บทที่ 1621 สมาชิกหน่วยองครักษ์เงา

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

หวงฝู่จวินโหรวก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเขาอย่างไรดี ที่บอกกับมารดาตัวเองไป ก็เพราะอยากจะให้มารดารู้ว่าตัวเองจะยังไม่กลับไป แต่ใครจะคิดว่าหวงฝู่ตวนหรงจะเดาออกทันทีว่านางอยู่กับใคร จะเป็นจะตายก็จะมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นนางก็ต้องกลับไปเดี๋ยวดี ไม่ให้โอกาสนางได้มาเกลือกกลั้วอยู่กับใคร

รวดเร็วมาก หวงฝู่ตวนหรงกับอู่หนิงมาพร้อมกันแล้ว เหมียวอี้ หวงฝู่จวินโหรวและเหยียนซิวออกไปตอนรับด้านนอก เหมียวอี้เองก็ไม่อยากหลบอยู่ในลานบ้านให้คนเข้าใจผิดว่าเขากับคนของตระกูลหวงฝู่มีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกต่อกัน เพราะสมาคมวีรชนเป็นสิ่งที่อ่อนไหวจริงๆ คาดว่าตระกูลโค่วเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องนี้คลุมเครือเช่นกัน

หวงฝู่ตวนหรงรูจักเหมียวอี้ แต่สำหรับอู่หนิงที่ดูอิสระเจ้าสำราญ เหมียวอี้ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเขาอยู่บ้าง ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมาก ดูแล้วก็ไม่เหมือนสามัญชนจนตรอก แต่กลับยินดีแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเจ้าตัวคิดได้อย่างไร ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีอารมณ์กลัดกลุ้มเล็กๆ แวบผ่านใบหน้าไปอย่างอธิบายไม่ถูก

หลังจากทั้งสองฝ่ายทักทายปราศัยกันไม่กี่ค่ำ หวงฝู่ตวนหรงก็เย็นชามา กลับเป็นอู่หนิงที่มีท่าทีค่อนข้างอบอุ่นและสบายๆ กับเหมียวอี้ คุยไปยิ้มไป ดูเป็นคนสบายใจไร้กังวลจริงๆ

เมี่ยวฉุนได้รับข่าวแล้ว นางเหาะมาเป็นผู้นำทางให้คนกลุ่มนี้

ความเจริญรุ่งเรืองในโลกมนุษย์ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง เอาเป็นว่าไม่ค่อยแตกต่างกับโลกมนุษย์ในเขตของตำหนักสวรรค์สักเท่าไร เต็มไปด้วยกลิ่นอายของแดนพุทธ ให้ความรู้สึกว่าเป็นเสน่ห์ของต่างแดน

พวกเขาเดินไปตามถนนที่เจริญเฟื่องฟู เมี่ยวฉุนถ่ายทอดเสียงแนะนำตลอดทาง อู่หนิงฟังไปพยักหน้าไป หันซ้ายหันขวาดูสินค้า สีหน้าผ่อนคลายสบายใจ

หวงฝู่ตวนหรงกลับเฝ้าตามติดอยู่ข้างกายลูกสาว ไม่ให้โอกาสลูกสาวได้มีโอกาสแอบคุยกับเหมียวอี้ นี่ก็คือเหตุผลที่นางดึงดันจะมาให้ได้ นางรู้สึกกลัวแล้วจริงๆ กลัวว่าคนหนุ่มสาวจะไม่มีความสามารถในการควบคุมตัวเอง ที่นี่คือที่ไหนล่ะ? ถ้าเรื่องระหว่างลูกสาวกับเหมียวอี้ถูกเปิดโปงขึ้นมา ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจินตนาการถึงเลย

ภายนอกหวงฝู่จวินโหรวดูสงบใจเย็น แต่ในใจกลับคับแค้น ดูจากสายตาที่เหลือบมองมารดาเป็นระยะก็รู้แล้ว ส่วนสายตาที่มองเหมียวอี้ก็ทำให้เข้าใจโดยไม่ต้องพูดเลย นางโทษเหมียวอี้ว่าไม่ควรเสนอความคิดว่าจะมาเดินเล่นที่นี่ ตอนนนี้โดนคนจับตาดูแบบเข้มงวดแล้ว สนุกตรงไหน?

