บทที่ 1622 ฆราวาสผู่หลัน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ฝูงชนแปลกใจว่าพระโพธิสัตว์หลันเย่กำลังจะทำอะไร บรรดาศิษย์ของหลันเย่ที่มองไปรอบๆ ก็มีท่าทางสงสัยประหลาดใจเช่นกัน เหมือนไม่เข้าใจว่าหลันเย่กำลังจะทำอะไรกันแน่ ในขณะนี้เอง จู่ๆ หลันเย่ก็ทะยานขึ้นฟ้าสูงอีกครั้ง แล้วเหาะไปยังบางจุดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

ตอนนี้กลุ่มคนที่ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองเผยสีหน้าเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เห็นเพียงบนท้องฟ้ามีผู้หญิงสิบกว่าคนปรากฏตัว พวกนางเหาะมาพร้อมกัน ที่คอสวมใส่สร้อยหยก ราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์ ทุกคนเข้าใจแล้วว่าคงจะมีแขกมา

แต่ว่าแขกจากที่ไหนกันที่ทำให้พระโพธิสัตว์หลันเย่รีบออกมาต้อนรับด้วยตัวเองได้? เมื่อมองให้ละเอียดก็พบว่าเป็นเทพธิดาชาวพุทธระดับบงกชรุ้งกลุ่มหนึ่ง แต่ผู้ที่นำหน้ามากลับเป็นนักพรตบงกชทอง และหลังจากพระโพธิสัตว์หลันเย่เข้าไปต้อนรับแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำความเคารพนักพรตบงกชทองท่านนั้น ชัดเจนว่าเป็นท่าทีของผู้น้อยต่อผู้ใหญ่

ลูกศิษย์บางส่วนของหลันเย่รีบทะยานขึ้นฟ้า เข้าไปทำความเคารพแล้ว

มีคนไม่น้อยพากันเดาะลิ้นอย่างแปลกใจ พากันเดาว่านักพรตบงกชทองผู้นั้นเป็นใคร

“ไม่รู้ว่าท่านนั้นเป็นใคร ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้พระโพธิสัตว์เคารพนบนอบขนาดนี้?” มีคนเริ่มถามพระธุดงค์ที่อยู่ข้างกัน

มีพระธุดงค์เริ่มส่ายหน้า และมีพระธุดงค์ประนมมือกล่าวว่า “ที่แท้ฆราวาสผู่หลันก็มาเยือนด้วยตนเอง ดีแล้ว ดีงามแล้ว”

ทุกคนได้ยินแล้วก็ยิ่งแปลกใจ ฆราวาส? หรือพูดได้อีกอย่างว่าเป็นนักพรตชาวพุทธที่ยังไม่ได้รับแต่งตั้ง เป็นคนที่ยังไม่มีตำแหน่งในสำนักพุทธ ทำไมถึงได้รับการต้อนรับอันทรงเกียรติขนาดนี้จากพระโพธิสัตว์หลันเย่?

แม้แต่เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็เอียงหน้ามองไปทางพระธุดงค์ เงี่ยหูตั้งใจฟัง อยากจะสืบว่านางเป็นใครกันแน่

มีคนถามว่า “ฆราวาสผู่หลันคนนี้เป็นใครเหรอ ทำไมถึงได้รับการต้อนรับอันทรงเกียรติจากพระโพธิสัตว์ขนาดนี้?”

พระธุดงค์ตอบว่า “ฆราวาสผู่หลันคือศิษย์ที่พุทธะจิ้งฮวารับไว้เป็นกรณีพิเศษ เป็นศิษย์คนเล็กสุดของพุทธะจิ้งฮวาในตอนนี้”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ที่แท้ถ้านับลำดับอาวุโส ฆราวาสผู่หลันก็ยังมีศักดิ์เป็นอาจารย์อาของพระโพธิสัตว์หลันเย่ ทั้งยังถูกพุทธะจิ้งฮวารับเป็นศิษย์เป็นกรณีพิเศษ จะเห็นได้ว่าได้รับความสำคัญจากพุทธะจิ้งฮวาขนาดไหน ไม่แปลกใจที่พระโพธิสัตว์หลันเย่เคารพขนาดนี้

และดูจากท่าทางของพระโพธิสัตว์หลันเย่ที่รีบออกมาต้อนรับเมื่อใกล้ถึงเวลา ก็มีความเป็นไปได้เก้าในสิบที่ก่อนหน้านี้พระโพธิสัตว์หลันเย่ไม่รู้ว่าฆราวาสผู่หลันจะมา เพิ่งจะได้รับข่าวเมื่อเรื่องจวนตัว ไม่รู้ว่าจะอวยพนวันเกิดให้พระโพธิสัตว์หลันเย่

