ในขณะที่เทียนหลางเค่อหลบหนีก็ยังกระตุ้นเตือนอย่างกระวนกระวาย ทั้งยังส่งมอบข้อมูลของทั้งหกท่านนี้ให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงอีกด้วย
ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจดูข้อมูลอย่างละเอียด
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาขั้นสมบูรณ์หกตนนั้น พวกเขามิได้ไล่ล่าสังหารเทียนหลางเค่อ ถึงขนาดที่พูดได้ว่าพวกเขามิได้ใส่ใจเทียนหลางเค่อเลยด้วยซ้ำ! ทว่าแต่ละคนต่างก็กำลังสังเกตการณ์ดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นี้
“เพื่อนร่วมงานสองคนของเจ้าต่างก็หนีไปกันหมดแล้ว เจ้าไม่หนีหรือไร” สัตว์ปีกขนาดยักษ์ตนนั้นส่งเสียง แม้กระทั่งเขตลวงก็เริ่มแทรกซึมเข้ามาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
พวกเขาทั้งหกคนต่างก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง
เดิมที
สัตว์ปีกตนนี้และดำขาวสองท่านนั้นคือกองสนับสนุนกลุ่มที่สอง แต่ระหว่างทางก็ได้รับข่าวว่า… ‘ศิลา’ ได้ถูกสังหารไปเรียบร้อยแล้ว! นอกจากนี้หลังจากที่จ้าวหิมะเหินผู้นี้ระเบิดเคล็ดสังหารที่แกร่งกล้าออกมาแล้ว สามกระบวนท่าก็สังหารศิลาได้แล้ว นี่ทำให้สัตว์ปีก ‘ฝูเสิน’ และ ‘ดำขาว’ เพื่อนร่วมงานทั้งสอง ต่างก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดัน พวกเขาจะสังหารศิลาก็คงจะไม่รวดเร็วถึงเพียงนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงรีรออยู่ระหว่างทาง รอจนกระทั่งอสรพิษไร้ขีดจำกัดสามตนของกลุ่มที่สามมาถึงแล้วทั้งหกตนจึงค่อยรวมตัวมาเคลื่อนไหวพร้อมกัน
พวกเขาเชื่อว่าเมื่อทั้งหกร่วมมือกัน ในหมู่คละถิ่นระดับโลกา ก็คงจะสามารถเผชิญหน้ากับภยันตรายทั้งหมดทั้งมวลได้
“หืม นี่ก็เรียกว่าเขตลวงอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสเคล็ดวิชาที่สัตว์ปีกขนาดยักษ์ตนนั้นสำแดงแล้วก็อดที่จะยิ้มมิได้ มิได้แยแสแต่อย่างใดเลย พูดถึงเคล็ดเขตลวงโลกเทียม ตนเองก็แข็งแกร่งกว่าสัตว์ปีกตนนั้นมากมายเหลือเกินแล้ว
“ลงมือ”
“สังหารร่างแยกพลังรบหลักร่างนี้ของเขาเสีย”
“มาดูกันว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นกำเนิดใหม่ผู้นี้ ที่แท้แล้วร้ายกาจที่ตรงไหนกัน”
ทั้งหกตนนี้เคลื่อนไหวกันหมดแล้ว
อสรพิษไร้ขีดจำกัดสามตนผสานรวมกันกลายเป็น ‘อสรพิษสามหัว’ ตนหนึ่ง แต่ไอหมอกสีดำและไอหมอกสีขาวนั้นกลับผสานรวมซึ่งกันและกัน ส่งเสียงฉึกๆๆ กลายเป็นหญิงสาวไอหมอกสีเทาขมุกขมัวคนหนึ่ง หญิงสาวไอหมอกผู้นี้มีเพียงแค่ครึ่งร่างบนปรากฏออกมาเท่านั้น ส่วนครึ่งล่างยังคงเป็นไอหมอกสีเทาอยู่ พร้อมกันนั้นนางก็มีใบหน้าสองใบหน้า ใบหน้าหนึ่งอยู่ด้านหลัง อีกใบหน้าหนึ่งอยู่ด้านหน้า! ใบหน้าหนึ่งเป็นใบหน้าเจือรอยยิ้มน้อยๆ ส่วนอีกใบหน้านั้นเยียบเย็นอำมหิต
ทันใดนั้นพวกเขาทั้งหกก็จัดเรียงตัวล้อมโจมตีกันเข้ามา
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว โลกลวงขนาดมหึมาเคลื่อนตรงเข้ามา ถึงขนาดที่ปรากฏชัดออกมาท่ามกลางความเป็นจริง
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาหกท่านนี้ เพราะสายโลหิตเป็นเหตุ มีบางส่วนที่สามารถผสานรวมกันได้ แต่ภายใต้การที่โลกลวงฉุดลากวิญญาณ กลับจำเป็นต้องทนรับตามลำพังเท่านั้น! ชั่วขณะนั้นพวกเขาทั้งหกต่างก็พากันตกอกตกใจ แบ่งพลังจิตกว่าครึ่งไปต้านทาน ชั่วขณะนั้นพลังยุทธ์ที่แต่ละคนสามารถแสดงออกมาได้ก็เหลืออยู่เพียงแค่ราวๆ ครึ่งหนึ่งเท่านั้นเอง
“นี่ก็คือเคล็ดวิชาวิญญาณของเขาอย่างนั้นหรือ ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว!”