เหมียวอี้กลับไม่เป็นอะไร ถ้ามีหวงฝู่ตวนหรงคอยดูแลลูกสาวตัวเองได้ก็ดีที่สุดแล้ว

ทว่าการมาของหวงฝู่ตวนหรงก็ไม่ได้สงบอย่างที่เขาคิด ตอนที่เดินมาถึงทะเลสาบแห่งหนึ่งในเมือง จู่ๆ หวงฝู่ตวนหรงก็ถามว่า “แม่ทัพภาคหนิว อยู่ที่ตลาดผีเป็นยังไงบ้าง?”

หลายคนที่ได้ยินคำถามนี้มองมาพร้อมกัน เหมียวอี้ก็งงเช่นกัน จากนั้นก็ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ผู้จัดการใหญ่กำลังพูดหยอกหนิวเหรอ? สถานการณ์ของหนิว คาดว่าคงไม่ต้องพูดอะไรมากหรอก”

หวงฝู่ตวนหรงส่ายหน้าเบาๆ “ถึงยังไงแม่ทัพภาคหนิวก็เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี ทางสมาคมวีรชนมีเรื่องนิดหน่อย ไม่ทราบว่าจะให้โอกาสขอคำชี้แนะได้หรือเปล่า?”

เหมียวอี้พึมพำในใจ ผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? ภายนอกกลับยิ้มพร้อมถามว่า “มิกล้าปฏิเสธ?”

หวงฝู่ตวนหรงเอียงหน้าบอกลูกสาวทันที “โหรวโหรว ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพ่อเจ้าสักหน่อย” ไม่สนว่าสองพ่อลูกจะเต็มใจหรือไม่ นางบอกเมี่ยวฉุนอีกว่า “พระอาจารย์ใหญ่ ข้ากับแม่ทัพภาคหนิวขอคุยกันส่วนตัว คงไม่มีปัญหาใช่มั้ย?”

อู่หนิงกวาดตามองฮูหยินของตัวเองอย่างแปลกใจเล็กน้อย ผลปรากฏว่าโดนถลึงตาใส่ ถึงได้หัวเราะร่าพลางจูงมือหวงฝู่จวินโหรวเดินออกไป

เมี่ยวฉุนก็ประนมมือแล้วเดินตามไปเช่นกัน หวงฝู่ตวนหรงเหลือบมองเหยียนซิวอีก เหมียวอี้จึงเข้าใจ เอียงหน้าบอกใบ้ให้เหยียนซิวถอยออกไปเช่นกัน

แต่เหยียนซิวก็ยังไม่ได้ออกไป ยังคงเดินตามหลังอยู่ไกลๆ

เมื่อเดินกับหวงฝู่ตวนหรงริมทะเลสาบได้สักพักแล้วไม่เห็นนางเอ่ยปากพูดอะไร เหมียวอี้ก็จำต้องเป็นฝ่ายถามก่อน “ผู้จัดการใหญ่มีอะไรจะกำชับหรือขอรับ?”

หวงฝู่ตวนหรงแสยะยิ้มทื่อๆ “เล่นมุกตลกเหรอ ข้าจะกล้ากำชับอะไรเจ้าล่ะ ท่านเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วเชียวนะ”

“…” ประโยคนี้ทำให้เหมียวอี้ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรดี สิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขาละอายใจเล็กน้อย

การที่เขาไม่พูดอะไร ก็ไม่ได้แปลว่าหวงฝู่ตวนหรงจะปล่อยไป “เจ้าแซ่หนิว ไหนเจ้าลองบอกมาซิ ว่าเรื่องระหว่างเจ้ากับโหรวโหรวเตรียมจะทำยังไงกันแน่?”

เหมียวอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วโดยนคำถามกลับไป “ท่านคิดว่าควรทำยังไงล่ะ?”

หวงฝู่ตวนหรงหันกลับมาถลึงตาว่า “ตัดขาด! เจ้าน่าจะรู้นะ ว่าถ้าพวกเจ้าทำอย่างนี้ต่อไป ก็ไม่มีใครรับผิดชอบผลที่ตามมาไหวทั้งนั้น ตัดขาดอย่าให้เหลือเยื่อใยเดี๋ยวนี้!”

เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางกล่าวช้าๆ ว่า “ผู้จัดการใหญ่ ข้าเข้าใจที่ท่านพูดทุกอย่างนะ แต่ข้าทำเรื่องที่ไร้ไมตรีอย่างนั้นไม่ลงหรอก ข้ารับประกันกับท่านได้อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าท่านเกลี้ยกล่อมโหรวโหรวได้ ข้าก็ยินดีทำตามเจตนาของท่าน”

“เจ้า…” หวงฝู่ตวนหรงแค้นจนกัดฟันกรอด ถ้าตัวเองทำได้ก็คงทำไปนานแล้ว ยังจะต้องมาคุยกับเจ้าอีกเหรอ?

นางไม่มีหน้าจะไปพูดเรื่องนี้กับลูกสาวอีกแล้ว จึงหวังว่าจะเริ่มจัดการจากฝั่งเหมียวอี้ ให้เหมียวอี้เป็นคนใจร้ายถีบลูกสาวตัวเองออกมา

เหมียวอี้เห็นสีหน้านางแย่มาก จึงกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ไม่สู้ให้ทำอย่างนี้ต่อไปดีกว่า พวกเราก็แค่ต้องระวังตัวมากขึ้นหน่อย น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

หวงฝู่ตวนหรงโมโหจนหัวเราะประชด “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ข้าตั้งใจจะช่วยให้พวกเจ้าแอบคบกันต่อไป แต่เจ้าคิดเหรอว่าถ้าข้าอยากจะปิดบังแล้วจะปิดบังไหว? บิดานางก็ไม่ใช่คนโง่ เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน สักวันก็คงจะเผยพิรุธออกมาให้เห็น ถึงตอนนั้นทั้งตระกูลหวงฝู่จะต้องหัวหลุดสักกี่คนเพื่อชดเชยให้เรื่องนี้?”

“ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง สามีท่านจะทำร้ายคนในครอบครัวเชียวหรือ?” เหมียวอี้แปลกใจ

หวงฝู่ตวนหรงกัดฟันบอกว่า “ในเมื่อพูดถึงส่วนนี้แล้ว ข้าจะเปิดเผยให้ชัดเจนเพื่อให้เจ้าชั่งน้ำหนักเอาเองก็ได้ ประวัติของพ่อโหรวโหรวไม่ธรรมดาหรอก เขาเป็นคนของตำหนักสวรรค์ เป็นคนที่ผู้การใหญ่ซ่างกวนชิงของตำหนักสวรรค์จับแทรกเข้ามาในสมาคมวีรชนเพื่อจับตาดูตระกูลหวง คนประเภทพ่อของโหรวโหรวน่ะ ไม่ได้มีอยู่ในตระกูลหวงฝู่แค่คนสองคนหรอกนะ!”

เหมียวอี้ตกใจไม่เบา แต่ก็ยังถามเหมือนเดิม “เขาจะทำร้ายลูกสาวของตัวเองเชียวเหรอ?”

“แล้วจะให้เขาขอบคุณเจ้ารึไง? เจ้าทำอะไรกับลูกสาวเขาไปบ้างล่ะ? ถ้าเขารู้ขึ้นมา คงจะแค้นจนต้องฉีกเนื้อเจ้าทั้งเป็นแน่!” หวงฝู่ตวนหรงถ่ายทอดเสียงบอกอย่างโมโห

“เสือจะดุร้ายขนาดไหน แต่ก็ไม่กินลูกตัวเองหรอก ในเมื่อเข้ารักลูกสาวตัวเองขนาดนี้ มีหรือที่จะ…” เหมียวอี้กล่าว

หวงฝู่ตวนหรงพูดตัดบททันที “เรื่องบางเรื่องไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เจ้าคิด เจ้าเคยได้ยินชื่อหน่วยองครักษ์เงารึเปล่า?”

“หน่วยองครักษ์เงา?” ชื่อนี้เหมียวอี้เคยได้ยินมาจากเทพประจำดาวผังก้วน ในมือประมุขชิงมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่เอาไว้ปฏิบัติภารกิจลับโดยเฉพาะ เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกด้วยความตระหนก “นี่ท่านกำลังบอกว่า พ่อของโหรวโหรวเป็นสมาชิกหน่วยองครักษ์เงาเหรอ?”

