แทบจะในชั่วขณะที่ชงอี้จื่อเอ่ยออกมา กลิ่นอายสะเทือนฟ้าสะเทือนดินสายหนึ่งก็ระเบิดจากร่างของเขาทันที ท่ามกลางการระเบิดนี้ ชงอี้จื่อยืนอยู่ในอวกาศ ดวงตาฉายประกายแสงจางๆ ออกมา
ตอนนี้ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง บาดเจ็บสาหัส ลมหายใจอ่อนแรง สีหน้าซีดขาว ถึงขั้นที่ดารานิรันดร์ด้านหลังก็ยังเลือนรางไปด้วย แต่ภายในร่างของเขามีสภาพแย่ยิ่งกว่า
อวัยวะภายในปริแตกอยู่ตลอด กระดูกทั่วร่างสั่นระริก เลือดเนื้อฉีกขาดอยู่ทุกขณะ
อาการบาดเจ็บเช่นนี้หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น น่ากลัวว่าจะทนไม่ไหวไปนานแล้ว แต่ชงอี้จื่อกลับฝืนอดทน ถึงขั้นที่ยามเอ่ยปากพูด มุมปากของเขาก็ยังมีรอยยิ้ม
“เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าจึงต่อสู้กับเจ้าโดยไม่กลัวบาดเจ็บล่ะ” ชงอี้จื่อเอ่ยปากแล้วเดินไปหาหวังเป่าเล่อหนึ่งก้าว เมื่อก้าวนี้เหยียบลงพื้น อาการบาดเจ็บทั้งหมดด้านนอกร่างกายของเขาก็มีร่องรอยพลังงานสีม่วงแผ่ออกมาในพริบตา แล้วก่อตัวเป็นอักขระโบราณตัวแล้วตัวเล่า แผ่แสงจางๆ แปลกประหลาดแบบดวงตาของเขา
ครั้นเห็นเช่นนี้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ หรี่ลง เขาสัมผัสได้ในทันทีว่ามีหลายจุดบนร่างของเขาที่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา ถึงขนาดไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบ แค่เพียงดูด้วยตาเปล่าก็มองเห็นว่า…บริเวณที่เขารู้สึกเจ็บปวดนั้นคือจุดเดียวกับบาดแผลบนร่างของชงอี้จื่อทุกประการ!
“เจ้าคิดว่า เหตุใดหลังจากกระบวนวิชาของข้าถูกทำลาย ถึงยังสามารถใช้กระบวนเวทที่อาศัยอาการบาดเจ็บรุนแรงยิ่งกว่าเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนได้อีกล่ะ” ชงอี้จื่อหัวเราะขึ้นมาแล้วก้าวเข้าไปอีกก้าว ครั้งนี้ไม่ใช่แค่บาดแผลด้านนอกเท่านั้นที่แผ่ไอสีม่วงออกมา แต่ยังมีไอสีม่วงแผ่ออกมาจากทวารทั้งเจ็ดและรูขุมขนอีกมากมาย พวกนี้…มาจากอวัยวะภายในร่าง มาจากกระดูก และมาจากเลือดเนื้อของเขา!
ไอสีม่วงที่แผ่จากภายในสู่ภายนอก ขณะที่มันกำลังแพร่กระจาย ก็แผ่ไปรอบตัวของชงอี้จื่อแล้ว ทำให้อวกาศรอบกายเขามีไอสีม่วงน่าตื่นตะลึงปรากฏอยู่ในพริบตา
ขณะเดียวกันนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นทันทีว่าอาการเจ็บปวดด้านนอกร่างของตนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งอวัยวะภายในกับกระดูกและเลือดเนื้อของตนก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เจ้าคิดว่าเจ้าชนะจริงๆ หรือ”
“เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถสยบข้าได้จริงๆ หรือ” ชงอี้จื่อหัวเราะลั่นพลางก้าวเดินเป็นก้าวที่สาม เมื่อก้าวนี้เหยียบลง ดารานิรันดร์ที่สั่นไหวและหม่นแสงเลือนรางอยู่ด้านหลังของเขาก็เปลี่ยนสีสันในพริบตาอย่างคาดไม่ถึง มันกลายเป็นสีม่วงกว่าครึ่ง อีกทั้งยังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังบริเวณที่ยังไม่เปลี่ยนสี!