บนท้องฟ้า กลุ่มคนขบวนหนึ่งเหาะลงมาจากข้างบน ไม่ได้เข้าผ่านประตูใหญ่ แต่เหยียบลงนอกพระอุโบสถโดยตรง แล้วก็เข้ามาในพระอุโบสถโดยมีพระโพธิสัตว์หลันเย่เดินอยู่เคียงข้างด้วยตัวเอง

“ไม่รู้ว่าฆราวาสผู่หลันท่านนี้มีประวัติที่มายังไง ไม่น่าเชื่อว่าพุทธะจิ้งฮวาจะรับไว้เป็นศิษย์คนสุดท้าย?” ด้านนอกมีคนถามขึ้นอีก

“ไม่รู้สิ” พระธุดงค์ผู้นั้นส่ายหน้า

ตรงนั้นเกิดเสียงกระซิบกระซาบสืบถามอยู่ข้างกายพระธุดงค์ทันที คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมไปทั่ว เหมียวอี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น กำลังพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาสบเช่นกัน แต่จนใจที่ไม่รู้ว่าทุกคนไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ ไม่มีพระธุดงค์คนไหนในงานที่สามารถพูดสิ่งนี้ออกมาได้เลย

เหมียวอี้ที่สังเกตการณ์รอบตัว เดิมทีก็ไม่ได้สนใจฆราวาสผู่หลันสักเท่าไรอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับตน ใครจะคิดว่าจะบังเอิญเห็นหวงฝู่เยี่ยนที่นั่งอยู่ท่ามกลางคนตระกูลหวงฝู่มีสีหน้าเรียบเฉย เมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่สืบถามไปทั่วก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับนกกระเรียนในฝูงไก่ เขาอดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดบางอย่างในใจ หรือว่าหวงฝู่เยี่ยนจะรู้ประวัติของฆราวาสผู่หลันท่านนี้?

คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ เพราะสมาคมวีรชนมีช่องทางข่าวสารดีมาก ไม่แน่ว่าอาจจะรู้อะไรบ้าง

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้เห็นว่ามีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์อยู่ทั่วทั้งงาน สามารถอาศัยคลื่นเหล่านี้กลบเกลื่อนคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองได้ จึงห้อยแขนเสื้อข้างหนึ่งต่ำลง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฝู่จวินโหรว

หวงฝู่จวินโหรวที่ยืนอยู่กับคนในตระกูลงงไปชั่วขณะ ชำเลืองมองไปทางเหมียวอี้แวบหนึ่ง เหมียวอี้เป็นคนส่งข้อความมาหาตนแท้ๆ แต่เหมียวอี้กลับไม่มองมาทางนี้ แต่กลับจงใจมองไปอีกด้านหนึ่ง

พฤติกรรมเหมือนโสเภณีที่อยากได้ป้ายสรรเสริญความดีแบบนี้ ทำให้หวงฝู่จวินโหรวทั้งโมโหทั้งอยากขำ นางห้อยแขนเสื้อข้างหนึ่งแล้วหยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน : มีอะไร?

เหมียวอี้ถามว่า : ดูจากท่าทางที่ทุกคนอยากรู้อยากเห็นมาก ฆราวาสผู่หลันท่านนี้มีประวัติที่มายังไงกันแน่?

หวงฝู่จวินโหรว : ข้าเองก็ได้ยินเป็นครั้งแรกเหมือนกัน จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ?

เหมียวอี้ : ถามท่านตาเจ้าสิ เขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็ได้

หวงฝู่จวินโหรวอึ้งทันที แล้วก็หันกลับไปมองหวงฝู่เยี่ยน จากสิ่งที่เหมียวอี้บอกเตือน ก็เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่นางก็ไม่สะดวกจะถามท่านตาของตัวเองโดยตรง จึงย้ายไปถามมารดาที่อยู่ข้างหน้า

หวงฝู่ตวนหรงเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง จากนั้นก็หันตัวไปยืนข้างกายหวงฝู่เยี่ยน เหมือนกำลังถ่ายทอดเสียงถามอะไรบางอย่าง