“สงสัยเจ้าจะรู้มาบ้างเหมือนกัน” หวงฝู่ตวนหรงเหล่ตามองพลางแสยะยิ้ม นางหยุดเดินแล้วหันตัวไปมองผิวคลื่นทะเลสาบที่สะท้อนแสงระยิบระยับ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ถึงแม้ข้าจะสงสัย แต่ในใจก็มั่นใจว่ามีความเป็นไปได้เก้าในสิบ มีความเป็นไปได้สูงว่าพ่อของโหรวโหรวเป็นสมาชิกของหน่วยองครักษ์เงา หน่วยองครักษ์เงาถูกควบคุมอยู่ในมือซ่างกวนชิงผู้การใหญ่ตำหนักสวรรค์ สมาคมวีรชนก็ถูกควบคุมอยู่ในมือซ่างกวนชิงเช่นกัน ที่อื่นมีคนที่ซ่างกวนชิงสามารถใช้งานได้ไม่เยอะ คนที่เขาเชื่อใจมากพอที่จะส่งมาจับตาดูคนของสมาคมวีรชน เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนของหน่วยองครักษ์เงา โหรวโหรวคือลูกสาวสุดที่รักของอู่หนิง แต่ในเมื่อซ่างกวนชิงสามารถควบคุมหน่วยองครักษ์เงาไว้อย่างแน่นหนา ก็แสดงว่าจะต้องมีวิธีการควบคุมหน่วยองครักษ์เงาแน่นอน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ข้าก็ไม่มั่นใจว่าอู่หนิงจะยืนอยู่ฝั่งไหน กลัวว่าถึงตอนนั้นอู่หนิงก็คงจะทำตามใจตัวเองไม่ได้เช่นกัน”

“ในเมื่อท่านรู้เรื่องนี้แล้ว ทำไมถึงยอมเป็นสามีภรรยากับเขาแล้วคลอดโหรวโหรวออกมา?” เหมียวอี้ถาม

หวงฝู่ตวนหรงอธิบายว่า “เจ้าคิดว่าข้ามีสิทธิ์เลือกเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? ข้าเองก็เคยมีคนรักของตัวเองเหมือนกัน แต่ข้าไม่มีทางเลือก และไม่มีทางขัดขืนได้ นอกเสียจากจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเท่านั้นแหละ เฮ้อ! ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องพวกนี้ ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง อู่หนิงก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เลวเลย เป็นคนที่รู้จักเอาใจใส่ ข้าไม่นึกเสียใจทีหลังที่ได้อยู่กับเขา ทว่าเรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่มีทางควบคุมได้ เจ้าเข้าใจรึยัง? …หนิวโหย่วเต๋อ โหรวโหรวก็พอจะมีความสวยอยู่บ้าง แต่เจ้าก็เคยเห็นนางเป็นของเล่นมาแล้ว ข้างกายเจ้าก็ไม่ขาดผู้หญิง ปล่อยโหรวโหรวไปเถอะนะ ทำไมถึงกดดันให้นางเดินไปสู่เส้นทางตายล่ะ? ข้าแค่หวังให้ลูกสาวตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไป เรื่องอื่นข้าไม่สนแล้ว คำขอร้องนี้ไม่ถือว่าเกินไปใช่มั้ย? ข้าไปมีเรื่องกับเจ้าไม่ไหวจริงๆ และไม่อยากมีเรื่องกับเจ้าด้วย ข้าขอร้องให้เจ้าทิ้งลูกสาวข้า ไม่ได้เหรอ?”

พูดจาแบบนี้เรียกว่าอะไรกัน? เหมียวอี้ฟังแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่เขาก็หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ออกเช่นกัน รู้ว่าวันนี้ผู้หญิงคนนี้ควักหัวใจออกมาพูดแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดก็พูดออกมาหมด หลังจากเงียบไปสักประเดี๋ยว ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ผู้จัดการใหญ่ ข้าเคยทำร้ายโหรวโหรวมาครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าทำร้ายหัวใจนางอีกครั้ง ท่านคิดว่าปฏิกิริยาของนางจะไม่ทำให้พ่อนางมองออกเหรอ? ถ้าท่านรับประกันได้ ข้าก็จะรับปากท่าน!”

