อดูท่าทางของเขาในตอนนี้…ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถประพันธ์มันออกมาได้อย่างง่ายดายจริง ๆ

เมิ่งซีปูกระดาษลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ทำการฝนหมึกแล้วจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีรอคอย

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้จับพู่กันขึ้นมา “แม่นางช่วยเขียนแทนข้าหน่อยเถิด ! ”

“เพคะ หม่อมฉันจะเขียนแทนให้”

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองไปทางคนอื่น ๆ “พวกเจ้ากล้าพนันกับข้าหรือไม่ ? ”

“พนันอันใดกัน ? ”

“หากข้าประพันธ์กวีหนึ่งบท พวกเจ้าต้องดื่มสุราหนึ่งจอก เห็นเป็นอย่างไรบ้าง ? ”

เอ่อ นี่มัน…เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ มองหน้ากันไปมา แน่นอนว่านี่มิใช่ปัญหา กวีหนึ่งบทกับสุราหนึ่งจอกเยี่ยงนั้นหรือ ทุกคนในที่นี้แม้เมื่อครู่จะดื่มไปมากหน่อย แต่หากจะดื่มเพิ่มอีกสิบหรือยี่สิบจอกก็มิใช่ปัญหา ว่าแต่เขาสามารถประพันธ์กวีออกมาอีกสิบหรือยี่สิบบทได้จริง ๆ หรือ ?

ต่อให้เป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งในใต้หล้าก็คงมิอาจประพันธ์กวีออกมานับสิบบทได้ในเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน หากว่าเขาทำได้จริง…เขาคงมิใช่มนุษย์แล้ว !

ฉินโม่เหวินลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “แม่นางเมิ่งซีเป็นกรรมการตัดสิน ทุกบทกวีที่ฝ่าบาทประพันธ์ขึ้นมา พวกข้าจะดื่มสุราหนึ่งจอก ! ”

“ตกลง ! ” เมิ่งซีตาลุกวาวขึ้นมาทันใด นี่ถือเป็นเรื่องที่ดีมากยิ่งนัก !

หากว่าในคืนนี้ฝ่าบาทสามารถประพันธ์กวีได้สักสามหรือห้าบท ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงมากแล้ว

กวีเหล่านี้ข้าเป็นผู้เขียนแทนฝ่าบาทและข้าจะเป็นผู้ที่ขับร้องออกมาคนแรก บัดนี้อายุของข้าก็มากขึ้นแล้ว ตำแหน่งดาวเด่นคาดว่าจะรักษาไว้มิได้แล้ว แต่หากมีบทกวีที่ฝ่าบาทประพันธ์ขึ้นมา…ที่หอหลิวหยุนแห่งนี้จะยังมีผู้ใดมาแย่งตำแหน่งของข้าไปได้อีกเล่า !

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเสียงดัง เขายกสองมือขึ้นมาแล้วเอ่ยกับทุกคนว่า “พวกเจ้าอย่าได้คิดว่าข้าดื่มสุราไปมิน้อย ข้าจะบอกกับพวกเจ้าว่าในวันนี้ทุกคนอย่าได้คิดจะออกจากห้องนี้ ! ”

คอยดูเถิด ข้าจะประพันธ์กวีจนกว่าพวกเจ้าจะเมามาย !

“เตรียมตัวให้ดี ข้าพร้อมแล้ว ! ”

มิมีผู้ใดเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถประพันธ์กวีออกมาได้หลายบท

ต่อให้เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ต่อให้เขาคือเทพเหวินฉวี่ซิงลงมาจุติ ทว่าการที่สามารถประพันธ์กวีออกมาได้สักสามสี่บทก็นับว่าดีมากแล้ว มอมสุราเยี่ยงนั้นหรือ…ประเดี๋ยวก็รู้ว่าผู้ใดจะมอมผู้ใดกันแน่

พวกเขาเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน การที่ได้ฟังกวีของฟู่เสี่ยวกวนก็นับว่าเป็นสุขมากเเล้ว เนื่องจากหลายปีมานี้หลังจากที่เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิก็มิได้เห็นเขาประพันธ์กวีอีกเลย

ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปเบื้องหน้าสองก้าว แม่นางเมิ่งซีกุมพู่กันเอาไว้เสียจนใจเต้นตึกตัก ส่วนคนอื่น ๆ พากันจับจ้องไปที่ร่างของฟู่เสี่ยวกวน