“เมื่อเผชิญกับเคล็ดวิชาวิญญาณของเขา พลังยุทธ์ก็ไม่ลดลงอย่างมหาศาลกันไปหมดหรอกหรือ ในบรรดาคละถิ่นระดับโลกา สู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง ใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เล่า ไม่สิ ในมิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัดแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไรกันนี่”
“สิ่งมีชีวิตของมิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัด พลังยุทธ์ของคละถิ่นระดับโลกาล้วนมีขีดจำกัดทั้งสิ้น ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ เหตุใดเขาจึงสามารถเป็นข้อยกเว้นได้เล่า”
พวกเขาต่างพากันตกตะลึง ยากที่จะเข้าใจได้
ทว่าพวกเขากลับไม่รู้ว่า…
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเป็นระดับเจ้าดินแดนที่กำหนดเอาไว้แล้ว ย่อมมิใช่ผู้ที่พวกเขาสามารถเปรียบเทียบด้วยได้
“พรึ่บ” หญิงสาวหมอกเทาต่อสู้ประชิดตัวกับตงป๋อเสวี่ยอิง กระบวนท่าใดๆ ของนางล้วนมีพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นทั้งสิ้น!
ดำขาวสองเผ่าพันธุ์ต่างก็เชี่ยวชาญการทำลายล้าง หนึ่งเชี่ยวชาญ ‘การกัดกร่อนทำลาย’ ส่วนอีกหนึ่งก็เชี่ยวชาญ ‘การชำระล้าง’ เคล็ดวิชาอันตรงกันข้ามของพวกเขาสองเผ่าพันธุ์ก็สามารถผสานรวมซึ่งกันและกันได้… ทำให้พลังทำลายล้างไปถึงระดับขั้นใหม่ พวกนางเป็นร่างรวมที่น่าหวั่นเกรงที่สุดในการต่อสู้ประชิดตัวอย่างสิ้นเชิง
“ฉึกๆๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกยาวเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ ห้วงมิติจำนวนนับไม่ถ้วนบริเวณรอบๆ กลับวูบไหวไม่เสถียร ต้านทานทั้งหมดทั้งมวลเอาไว้
อสรพิษสามหัวก็สำแดงเคล็ดการพันธนาการกักขังศัตรูต่างๆ มากมาย หัวงูหนึ่งในนั้นอ้าปากกว้าง ลิ้นยาวเหยียดจำนวนนับไม่ถ้วนลอยพุ่งออกมาห่อหุ้มเอาไว้ งูตนหนึ่งอ้าปาก ห้วงอากาศโดยรอบก็ดำทะมึนไปหมด ดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองไม่เห็นประกายใดๆ เลย…
แต่ละคนแสดงเคล็ดวิชาอย่างสุดฝีมือ
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับต้านรับเอาไว้ได้อย่างสบายๆ
ถึงแม้ว่าศัตรูจะแข็งแกร่ง ทว่าแต่ละคนก็ได้รับผลกระทบจากเขตลวงโลกเทียม พลังยุทธ์แสดงออกมาได้เพียงแค่ครึ่งเดียวของขั้นสูงสุดเท่านั้น ตอนนี้เคล็ดวิชามากมายของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นแสดงออกมาได้ในระดับเหนือจินตนาการ ก็ย่อมป้องกันทั้งหมดเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว
“พวกเราทั้งหกร่วมมือกันก็ยังมิอาจถือครองความได้เปรียบได้เลยหรือนี่” พวกเขาทั้งหกตกอกตกใจ
“นี่ นี่…”
เทียนหลางเค่อและนักพรตฉื้อเฟิงที่หลบหนีไปไกลแล้วต่างก็พากันหยุดลง เทียนหลางเค่อมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่เผชิญกับการล้อมโจมตีของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาทั้งหกอยู่ห่างๆ การต่อสู้ครั้งใหญ่นั้น สองฝ่ายก็สูสีกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถป้องกันได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