ทั้งหมดนี้นำพาวิกฤตอันตรายอย่างยิ่งมาสู่หวังเป่าเล่อ ทำให้ในดวงตาที่หรี่ลงของหวังเป่าเล่อฉายแววแปลกประหลาด เขาสัมผัสได้ว่าแผนที่ดวงดาวของตนในตอนนี้ก็สั่นสะเทือนเหมือนกัน ทั้งยังมีรอยแตกร้าวเล็กๆ หลายเส้นกำลังปรากฏขึ้นรวดเร็วราวกับมีชีวิตขึ้นมา!
“ชงอี้จื่อ…อุบายล้ำลึกนัก!” สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึม ตั้งแต่ปีนั้นที่เขาตามศิษย์พี่เฉินชิงจื่อออกมาจากโลก ตลอดทางก็ได้ผ่านเรื่องราวมากมายหลายประการ ผ่านการต่อสู้เล็กใหญ่มานับไม่ถ้วน
แต่กลับมีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำให้เขาประทับใจอย่างล้ำลึกสุดๆ อย่างวันนี้ก็มีเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง
นั่นก็คือชงอี้จื่อที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อครู่ยามที่คนผู้นี้ลงมือกับตนก็ได้คำนวณเอาไว้แล้ว ไม่ระวังเพียงแค่นิดเดียวก็จะตกอยู่ในการคำนวณของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันบุคลิกของคนผู้นี้ก็ยังเปลี่ยนแปลงมากมาย ดูคล้ายจะมีความเย่อหยิ่งในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่ง แต่ความจริงเมื่อลดท่าทางลงก็ไม่มีความรู้สึกว่าไม่คล่องแคล่วสง่างามเลยสักนิด
อุบายเช่นนี้เมื่อรวมกับพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เดิมก็ทำให้ชงอี้จื่อผู้นี้ไม่ธรรมดาสามัญอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อให้ความสำคัญยิ่งกว่าก็คือ หลังจากการคำนวณครั้งแรกของคนผู้นี้ล้มเหลว เขากลับวางแผนคำนวณครั้งที่สองเอาไว้
การคำนวณครั้งที่สองนี้ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า…คำสาปร่วมชะตา!
คำสาปนี้…หากอธิบายง่ายๆ ก็เหมือนกับกระจกแผ่นหนึ่ง ทันทีที่ใช้ออกมาจะสามารถสะท้อนสภาพร่างกายของตนไปยังร่างของศัตรูได้ หรือหมายความว่า…ยิ่งตนบาดเจ็บหนักมากเท่าไร เช่นนั้นทันทีที่คำสาปนี้ถูกใช้งาน อาการบาดเจ็บของศัตรูก็จะหนักหนาในแบบเดียวกัน!
ดังนั้นหากคิดจะใช้งาน ตนจะต้องบาดเจ็บถึงขีดสุดก่อน มีเพียงอย่างนี้เท่านั้นถึงจะทำได้สำเร็จ เมื่อดูจากผิวเผินแล้ว มันคล้ายกับกระบวนเวทตายพร้อมกัน แต่ความจริงแล้วคำสาปนี้ยังมีวิธีการใช้งานแบบอื่นอยู่อีก มันสามารถทำให้อาการบาดเจ็บหายดีได้ในระยะสั้นๆ หลังจากเวทคำสาปจบสิ้น แล้วพลิกกระดานจากแพ้มาเป็นชนะได้!