“กวีบทแรกมีนามว่า เจียงเฉิงจื่อ ล่าสัตว์ในมี่โจว”

“ข้ากล่าวถึงความทะเยอทะยานในหนุ่มสาว มือซ้ายจูงสุนัข มือขวาจับเหยี่ยวไว้

ด้วยหมวกงามสง่าสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ นำพากองทัพมุ่งผ่านเนินเขาดุจมุ่งมั่นดั่งพายุ…

ข้าตัดสินใจง้างคันธนูดุจจันทรานั้น มองไปยังตะวันตกเฉียงเหนือ ยิงดาวเทียนหลางจนตกลง ! ”

เขาเอ่ยออกมาจนจบบทในคราเดียว ทุกคนในห้องพากันตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง ล้วนรับรู้ได้ถึงพระปรีชาสามารถของฝ่าบาทจากนั้นก็พากันปรบมือขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน

“ยอดเยี่ยมยิ่ง ไพเราะยิ่งนัก พวกข้าต้องดื่มให้แก่กวีบทนี้อย่างแน่นอน ! ”

“นี่คือจอกที่หนึ่ง ต่อไปเชิญฟังกวีบทที่สอง ผีเสื้อรักบุปผา ชุนจิ่ง”

“ดอกผกาแดงเริ่มร่วงเหี่ยว กิ่งก้านยังคงเขียวชอุ่ม

ฝูงนางแอ่นบินไป ธารน้ำใสไหลริน…

เสียงหัวร่อนางเริ่มจางหาย ข้าถูกทำร้ายโดยสตรีที่เย็นชา”

นี่คือกวีบทที่สองและแตกต่างไปจากบทแรกมากยิ่งนัก จากความฮึกเหิมแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนรายล้อมไปด้วยความรัก ความแตกต่างนี้ทำให้ทุกคนแทบจะหยุดหายใจลงตรงนั้น

“จอกที่สอง รีบดื่มเร็วเข้า ! ต่อไปคือกวีบทที่สาม มองดูเจียงหนาน จ้าวหรานถาย”

“ใบไม้ผลิมิเคยเก่า ลมพัดบางเบา ต้นหลิวพลิ้วเอน

ข้าขึ้นไปยังจ้าวหรานถาย สอดส่ายมองดูน้ำพุแห่งเมืองผกา ท่ามกลางสายฝน ผู้คนมืดมน

เชงเม้งเลยผ่าน ตื่นจากสุราทำได้เพียงถวิลหาบ้านเกิด

หยุดเถิดหยุดนึกถึงบ้านเก่า จงต้มกาใส่ชาใหม่ เร่งดื่มสุราประพันธ์กวีในยุคศิวิไลซ์”

“ยอดเยี่ยมยิ่ง ! เร่งดื่มสุราประพันธ์กวีในยุคศิวิไลซ์ ! นี่คือจอกที่สาม พวกเราจงร่วมกันดื่ม ! ”

“ต่อไปกวีบทที่สี่…”

“…บทที่แปด ! ”

“…บทที่ยี่สิบ ! ”

เมิ่งซีแทบจะมิได้วางพู่กันลงเลยด้วยซ้ำ นางเหลือบมองไปยังแท่นฝนหมึกพบว่าหมึกใกล้หมดแล้ว นางจึงรีบเรียกบ่าวรับใช้คนหนึ่งมาฝนหมึก ส่วนเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ เมื่อดื่มสุรา 20 จอกลงท้องไปแล้ว ผู้ใดจะยังทนได้อีกเล่า !

ฝานเทียนหนิงยอมแพ้คนแรก “ช้าก่อน ๆ ! ! ”

เขายอมแพ้แล้วจริง ๆ บัดนี้เขาได้รู้แล้วว่างานชุมนุมวรรณกรรมที่เขาหานซานในปีนั้น ฟู่เสี่ยวกวนหาได้จริงจังแต่อย่างใด

ผู้มีพรสววรค์เป็นเยี่ยงไรน่ะหรือ ?

ก็เป็นเยี่ยงเขานี่ไงเล่า เขาคือผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง !

เขาผู้นี้มิต้องแม้แต่จะครุ่นคิด ก็สามารถเอ่ยออกมาได้อย่างง่ายดาย ทั้งหมดล้วนเป็นกวีที่ยอดเยี่ยมทั้งสิ้น !

เขาผู้นี้…หากว่ามิได้เป็นองค์จักรพรรดิ คาดว่าชื่อเสียงคงจะโด่งดังไปถึงสรวงสวรรค์ !