ผ่านไปไม่นาน หวงฝู่จวินโหรวก็ตอบข้อความกลับมาแล้ว : หลายพันปีก่อนจู่ๆ พุทธะจิ้งฮวาก็รับศิษย์คนคนสุดท้ายเป็นพรณีพิเศษ สิ่งนี้ทำให้สมาคมวีรชนสนใจ เบื้องบนก็ออกคำสั่งมาให้สืบเรื่องนี้เช่นกัน จากเบาะแสบ้างอย่างทำให้สืบเจอว่าฆราวาสผู่หลันท่านนี้ไม่ได้มีพื้นเพมาจากแดนสุขาวดี แต่มาจากดาวไร้ลักษณ์ในเขตตำหนักสวรรค์ ตอนนี้พุทธะจิ้งฮวารับเป็นศิษย์นางก็เป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เหมือนจะมีลูกชายหนึ่งคนด้วย ถูกพุทธะจิ้งฮวาแนะนำให้ไปฝึกตนที่ภูเขาหลิงซาน สำนักพุทธจงใจปิดข่าว สมาคมวีรชนก็เลยรู้ไม่เยอะเช่นกัน สืบได้แค่เท่านี้

ข่าวนี้ฟังดูเหมือนไม่เป็นความลับสักเท่าไร แต่คำว่า ‘ดาวไร้ลักษณ์’ ยังทำให้เหมียวอี้รู้สึกตะลึงในใจ ช่างบังเอิญจริงๆ ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ พื้นเพของตนก็นับว่ามาจากดาวไร้ลักษณ์เหมือนกัน นึกมถึงว่าจะบังเอิญมาเจอ ‘บ้านเกิด’ แล้ว เพียงแต่เป็นเรื่องเมื่อหลายพันปีก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นตัวเองยังอยู่ที่ดาวไร้ลักษณ์หรือเปล่า

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าทางหวงฝู่เยี่ยนรู้มากเท่าไร หรือว่ารู้แล้วไม่ยอมบอก หรือไม่ก็สืบแล้วแต่สืบได้ไม่เยอะ ก็เลยทำสีหน้าเรียบเฉยอย่างนั้น สรุปก็คือเหมียวอี้รู้สึกว่าถามแล้วไม่ได้อะไร

ในขณะนี้เอง จู่ๆ เมี่ยวฉุนก็เดินผ่านฝูงชนเข้ามา มากุมหมัดคารวะเชิญอยู่ข้างกายเหมียวอี้ “ฆราวาสผู่หลันทราบว่ามีแขกผู้มีเกียรติมาเยือน บอกว่าจะต้อนรับอย่างเย็นชาไม่ได้ เชิญแม่ทัพภาคหนิวไปพบที่พระอุโบสถสักครั้ง”

เหมียวอี้ยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน คิดในใจว่าตัวเองนับเป็นแขกผู้มีเกียรติเสียที่ไหนกัน แค่ได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วเท่านั้นแหละ

แน่นอน คงไม่ดีที่จะทำตัวไม่รู้กาลเทศะ ถึงอย่างไรตัวเองก็เป็นตัวแทนตระกูลโค่ว ถ้าไม่รู้จักมีมารยาทธรรมเนียมจนตระกูลโค่วเสียหน้า ก็จะทำให้ตระกูลโค่วไม่พอใจ ย่อมต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว

ตอนที่เดินไปถึงบันไดพระอุโบสถ เหมียวอี้ถึงได้พบว่าแขกผู้มีเกียรติไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว นอกจากพระกลุ่มหนึ่งแล้ว ก็ยังมีแขกผู้มีเกียรติกลุ่มหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนปุถุชนกำลังเดินขึ้นบันได้เช่นกัน สิ่งที่บังเอิญก็คือ เหมียวอี้รู้จักคนพวกนี้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

สี่อ๋องสวรรค์ จอมพลสิบสองสายล้วนส่งคนมา เหมียวอี้ก็ย่อมเป็นหนึ่งในนั้น ฆราวาสผู่หลันเหมือนจะให้เข้าพบเฉพาะคนที่ระดับจอมพลขึ้นไปส่งมา สิ่งนี้ไม่ได้สำคัญอะไรเลย เพราะสิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แอบขำก็คือ ตระกูลเซี่ยโห้วกับตึกศาลาสัตยพรตแยกกันส่งคนมา คนที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งมาก็คือเซี่ยโห้วหู่เฉิงน้องชายของเซี่ยโห้วหลงเฉิง ส่วนคนที่ตึกศาลาสัตยพรตส่งมาก็คือเฉาเฟิ่งฉือ ล้วนเป็นคนคุ้ยเคยกันทั้งนั้น