เทียนหลางเค่อทั้งพรั่นพรึง ทั้งรู้สึกละอายที่ตนถึงกับหนีมาเสียแล้ว
“ข้าจะไปช่วยเขา” เทียนหลางเค่อพูด
“อย่าไป” นักพรตฉื้อเฟิงตะโกนถ่ายเสียงพูด “ตอนนี้จ้าวหิมะเหินป้องกันอย่างไม่มีรอยรั่วแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังยากที่จะคุกคามถึงชีวิตของทั้งหกท่านนี้ได้ ถ้าหากเจ้าเข้าไปเขาก็ไม่มีทางแบ่งจิตใจมาช่วยเจ้าได้ เจ้ากลับจะตกอยู่ในอันตรายได้นะ”
เทียนหลางเค่อลังเลอยู่ชั่วครู่
“พรึ่บ”
ที่ไกลออกไปมีสายโซ่อากาศจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาในทันใด สายโซ่อากาศเหล่านี้ทุกเส้นล้วนละเอียดลออเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเส้นผมของมนุษย์ธรรมดาก็มิปาน สายโซ่อากาศจำนวนนับไม่ถ้วนเกี่ยวรัดพันธนาการอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่โดยรอบ ทั้งยังพันธนาการสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาหกตนนั้นเอาไว้ด้วย
“ช่างเป็นเคล็ดวิชาพันธนาการที่ร้ายกาจยิ่งนัก เคล็ดวิชาพันธนาการนี้จะต้องเป็นคละถิ่นระดับโลกาขั้นสมบูรณ์อย่างแน่นอน” หกตนนั้นตกตะลึง
“หนีเร็ว” เพราะหญิงสาวหมอกเทาห้ำหั่นกับตงป๋อเสวี่ยอิง ทันใดนั้นนางก็ค้นพบว่าในนัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีกฎเกณฑ์อันเร้นลับโคจรพรั่งพรูอยู่ จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็หลับตาลง ไม่สนใจสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาหกตนที่อยู่รอบๆ อีกต่อไป หญิงสาวหมอกเทาสัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นพรั่นพรึงจากวิญญาณอันมิอาจอธิบายได้! นางมีลางสังหรณ์ชนิดหนึ่ง…
ยามที่จ้าวหิมะเหินผู้นี้ลืมตา มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นยามที่พวกเขาต้องตาย
“เร็ว หนีเร็วเข้า” หญิงสาวหมอกเทาถ่ายเสียง ขณะเดียวกันนั้นตัวนางเองก็เตรียมจะหลบหนีด้วย
“เป็นอะไรไปแล้วเล่า เขาเพียงแค่ต้านทานป้องกันมาโดยตลอด แล้วเหตุใดพวกเราจึงต้องหนีกันด้วยเล่า”
“หนีไปตอนนี้แล้วจะไปอธิบายกับเหล่าบรรพชนอย่างไรเล่า”
“พวกเราร่วมมือกันกำจัดร่างแยกพลังรบหลักนี้ของเขาแล้วค่อยว่ากันเถิด”
คนอื่นๆ อีกสี่คนกลับไม่ยอมจำนนใจ
“หนีสิ หากไม่หนีก็จะตายเอาได้นะ” หญิงสาวหมอกเทาต้านทานสายโซ่บริเวณรอบๆ อย่างสุดความสามารถ แต่โซ่ตรวนที่อยู่รอบๆ ก็โคจรอย่างเร้นลับมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ พลังพันธนาการก็ทวีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ทันใดนั้นหญิงสาวหมอกเทาก็หวาดหวั่นมากยิ่งขึ้น ความเร็วในการเหินทะยานของนางลดต่ำลงอย่างฉับพลัน ห้าส่วน สามส่วน หนึ่งส่วน…
อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่อีกสี่ท่านที่เดิมทียังลังเลอยู่ก็รู้สึกได้ว่าการพันธนาการของสายโซ่อากาศจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบๆ พุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลันเช่นกัน แต่ละคนต่างพากันหน้าถอดสี
