ตอนที่ 1095 ในค่ำคืนนั้น

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1095 ในค่ำคืนนั้น

ฟู่เสี่ยวกวนร้องเพลง ‘สหาย’ ออกมาเสียงดัง

ทุกถ้อยคำที่เขาเปล่งออกมาล้วนเป็นความรู้สึกที่อยู่ลึกในก้นบึ้งของจิตใจ เมื่อเพลงนี้จบลง พวกเขาต่างก็ตกตะลึงมากยิ่งนัก เพราะพวกเขามิเคยได้ยินทำนองเช่นนี้มาก่อน มันเป็นบทเพลงที่แตกต่างออกไป แต่ก็ไพเราะมากยิ่งนัก

เมื่อได้ฟังเพลงนี้ พวกเขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าในจิตใจของฝ่าบาทนั้น…โดดเดี่ยวมากยิ่งนัก !

เขาปรารถนาจะย้อนเวลากลับไปในช่วงที่เขายังเป็นอิสระ หวนคืนสู่วันแห่งความสุข ดั่งที่เขาเอ่ยว่า ประโยคหนึ่ง แต่ทั้งชีวิต หนึ่งความรู้สึก สุราหนึ่งจอก !

เยี่ยนซีเหวินจ้องมองไปยังร่างของฟู่เสี่ยวกวน ค่ำคืนนี้ทุกคนได้ชนจอกสุราพลางสนทนาเปิดใจกันอย่างมีความสุขราวกับพวกเขาได้กลับไปเหมือนแต่ก่อน

แล้ววันพรุ่งนี้เล่า ?

วันพรุ่งนี้เขาต้องกลับไปยังวังหลวงแล้วแสดงบทบาทจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยต่อไป

บทบาทนี้ถูกลิขิตให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แม้ว่าทุกคนในห้องนี้จะยังถือว่าเขาเป็นสหายของเขา แต่ก็เป็นได้เพียงแค่ส่วนลึกในใจเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วพวกเขาล้วนเป็นข้าราชบริพารที่เคารพเขา

ย่อมมิมีผู้ใดกล้าเรียกขานองค์จักรพรรดิว่าพี่น้องในที่สาธารณะอย่างแน่นอน แม้แต่เยี่ยนซีเหวินที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฟู่เสี่ยวกวนมากที่สุดก็มิอาจเรียกได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะต้องรักษาค่ำคืนล้ำค่านี้ไว้ อย่าพึ่งคิดถึงวันพรุ่งนี้เลย

ในราตรีนี้ฟู่เสี่ยวกวนและเหล่าสหายดื่มสุราด้วยกันอย่างสนุกสนานที่หอหลิวหยุนจนถึงช่วงยามจื่อ ในห้องเทียนหยุนมีเพียงหลิวจิ่นที่คอยดูแลอยู่ข้าง ๆ หนิงซือเหยียนที่ได้สติคอยรักษาความปลอดภัยให้กับฟู่เสี่ยวกวน ส่วนคนอื่น ๆ มึนเมาจนนอนหลับไปแล้ว

ทุกคนเมาสุราจนหลับไป ดูเหมือนว่าจะไปที่คฤหาสน์จิ้งหูกันมิไหวแล้ว

……

……

ผู้คนในห้องเทียนอินที่อยู่ห้องถัดไปต่างก็แยกย้ายกันไปเนิ่นนานแล้ว ทว่ามิรู้เพราะเหตุใดเถิงหยวนจี้เซียงถึงยังมิยอมกลับเสียที

นางกำลังบรรเลงฉินและดื่มสุราอย่างเงียบเหงาเพียงลำพังภายในห้องเทียนอิน

เมื่อเล่นฉินจนจบเพลง นางก็ยกสุราจอกสุดท้ายขึ้นมาดื่ม จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป

วันพรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่เพื่อกลับไปยังหยวนตงเต้า วันนี้ได้เห็นเขาเป็นคราสุดท้ายในระยะไกลเพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้ว

นางกำลังจะเดินไปถึงส่วนปลายของระเบียงยาว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง “ท่านแม่ทัพหนิง เจ้าอยู่ดูแลตรงนี้ก่อน ข้าจะไปสั่งให้ซานเหนียงจัดเตรียมห้องพัก นี่คงจะกลับกันมิได้แล้ว”

“ได้ ! ”

หลิวจิ่นรีบเดินออกไปทันใด เขาได้พบกับเถิงหยวนจี้เซียงเข้าพอดี หลิวจิ่นจึงชะงักไปครู่หนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน ? ”

เถิงหยวนจี้เซียงยิ้มน้อย ๆ พลางตอบว่า “พอดีข้าจัดงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าพ่อค้าที่นี่น่ะ”

หลิวจิ่นหันกลับมาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ฝ่าบาท… คือ…ฝ่าบาททรงดื่มสุรามากจนเกินไป เจ้าช่วยอันใดหน่อยได้หรือไม่ ? ”