“…” หวงฝู่ตวนหรงอ้าปากค้างพูดไม่ออกทันที อึกอักอยากจะพูดหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็รับประกันไม่ไหว นางเห็นลูกสาวเติบโตมากับตา นางเข้าใจดีว่าลูกจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าทำร้ายจิตใจนางอีกครั้ง ดีไม่ดีอาจจะยอมแหลกราญไปพร้อมกับหนิวโหย่วเต๋อก็ได้

เหมียวอี้ครุ่นคิดแล้วบอกอีกว่า “ผู้จัดการใหญ่ มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้าหวังให้ท่านเข้าใจ ไม่ใช่ว่าโหรวโหรวแบกรับความเสี่ยงนี้ไว้คนเดียว ถ้าเกิดปัญหาอะไรกับนาง ข้าก็หนีไม่พ้นหรอก ถ้าเกิดเรื่องอะไรข้าจะแบกรับไปพร้อมกับนาง! ข้าให้คำตอบแบบนี้ ท่านพอใจรึยัง?”

หวงฝู่ตวนหรงเงยหน้า นางถามฟ้าอย่างพูดไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ทำไมถึงมาเจอกับไอ้หลานที่เข้าใกล้ไม่ได้แต่ก็สะบัดไม่หลุดคนนี้ เจ้าอยู่กินทรัพยากรดีๆ ที่ตำหนักสวรรค์ก็ดีอยู่แล้ว เรื่องระหว่างเจ้ากับโหรวโหรวก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเหลือให้กอบกู้สถานการณ์ แต่เจ้าดันถ่อไปอยู่ที่กองทัพองครักษ์ทำไม? อยู่ก่อเรื่องที่กองทัพองครักษ์ยังไม่พอ ยังกลายไปเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วอีก เบื้องหลังของตระกูลหวงฝู่จะกล้าไปยุ่งเกี่ยวกับเบื้องบนได้ยังไง? ทำผิดข้อห้ามเกินไปแล้ว!

“ทุกที่ของที่นี่มีแต่คนของสำนักพุทธ อย่าประเมินความแน่วแน่ในการเป็นพันธมิตรของประมุขพุทธะกับประมุขชิงต่ำเกินไป อย่าหวังว่าแดนสุขาวดีเห็นอะไรแล้วจ่ะช่วยพวกเจ้าปิดบัง พวกเจ้าสองคนอย่าทำซี้ซั้วที่นี่!” หวงฝู่ตวนหรงกล่าวเตือนทิ้งท้าย แล้วหันตัวจากไปทันที

คำพูดนี้หมายความว่ายังไง? เหมียวอี้ยืนงงอยู่กับที่ จากนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว

ในวันต่อๆ มา หวงฝู่จวินโหรวก็ถูกมารดาจับตาดูอย่างเข้มงวดมาก แทบจะไม่ต่างอะไรกับถูกมัดเอวเอาไว้ ไม่ต้องคิดจะไปไหนทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะถ่อไปนัดเจอกับเหมียวอี้ นางแทบจะแตกคอกับมารดา สุดท้ายหวงฝู่ตวนหรงก็กลัวว่าอู่หนิงจะมองอะไรออก เอาคำพูดของเหมียวอี้มาบอกลูกสาว ทำให้หวงฝู่จวินโหรวยอมแพ้และว่านอนสอนง่ายทันที สำหรับการเชื่อฟังคำสั่งของนาง ทำให้หวงฝู่ตวนหรงอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ลูกสาวโตแล้วไม่เชื่อฟังแม่จริงๆ ด้วย

ในที่สุดพิธีกรรมงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็มาถึงแล้ว แขกจากตำหนักสวรรค์และแดนสุขาวดีทยอยกันปรากฏตัว ในอารามหลันเย่มีแขกแน่นขนัด แสดงบรรยากาศที่ครึกครื้นยิ่งใหญ่ของชาพุทธ

เมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ถึงแม้เหมียวอี้จะรักษาระยะห่างกับตระกูลหวงฝู่ แต่ก็ดูไม่เย็นชาเหมือนกัน กำลังคนในสายของตระกูลโค่วปฏิบัติต่อเขาราวกับดาวล้อมเดือน

ในอารามหลันเย่ ขณะที่กลุ่มแขกกำลังพูดคุยกัน จู่ก็มีเสียงอุทานดังขึ้น ทุกคนพากันมองไปทางพระอุโบสถ เหมียวอี้ก็หันมองตามเช่นกัน เห็นเพียงพระโพธิสัตว์หลันเย่รีบเดินออกมาจากพระอุโบสถ จากนั้นเหาะขึ้นบนฟ้าแล้วหันมองไปทั่ว ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไรอยู่

…………………………