เป็นไปได้อย่างไรกัน
ถ้าหากเป็นการพันธนาการก่อนหน้านี้ยังนับได้ว่าเป็นคละถิ่นระดับโลกาขั้นสมบูรณ์ ทว่าตอนนี้กลับแข็งแกร่งขึ้นเป็นห้าเท่า สิบเท่า…
“ฆ่า ฆ่าเขาเสีย”
“หนีเร็วเข้า”
สี่ท่านนี้ก็ลนลานเสียแล้ว อย่างเช่นอสรพิษสามหัวก็ต่อสู้ระยะประชิดอย่างบ้าคลั่ง แต่ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะยืนหลับตาอยู่ที่นั่น แต่การป้องกันของห้วงมิติที่ผิวกายชั้นแล้วชั้นเล่ากลับทวีความเร้นลับมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน การโจมตีของพวกเขาย่อมไม่สามารถสัมผัสกับชายเสื้อของตงป๋อเสวี่ยอิงได้เลยเสียด้วยซ้ำ
หญิงสาวหมอกเทาที่หนีไปไกลแล้ว ในที่สุดก็ดิ้นรนไม่ไหวอีกต่อไปตามสายโซ่อากาศที่ทวีความน่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้น สายโซ่อากาศแทรกผ่านทะลุเข้าไปทั่วทุกบริเวณของร่างกายนางอย่างสมบูรณ์ นางแบ่งร่างออกเป็นไอหมอกสีดำและไอหมอกสีขาว ไอหมอกสองกลุ่มถูกสายโซ่อากาศที่ละเอียดราวกับเส้นผมจำนวนนับไม่ถ้วนแทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกาย แต่ละคนราวกับถูกแช่แข็ง ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
อสรพิษสามหัวก็แยกจากกันแล้ว แปลงร่างกลายเป็นอสรพิษไร้ขีดจำกัดสามตน ถูกสายโซ่อากาศพันธนาการแทรกผ่านเช่นเดียวกัน อสรพิษไร้ขีดจำกัดสามตนนี้ต่างก็แข็งนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
สัตว์ปีกตนนั้นก็เป็นเช่นนี้ ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
สายโซ่อากาศขนาดมหึมาจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ปกคลุมไปทุกทิศทุกทาง สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาขั้นสมบูรณ์หกตนเยือกแข็งอยู่ด้านใน ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้นที่ยืนหลับตาอยู่ที่นั่น
ภาพเหตุการณ์ฉากนี้
ทำให้เทียนหลางเค่อและนักพรตฉื้อเฟิงกลั้นหายใจ พวกเขาต่างก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาแล้ว พวกเขาต่างก็ตระหนักรู้อะไรขึ้นมาบ้างรางๆ แล้ว
……
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย
ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นคนอื่นๆ ที่คอยจับตามองที่นี่ไปจนถึงบรรดาเจ้าดินแดนต่างก็พากันตื่นเต้น ‘เหล่าบรรพชน’ เผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดก็ตื่นเต้นเช่นกัน จากนั้นทุกคนก็พากันส่งสาร ผู้แกร่งกล้าพากันมุ่งสายตามาทางนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นานนัก เจ้าดินแดนแปดท่านก็พากันมองมาทางนี้
******
“งดงามยิ่งนัก”
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะหลับตา แต่ในห้วงสมองกลับมี ‘วิถีห้วงมิติคละถิ่น’ ปรากฏขึ้น ในขณะนี้ เขาสามารถรู้แจ้งและเข้าถึงได้อย่างสมบูรณ์
ดังคำที่ว่าเช้ารับรู้วิถี ค่ำจะตายก็ไม่เป็นไร
ทำไมน่ะหรือ
ข้อแรกก็คือ นี่เป็นสิ่งที่ตนใฝ่หา ใฝ่หามาตลอดคืนวันอันยาวนาน
ข้อสองก็คือ…งดงามเกินไปจริงๆ!