เหมียวอี้เดาว่าฝั่งอารามหลันเย่คงจะแกล้งโง่ มีใครไม่รู้บ้างว่าตระกูลเซี่ยโห้วกับตึกศาลาสัตยพรตเป็นพวกเดียวกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะยังแสดงละคนส่งคนมาสองกลุ่ม นี่ก็คือความดื้อดึงของคนมีเงิน ไม่ถือสาที่จะส่งมอบของขวัญอีกส่วนหนึ่ง

ส่วนเซี่ยโห้วหู่เฉิงก็เหมือนจะรู้สึกดีกับเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะพยักหน้าให้เหมียวอี้ด้วยรอยยิ้ม ต่อให้ไม่เห็นแก่หน้าคนเป็นก็ต้องเห็นแก่หน้าคนตาย ไม่ว่าแม่ทัพภาคหนิวท่านนี้จะเป็นอย่างไร แต่ก็นับว่าเป็นสหายของพี่ใหญ่ตอนที่มีชีวิตอยู่

ถ้าเขารู้ว่าเบื้องหลังคนที่ฆ่าพี่ชายของเขาคือเหมียวอี้ ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรบ้าง

ท่าทีที่เฉาเฟิ่งฉือมีต่อเหมียวอี้ก็เหมือนจะไม่เลวเหมือนกัน นางพยักหน้ายิ้มบางๆ ในจุดนี้เหมียวอี้ซาบซึ้งใจนานแล้ว ตอนเจอกันที่ตึกศาลาสัตยพรต เหมียวอี้ก็สังเกตได้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีท่าทีต่อเขาค่อนข้างดี

คนที่มาในนามจอมพลสามสายที่อยู่ใต้สังกัดตระกูลโค่ว ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบเหมียวอี้ แต่ก็ล้วนสำนึกได้แล้วไปยืนข้างหลังเหมียวอี้เพื่อแสดงความเคารพ ก็ช่วยไม่ได้ เพราะนี่คือลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว อีกฝ่ายเป็นตัวแทนของตระกูลโค่ว ถ้าไม่ไว้หน้าเขาก็เท่ากับไม่ไว้หน้าตระกูลโค่ว ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว

ส่วนคนกลุ่มอื่น ก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเหมียวอี้เท่าไรนัก โดยเฉพาะอิ๋งหยาง เป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูลโค่ว เป็นลูกพี่ลูกน้องของอิ๋งฮุยที่ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ที่อุทยานหลวง แน่นอน ความสัมพันธ์เลวร้ายระหว่างตระกูลโค่วกับเหมียวอี้ไม่ใช่เพราะเรื่องการตายของอิ๋งฮุยอย่างเดียว คนที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกต่างก็รู้ว่าพูดไปก็เรื่องยาว ดังนั้นอิ๋งหยางจึงมองเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบดุร้ายอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด

เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจเขา รู้ว่าถึงแม้ตัวเองจะก้มหัวให้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใจกว้างให้อภัยอยู่ดี

คนกลุ่มหนึ่งเจอกันบนบันได โดยมีตัวแทนของสี่อ๋องสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วอยู่หน้าสุด ทั้งหมดถูกเชิญเข้าไปในพระอุโบสถ

ในอุโบสถ กลุ่มนักบวชยืนแยกอยู่สองแถวทางซ้ายและขวา พระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ลงจากฐานดอกบัวแล้วเช่นกัน ไม่กล้าโอ้อวดต่อหน้าฆราวาสผู่หลัน นางยืนอยู่ข้างกายฆราวาสผู่หลันแล้ว

ส่วนฆราวาสผู่หลันท่านนี้ก็หน้าตางดงามไม่ธรรมดาจริงๆ ผมยาวประแผ่นหลัง ใบหน้าหยกดูสง่าภูมิฐาน หน้าผากนูนเกลี้ยงเกลา มองไม่เห็นความประมาทเลินเล่อในดวงตา เปล่งประกายดุจดาวในดาราจักร สวมชุดกระโปรงสีขาวของฆราวาส สร้อยหยกห้อยอยู่ตรงหน้าอกที่อิ่มเอิบ ทั้งตัวเผยความสง่างามในความสงบนิ่ง มองปราดเดียวก็รู้สึกว่ามีกลิ่นอายบริสุทธิ์เหนือโลกีย์โผเข้าปะทะหน้า