‘ดังนั้นการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ แต่ก็คงจะเป็นความตั้งใจของชงอี้จื่อ ถ้าหากสามารถเอาชนะได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าทำไม่ได้…เช่นนั้นในช่วงเวลาสำคัญก็ใช้คำสาปนี้เสีย ทำพฤติกรรมเช่นนี้ออกมาเพราะเกรงกลัวเต๋านิรันดร์ของข้าหรือ หรืออาจจะกลัวพลังกฎเกณฑ์ข้าด้วย…’
หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด ร่างกายของเขามีเสียงกึกก้องดังออกมา บาดแผลมากมายปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ทั้งยังมีเลือดไหลออกมาพร้อมกัน อวัยวะภายในร่างเริ่มปริแตก แผนที่ดวงดาวด้านหลังยิ่งหม่นแสงและเลือนราง ทั้งหมดนี้ล้วนเหมือนกับสภาพของชงอี้จื่อในตอนนี้ไม่มีผิด
“น่าสนใจ รู้ว่ากลุ่มเพลิงอัคคีของข้าเชี่ยวชาญด้านการสาป และยิ่งรู้ดีว่าคำสาปสายเลือดใช้พลังชีวิตเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน แล้วยังกล้าสู้กับข้าด้วยเวทคำสาปอีก”
“ดูท่าเจ้าจะมั่นใจมากว่าพลังชีวิตของข้าแซ่หวังผู้นี้…ไม่พอเอามาสาปแช่งเจ้าได้” หวังเป่าเล่อเพิกเฉยต่ออาการบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอกร่างของตน ยิ่งไม่สนใจการหม่นแสงของแผนที่ดวงดาวด้านหลังด้วย ต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ความจริงเขายังมีเคล็ดวิชาลับอีกมากมายที่ยังไม่ได้ใช้ออกมา
ถึงแม้จะไม่ใช่พลังต่อสู้สองสามส่วนอย่างที่พูดไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ แต่ก็ไม่ใช่พลังทั้งหมดของเขาด้วยเช่นกัน
ภาพฉายของเทพวัว บทสวดแห่งเต๋า แล้วยังมีฝักกระบี่เนื้อแท้ของหวังเป่าเล่ออีก ซึ่งพวกนี้เขายังไม่ได้ใช้ออกมาเลย
ถึงอย่างไรก็เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อไม่เพียงจำเป็นต้องใช้การต่อสู้มาทำให้พลังต่อสู้ของตนมั่นคง แต่ยิ่งกว่านั้นคือต้องการหินลับมีดที่ดีมากๆ ชิ้นหนึ่งมาลับดาบของตนให้แหลมคมขึ้นไปอีก
และชงอี้จื่อก็คือหินลับมีดที่เหมาะสมที่สุดในสายตาของหวังเป่าเล่อ!
แม้ว่าเขาจะรู้สึกรางๆ ว่าอาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟย่อมรู้สึกถึงการต่อสู้ครั้งนี้ แต่คงตั้งใจและต้องการให้อีกฝ่ายมาลับคมมีดให้ตัวเขา!
“ก็ดี…นานมากแล้วที่ไม่ได้ใช้เวทคำสาป ข้าแทบจะไม่เหมือนศิษย์ของกลุ่มเพลิงอัคคีแล้ว” จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะ คำสาปของกลุ่มอัคคีมีชื่อว่าคำสาปวิญญาณเพลิง!
พื้นฐานของคำสาปนี้ก็คือพลังชีวิต พลังชีวิตอันไร้ขอบเขต ขณะเดียวกันสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็ยังมี…ความอาฆาต ความอาฆาตแค้นมหาศาลไร้ที่สิ้นสุด!
ดังนั้นภายใต้รอยยิ้มนี้ หวังเป่าเล่อจึงยกมือซ้ายขึ้นมา รอบๆ มือซ้ายพลันมีเส้นสีดำปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็แผ่ไปทั่วฝ่ามือแล้ว เหมือนกับรอยย่นและเส้นเลือดที่มีมากขึ้น ทำให้มือซ้ายกลายเป็นสีดำสนิทไปโดยปริยาย!