“ข้า…ข้ายอมแพ้แล้ว ! ข้าดื่ม เอิ้ก ! ดื่มเข้าไปมากมายเสียเหลือเกิน ข้าเชื่อ เชื่อคำเอ่ยเจ้าแล้ว…เป็นจริงดังที่เจ้าว่า การประพันธ์กวีสำหรับเจ้าช่างง่ายดายมากยิ่งนัก ! ”

ฝานเทียนหนิงได้เป็นตัวแทนกล่าวความรู้สึกของทุกคนออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยอมแพ้เนื่องจากหากดื่มต่อไปคงมิไหวแน่

“ข้าว่า…เจ้าช่างเป็นพ่อค้าที่ดินที่แปลกเสียจริง ความจริงเจ้าควรจะชำนาญด้านการเพาะปลูกมากกว่าสิ แท้ที่จริงเรื่องเพาะปลูก เจ้าก็เก่งกาจไร้ซึ่งผู้ใดเทียบเคียงได้ มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถขจัดความทุกข์ยากด้านอาหารของราษฎรในใต้หล้าได้ ทว่าเรื่องของกวีนั้น… อ้อจริงสิ ! เจ้ายังมีกวีอีกหกบทที่ถูกจารึกไว้บนหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง ในคืนนี้ข้าได้รับรู้อย่างถ่องแท้แล้วว่า…ข้าเยี่ยนซีเหวินมิคู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้กับเจ้า ! ”

“เอาเถิด ๆ เจ้าจงเก็บกวีเหล่านั้นเอาไว้ให้ดี คราหน้า… คราหน้าพวกเรามาสู้กันใหม่ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “ยอมแพ้แล้วหรือ ? ”

ทุกคนล้วนพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน ผู้ใดจะมิยอมแพ้กัน ? ต่อให้พาอันธพาลข้างถนนมา พวกเขาก็คงจะยอมแพ้อย่างแน่นอน !

“เอาเถิด ๆ ยอมแพ้แล้วก็ดี มา ๆ ๆ พวกเรามาดื่มร่วมกันอีกสักจอก ! ”

ทุกคนยกจอกสุราขึ้นมา เมื่อสุราไหลลงท้อง ฟู่เสี่ยวกวนก็กลับมาฮึกเหิมอีกครา “ข้าจะร้องเพลงให้พวกเจ้าฟัง ! ”

“เจ้าร้องเพลงเป็นด้วยหรือ ? ” หยุนซีเหยียนเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง

“แหะ ๆ ข้ามิได้จะขับร้องบทกวีหรอกนะ แต่…เอาเป็นว่ามันคือเพลง”

ใต้หล้านี้หาได้มีผู้ใดเคยฟังฟู่เสี่ยวกวนร้องเพลงมาก่อน !

แม่นางเมิ่งซีฉีกยิ้มกว้าง นางรีบหยิบพู่กันขึ้นมา สายตาของเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ล้วนจับจ้องมาที่ฟู่เสี่ยวกวน

“ในวันนี้ ข้าจะขับร้องเพลง ‘สหาย’ ให้แก่พวกเจ้าทุกคนได้ฟัง พวกเจ้าจงจำเอาไว้ว่า ทุกคนล้วนเป็นสหายของข้าตลอดไป ! ”

มิมีเสียงบรรเลงประกอบ…มิมีแม้แต่เนื้อเพลง แล้วจะเอาเสียงบรรเลงมาจากที่ใดเล่า ?

ฟู่เสี่ยวกวนหยิบตะเกียบขึ้นมาเคาะเป็นจังหวะ

“หนึ่งปีที่ผ่าน เพียงลำพัง

ฝ่าลม ฝ่าพายุฝน

มีน้ำตา มีความผิดพลาด จำได้หรือไม่ว่ายืนหยัดเพื่อสิ่งใด ?

……

สหายเดินไปตามทางด้วยกันจนชั่วชีวิต ช่วงเวลานั้นมิมีอีกแล้ว

ประโยคหนึ่ง แต่ทั้งชีวิต

หนึ่งความรู้สึก สุราหนึ่งจอก

……”

“ข้า…ฟู่เสี่ยวกวน เมื่อต้าเซี่ยดำเนินอยู่บนความมั่นคงตามแผนพัฒนาเมื่อใด พวกเจ้าจงจำเอาไว้ว่ายังมีพ่อค้าที่ดินแห่งเมืองหลินเจียงอยู่อีกคน”