มันแฝงไว้ด้วยหลักการอันเป็นแก่นแท้ที่สุดของมิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัดแห่งนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงออกเดินทางด้วยวิถีอากาศ ดูดซับความเร้นลับทั้งหลาย ถึงขั้นเมื่อถึงระดับครึ่งคละถิ่นก็ดูดซับความเร้นลับวิถีเขตลวงโลกเทียม…ในที่สุด บัดนี้ก็เข้าถึงแก่นแท้ของ ‘พลังห้วงมิติคละถิ่น’ การโคจรของห้วงมิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัด อย่างน้อยทางด้านพลังคละวิถี สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป
“พลังคละวิถีคือผืนดินของโลกต่างๆ เช่นโลกกำเนิด มันโอบอุ้มทุกสิ่ง เป็นรากฐานของทุกสิ่ง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้นมา
ร่างกายของเขาเริ่มเหินทะยาน ระดับขั้นเริ่มยกระดับขึ้นไป
เริ่มดูดซับพลังคละวิถีอันไร้ที่สิ้นสุดรอบด้าน ทันใดนั้นพลังคละวิถีจากบริเวณอันกว้างใหญ่โดยรอบก็โหมซัดและรวมตัวกันขึ้นมา ก่อเกิดเป็นน้ำวนขนาดมหึมา พลังคละวิถีจำนวนมากโหมซัดเข้าสู่ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงตลอดเวลา ทำให้ร่างกายของเขาเกิดความเปลี่ยนแปลง ผิวกายเริ่มมีโลกคละถิ่นเล็กๆ ถือกำเนิดขึ้นมา ร่างกายแข็งแกร่งราวกับคละถิ่น ประหนึ่งทุกกระบวนท่ามีอานุภาพไร้ที่สิ้นสุด แต่ก็ยิ่งใหญ่ราวกับอากาศ เกรงว่าต่อให้ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกโจมตีมากกว่านี้ ก็คงเหมือนโจมตีอากาศ มิอาจแตะต้องถูกร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงได้
“เจ้าดินแดนหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของร่างกายตนเอง
มิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัดนี้ มีพละกำลังระดับสูงสุดมากมาย สามารถต้านทานพละกำลังระดับสูงสุดได้…ก็คือมีพลังรบระดับเจ้าดินแดนและระดับบรรพชนแล้ว! ข้อแตกต่างระหว่างเจ้าดินแดนในหมู่ผู้บำเพ็ญและบรรพชนของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดก็คือ…แม้เหล่าบรรพชนจะต้านทานได้ สามารถสำแดงพละกำลังระดับนี้ออกมาได้ แต่พวกเขาอาศัยการขุดค้นสายโลหิตจนถึงขั้นสุด
แต่บรรดาเจ้าดินแดนกลับเข้าถึง ‘วิถี’ ซึ่งเป็นแก่นของพละกำลัง จึงย่อมไม่เหมือนกัน
“มิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัดนี้ พลังคละวิถีเป็นเพียงผืนดิน บนผืนดินนี้ ยังมีพละกำลังมากกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่อมเนื้อถ่อมตัวยิ่งขึ้น เขารู้ว่ายังมีอีกหลายส่วนที่ไม่เข้าใจ
……
ณ ส่วนลึกของมิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัด
มีโลกอันแปลกประหลาดใบหนึ่งซ่อนเร้นอยู่ เมื่อมันซ่อนเร้นขึ้นมา ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดในมิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัดล้วนมิอาจพบมันได้
ยามนี้มันแผ่ระลอกคลื่นออกมา มองดูอยู่ห่างๆ
มองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งอยู่ไกลออกไปผู้นั้น
“สิ่งมีชีวิตภายในโลกกำเนิด ในที่สุดก็มีเจ้าดินแดนคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาแล้วหรือ ช่างมหัศจรรย์นัก สิ่งมีชีวิตซึ่งเดิมทีอ่อนแอหาใดเปรียบกลับสามารถสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ในที่สุด จนกระทั่งสามารถเดินไปถึงระดับยอดสุดได้ จนทำให้ข้าสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน” ผนังเยื่อของโลกใบนี้มีดวงตามหึมาดวงหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ จากนั้นดวงตาก็อันตรธานหายไป
…………