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า รู้สึกว่าพอตัวเองเข้ามาแล้ว ฆราวาสผู่หลันท่านนี้ก็จับตามองตัวเองทันที เหมือนจะจ้องประเมินตนอยู่ตลอด ทำเอาเขายกมือขึ้นลูบใบหน้าว่ามีอะไรติดหรือเปล่า

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเข้าใจผิดจริงๆ สงสัยว่าฆราวาสผู่หลันท่านนี้รู้จักตนหรือเปล่า อย่าบอกนะว่าเคยเจอกันที่ดาวไร้ลักษณ์มาก่อนจริงๆ? แต่พอเขาลองจัดระเบียบความคิดในหัว ถ้าเคยพบท่านนี้จริงๆ นางก็มีภาพลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา เป็นไปไม่ได้ที่ตัวเองจะจำไม่ได้เลยสักนิด จะต้องไม่รู้จักแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีภาพรางๆ บ้าง

หลังจากเดินเข้ามาดู อยากจะยืนยันอะไรบางอย่างจากสายตาของอีกฝ่าย แต่ก็พบว่าสายตาของฆราวาสผู่หลันย้ายออกจากตัวเขาไปแล้ว เริ่มไปมองประเมินคนอื่นแทน ทำให้เหมียวอี้สงสัยอีกครั้งว่าตัวเองอาจจะเข้าใจผิดไป เป็นตัวเองที่คิดมากไปเอง

ไม่ว่าจะอย่างไร ประวัติความเป็นมาของฆราวาสผู่หลันก็เป็นเพียงฆราวาสคนหนึ่ง ดังนั้นทุกคนก็ยังกุมหมัดคารวะหรือไม่ก็ประนมมือให้พระโพธิสัตว์หลันเย่ “พระโพธิสัตว์!”

พระโพธิสัตว์หลันเย่ยิ้มพลางพยักหน้าเล็กน้อย แล้วยกมือแนะนำฆราวาสผู่หลันที่อยู่ข้างกัน “ท่านนี้คือฆราวาสผู่หลันอาจารย์อาของข้า ได้ยินว่ามีแขกผู้มีเกียรติมาที่นี่ จึงตั้งใจมาเจอทุกท่านที่นี่ จะได้ไม่เป็นการเมินเฉยแขก”

เซี่ยโห้วหู่เฉิงไม่เกี่ยงงอนในสิ่งที่ควรกระทำ เป็นคนแรกที่กุมหมัดทำความเคารพ “เซี่ยโห้วหู่เฉิงคำนับฆราวาส”

ตามด้วยตระกูลอิ๋งที่คุมทัพหนึ่งในสี่ให้ตำหนักสวรรค์ อิ๋งหยางกุมหมัดคารวะ “อิ๋งหยางคำนับฆราวาส”

จนกระทั่งถึงคราวของเหมียวอี้ “หนิวโหย่วเต๋อคำนับฆราวาส” พอพูดจบก็รู้สึกได้ว่าฆราวาสผู่หลันกำลังสบตากับตัวเอง แต่สายตาก็ย้ายไปที่ตัวเฉาเฟิ่งฉืออย่างรวดเร็ว

“ตึกศาลาสัตยพรตเฉาเฟิ่งฉือคำนับฆราวาส”

หลังจากเฉาเฟิ่งฉือคำนับแล้ว คนของจอมพลแต่ละสายก็มาคำนับอีก

หลังจากฆราวาสผู่หลันประนมมือเคารพกลับทีละคน สายตาก็ไปหยุดอยู่บนหน้าเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ แล้วถามพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เจ้าก็คือหนิวโหย่วเต๋อ ลูกเขยสุดที่รักของอ๋องสวรรค์โค่วใช่มั้ย?”

เหมียวอี้แอบรู้สึกจนใจ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นใคร พอพูดถึงตนก็จะพ่วงคำว่า ‘ลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่ว’ มาด้วยเสมอ เขากุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ใช่แล้วขอรับ ไม่ทราบว่าฆราวาสมีอะไรจะชี้แนะ?”

ฆราวาสผู่หลันจ้องตาเหมียวอี้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “ไม่กล้านับว่าชี้แนะหรอก! อาตมาได้ยินชื่อท่านโด่งดังที่แดนสุขาวดีมานานแล้ว ได้เห็นวันนี้ก็นับว่ามีสง่าราศีไม่ธรรมดาจริงๆ ดีแล้ว ดีงามแล้ว”

…………………………