หัวใจของเถิงหยวนจี้เซียงกระตุกขึ้นมาทันใด จากนั้นก็ก้มศีรษะลงแล้วเอ่ยว่า “ได้ ! ”

“เจ้าเดินตามข้ามา”

หลิวจิ่นพาเถิงหยวนจี้เซียงมาหาเว่ยซานเหนียง จากนั้นเว่ยซานเหนียงก็พาทั้งสองคนขึ้นมาบนชั้นสามซึ่งเป็นห้องพักขนาดใหญ่หรูหราและสง่างาม

“ข้าจะไปประคองฝ่าบาทขึ้นมา ส่วนเจ้า…ไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเถิด”

“อือ ! ”

หลิวจิ่นรีบเดินลงไปที่ห้องเทียงอิง จากนั้นก็ประคองฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมาที่ชั้นสามโดยมีหนิงซือเหยียนคอยช่วยอยู่อีกข้าง

เมื่อเดินเข้ามาในห้องหนิงซือเหยียนก็เห็นแผ่นหลังของสตรีผู้นั้นนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน เขาจึงจ้องมองไปที่หลิวจิ่นซึ่งกำลังส่ายศีรษะให้เขา

หนิงซือเหยียนยกยิ้มอย่างรู้ทัน จากนั้นก็ประคองฟู่เสี่ยวกวนไปที่เตียงนอน

หลิวจิ่นเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังของเถิงหยวนจี้เซียง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า“แม่นางโปรดดูแลฝ่าบาทให้ดี”

“อืม…”

ทั้งสองหันหลังเดินออกไป จากนั้นก็ปิดประตูอย่างมิดชิด ทันใดนั้นหนิงซือเหยียนก็เอ่ยถามออกมาว่า “จะปลอดภัยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“วางใจเถิด เป็นผู้ที่เคยรู้จักกับฝ่าบาท”

“เช่นนั้นให้เว่ยซานเหนียงต้มซุปสร่างเมาสักหน่อยดีหรือไม่ มิเช่นนั้นยามราตรีในฤดูใบไม้ผลินี้…”

“เป็นความคิดที่ดี ไปกันเถิด…พวกเราต้องลงไปจัดการเหล่านายท่านที่เหลือให้เรียบร้อย”

สถานการณ์บนชั้นสาม เว่ยซานเหนียงมิเพียงแต่นำซุปสร่างเมามาให้เท่านั้น นางยังพาสาวใช้สองคน น้ำอุ่น ๆ และของใช้ต่าง ๆ เข้ามาอีกด้วย

นางจ้องมองไปที่เถิงหยวนจี้เซียง “เชิญแม่นางปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทให้จงดี ! ”

มีหิมะตกหนักที่ด้านนอก แสงเทียนในห้องนั้นได้ส่องสว่างขึ้นมาอีกครา

หนิงซือเหยียนในฐานะคนเฝ้ารักษาความปลอดภัยให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน ตลอดทั้งคืนนั้นเขานั่งอยู่บนหลังคาชั้นสามของฝั่งตรงข้ามโดยมีดาบขนาดใหญ่วางเอาไว้ข้างกาย

เขาบิดฝาสุราออก จากนั้นก็ค่อย ๆ ดื่มมันเข้าไป และเฝ้าสังเกตสถานการณ์อย่างระมัดระวัง

ภายใต้หิมะที่ตกหนัก เขายกยิ้มขึ้นมาบาง ๆ และเพิ่งจะตระหนักได้ว่าองค์จักรพรรดิเองก็มีเรื่องราวความสัมพันธ์ที่โรแมนติกอยู่เช่นกัน

แสงเทียนสีแดงพลิ้วไหว มุ้งสีแดงเต้นระบำตลอดทั้งคืน

ฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ในอาการมึนเมาได้ดื่มซุปสร่างเมาเข้าไป เขาได้รับการปรนนิบัติรับใช้จากเถิงหยวนจี้เซียง ทำให้อาการมึนเมาของเขายังมิหายดี และเขาก็มิได้อ่อนโยนดังเดิม

มันรุนแรงราวกับพายุหิมะ เถิงหยวนจี้เซียงเหมือนดั่งลูกแกะที่กำลังถูกเขาย่ำยี นางจะต้องแบกรับพายุลูกนี้เอาไว้ให้ได้

นางเหมือนกับเรือเล็กลำหนึ่งที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามคลื่นลมทะเลที่โหมซัดสาด

แสงเทียนดับลง เหลือเพียงโคมไฟดวงเดียวที่ยังคงส่องสว่างอยู่

สถานการณ์ในห้องสงบลง เถิงหยวนจี้เซียงได้โอบกอดฟู่เสี่ยวกวนที่เหนื่อยล้าจากกิจกรรมเมื่อครู่ บัดนี้เขาได้เข้าสู่ห้วงภวังค์แห่งความฝันไปแล้ว ราวกับเด็กน้อยก็มิปาน มือของเขาวางเอาไว้ในตำแหน่งที่พอเหมาะ ทว่ามิค่อยอยู่นิ่งเท่าใดนัก