และในความดำมืดนี้ แรงอาฆาตไร้ที่สิ้นสุดก็แพร่กระจายอย่างบ้าคลั่งมาจากภายใน มันแผ่ซ่านอยู่ในอวกาศทั่วทุกทิศ ทำให้อวกาศรอบๆ บิดเบี้ยวและทำให้พวกเซี่ยไห่หยางแต่ละคนที่อยู่ไกลๆ หน้าเปลี่ยนสีกันยกใหญ่ ในสายตาของพวกเขาคล้ายกับมองไม่เห็นหวังเป่าเล่อ เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นมีเพียงมือซ้ายที่มีความอาฆาตแค้นมาบรรจบ…อย่างไม่มีหยุดยั้ง!
นี่ไม่ใช่แค่พลังของทหารอาฆาตเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความบ้าคลั่งของเผ่าเทพอัคคีด้วย และยังมีผีดิบกับความยึดมั่นเกลียดชังโลกาและความมุ่งมั่นที่จะบดขยี้ความว่างเปล่า!
ความอาฆาตแค้นที่ก่อตัวและรวบรวมมาจากอดีตชาติ ถึงแม้จะไม่ได้รวมมาไว้ที่ชาตินี้ทั้งหมด แต่เกรงว่าแค่เพียงส่วนเดียวก็พอแล้ว และเมื่อมือซ้ายแรงอาฆาตนี้ปรากฏขึ้น ก็ทำให้ชงอี้จื่อหน้าเปลี่ยนสีทันที!
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบสนอง พลังชีวิตของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดออกมากะทันหัน!
สิ่งที่หวังเป่าเล่อไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือพลังชีวิต เพราะธาตุไม้หมายถึงพลังชีวิต และร่างจริงของหวังเป่าเล่อก็คือกระดานไม้ดำสามฉื่อแผ่นหนึ่ง!
ดังนั้นตอนนี้ ขณะที่สัมผัสสวรรค์ของเขาเคลื่อนไหว ภายในแผนที่ดวงดาวหม่นแสงด้านหลังของเขาก็มีกระดานไม้ดำเลือนรางปรากฏขึ้นทันใด เมื่อมันปรากฏขึ้นมา พลังชีวิตไร้ขีดจำกัดก็ปะทุออกมาอย่างมหาศาลจากภายในร่างของหวังเป่าเล่อพร้อมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
มือขวาของเขายกขึ้นมาพร้อมกับการระเบิดครั้งนี้ ทำให้พลังชีวิตทั้งหมดผสานเข้ามาในพริบตาแล้วกลายเป็นแหล่งพลัง ตอนนี้เมื่อเขายกมือขึ้น มือซ้ายของหวังเป่าเล่อก็เป็นแรงอาฆาต มือขวาเป็นพลังชีวิต พริบตาที่นิ้วทั้งสิบตรงหน้าสัมผัสกัน เขาก็เงยหน้าขึ้นกะทันหัน มองไปยังชงอี้จื่อที่ตอนนี้หน้าเปลี่ยนสีครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสงบนิ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“คำสาปวิญญาณเพลิง!”
ทันทีที่เปล่งเสียง อวกาศก็สะเทือนเลื่อนลั่น แรงอาฆาตและพลังชีวิตของหวังเป่าเล่อลดลงไปเล็กน้อยทันที ส่วนทางชงอี้จื่อ ตอนนี้เขาตกใจมากจนร้องคำรามไม่อยากจะเชื่อออกมา
“แรงอาฆาตนี้ พลังชีวิตนี้….เป็นไปไม่ได้!” เขาร้องคำรามพลางถอยหลังรวดเร็ว แต่ก็สายไปแล้ว ไอสีม่วงทั้งหมดด้านนอกร่างของเขาเดือดพล่านในพริบตา มันกลับหลุดออกจากการควบคุมของชงอี้จื่อ แล้วกลายเป็นกริชสีดำสามเล่มที่เต็มไปด้วยหัวกะโหลกจำนวนมากทันที แผดคำรามไร้เสียง จากนั้นจึงพุ่งเข้าหาชงอี้จื่อพร้อมแทงเข้าไปในร่างของเขาอย่างแรง!
………………………