ทำให้นางมิได้นอนทั้งคืน จนกระทั่งยามเหม่า นางจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน แล้วเดินมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นก็หยิบหวีขึ้นมาแล้วค่อย ๆ หวีไปที่ผมอย่างระมัดระวัง

นางม้วนผมขึ้นสูงแล้วติดปิ่นปักผมลงไป

จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน แล้วมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนซึ่งยังนอนอยู่บนเตียง รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของนาง

“สามี ข้าต้องไปแล้ว ขอบคุณยิ่งนักและลาก่อน ! ”

……

……

ในยามเฉิน ฟู่เสี่ยวกวนลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ส่ายศีรษะเบา ๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมากุมศีรษะซึ่งยังมีอาการเมาค้างอยู่

เขาลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ที่นี่คือที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ?

เมื่อคืน… ใช่ ! เมื่อคืนตนดื่มสุราเยอะไปหน่อยเลยมิได้กลับไปยังวังหลวง

ฟู่เสี่ยวกวนเลิกผ้าห่มขึ้น ทันใดนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน เฮ้อ…นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?

เขารีบสวมเสื้อผ้าแล้วเดินไปเปิดประตู เห็นตุ๊กตาหิมะนั่งอยู่บนหลังคาฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็พึมพำออกมาเบา ๆ ว่าลำบากเจ้าแล้ว หนิงซือเหยียน

“หลิวจิ่น ! ”

“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ ! ฝ่าบาททรงรอสักประเดี๋ยว อาหารเช้าจะเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”

หลิวจิ่นรีบวิ่งแจ้นเข้ามาทันใด “ฝ่าบาท…โปรดตามกระหม่อมไปอาบน้ำเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“เมื่อคืนนี้เกิดอันใดขึ้นกัน ? ! ”

“ทูลฝ่าบาท สตรีที่ปรนนิบัติรับใช้พระองค์เมื่อคืนนี้ มิทราบว่าฝ่าบาททรงลืมแล้วเยี่ยงนั้นหรือ นางคือเถิงหยวนจี้เซียงแห่งหยวนตงเต้าพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน เขานึกออกแล้ว จากนั้นก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยถามออกมาว่า “นางอยู่ที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“นางเอ่ยว่าจะขึ้นเรือไปยังหยวนตงเต้าในรอบเช้าสุด ดังนั้นนางน่าจะเดินทางจากไปแล้ว บ่าวสมควรตาย ที่มิได้หยุดนางเอาไว้ ! ”

กลับไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองไปยังเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนตามท้องนภาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ละสายตากลับมาแล้วเอ่ยว่า “กลับวังหลวงกันเถิด”

“จะมิทานอาหารเช้าที่นี่สักหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“ให้เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ทานอาหารที่นี่เถิด ส่วนพวกเรากลับกันเถอะ”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในรถม้า บัดนี้ความรู้สึกของเขากำลังตีรวนอยู่ในอก เขาคิดว่าที่เถิงหยวนจี้เซียงจากไปก็ถูกต้องแล้ว จากนี้ไปจะมิมีความสัมพันธ์อันใดต่อกันอีก ทว่าเขากลับรู้สึกว่าตนเองนั้นพ่ายแพ้ที่มิสามารถทำให้แม่นางผู้นั้นอยู่ต่อได้

เฮ้อ…ความหลงไหลแต่แค้นเคืองอย่างไร้ความปราณี และผืนปฐพีมิไร้เท่าใบพุทรา

ปล่อยนางไปเถิด…

เถิงหยวนจี้เซียงที่กำลังจะเดินทางไปยังท่าเรือเจียงเฉิง ได้เลิกผ้าม่านในรถม้าขึ้นปล่อยให้สายลมเย็นจากหิมะพัดมากระทบกับใบหน้าของนาง

อยู่ ๆ นางก็หัวเราะออก พลางครุ่นคิดในใจว่าเมื่อคืนช่างเป็นค่ำคืนที่วิเศษมากยิ่งนัก !

ทว่าน่าเสียดายที่มิได้อยู่ข้างกายเขาตลอดไปเพราะนางมิอาจเข้าไปอยู่ในใจของเขาได้

บางทีเขาอาจจะมิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นเมื่อคืนนี้ หรือบางทีเขาอาจจะรู้แต่มิรู้ว่าคนที่ทำกิจกรรมกับเขาเป็นผู้ใด

เรื่องนี้ล้วนมิสำคัญอีกต่อไปแล้ว และการอำลาครานี้…เกรงว่าคงเป็นการยากที่จะได้หวนกลับมาพบกันอีก !

เป็นการดีที่จะทิ้งความปรารถนานี้ไว้ในส่วนลึกของจิตใจ !