บทที่ 877 คนสุดท้าย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 877 คนสุดท้าย

จูจวิ้นหลานพยายามคิดหาคำตอบ แต่สุดท้ายก็ต้องส่ายหน้าบอกว่าตนเองไม่รู้

ชายหัวโล้นรูปหล่อยิ้มอวดฟันขาว ก่อนตอบว่า “ชื่อของข้าหมายถึงข้าเกิดมาเพื่อสร้างพิธีศพให้แก่คนสามประเภท ประเภทแรกคือมนุษย์ทั่วไป ประเภทที่สองคือปีศาจชั่วช้า…”

จูจวิ้นหลานกับเกออู๋โหยวเบิกตาโตด้วยความมึนงง

นับเป็นชื่อที่มีความหมายซ่อนเร้นน่าเกรงขาม

แต่แล้วพวกเขาก็ได้ยินชายหัวโล้นกล่าวต่อว่า “ประเภทที่สาม…คือเทพเจ้า!”

ความหมายที่แท้จริงของชื่อนี้ทำให้ทั้งเกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานตะลึงลาน

พิธีศพสำหรับเทพเจ้า?

ไม่ฟังดูเป็นการดูหมิ่นเทพเจ้าเกินไปหน่อยหรือ?

แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้กล่าวอะไร ชายหัวโล้นหน้าตาหล่อเหลาก็หายตัวไปเสียแล้ว

“แมงมุมลายตัวนั้น ฉันเห็นมันซมซานเหลือทน วันนึงมันถูกฝน ลื่นไหลลงจากบนหลังคา พระอาทิตย์ส่องแสง ลมพัดแรงยามแสงฉายมา มันรีบไต่ขึ้นฟ้า หันหลังมาทำตาลุกวาว”

ชายหัวโล้นยืนร้องเพลงเด็กอย่างอารมณ์ดี

แต่เขายืนรอแถวเจดีย์เซียนเหยียบเมฆอยู่นานสองนาน สุดท้ายอารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นฉุนเฉียว

“ทำไมไม่ตามมานะ?”

ชายหัวโล้นคิดไม่ถึงว่าจูจวิ้นหลานจะไม่ติดตามออกมาเพื่อว่าจ้างเขาเป็นหลักประกันคนที่สาม

หรือว่าตัวตนเซียนตะปูเพชรซึ่งมีพลังขั้นเซียนเหรียญทองคำจะไม่มีค่ามากพอในสายตาของจูจวิ้นหลาน?

“หรือว่าหมอนั่นจะเกิดกลัวเราขึ้นมา?”

เขาไม่อาจทราบได้เลย

หลินเป่ยเฉินเอาบุคลิกของถังไซเซี่ยมาจากพระถังซัมจั๋งในตำนานไซอิ๋ว

แล้วทำไมผลลัพธ์ถึงออกมาเป็นเช่นนี้?

หรือเพราะเขาอธิบายชื่อของตนเองอย่างน่ากลัวมากเกินไป จูจวิ้นหลานถึงไม่กล้าติดตามมาเจรจาธุรกิจ?

ให้ตายสิ

ไม่น่าไปแกล้งขู่หมอนั่นเลย

ไม่งั้นก็คงได้ศิลาบูชามาอีก 100 ก้อนแล้ว

ชายหนุ่มหัวโล้นรอคอยอีกประมาณหนึ่งก้านธูป เมื่อเห็นว่าจูจวิ้นหลานไม่มีทีท่าจะออกมาตามหาเขา ชายหนุ่มก็สบถคำหยาบและเดินจากมา

หลังจากนั้น เขาแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มผู้คนบนท้องถนน

ผู้คนเดินผ่านมาและเดินผ่านไป

หัวไหล่เบียดเสียดแออัด

ชายหนุ่มหัวโล้นก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อน ไม่เชื่องช้า

แต่เจดีย์เซียนแห่งนี้ไม่ปกติแน่ๆ ตอนตั้งชื่อกระบี่เซียนรชตะยังฟังดูเข้าท่า แต่ไอ้สามชื่อหลังอย่างบุรุษก้านยาว เซียนเคราดกกับเซียนตะปูเพชรนั่นมันอะไรกัน

นี่นับเป็นชื่อตำแหน่งฉายาที่น่าภาคภูมิใจนักหรือ?

เขาสมควรได้รับชื่อที่ดีกว่านี้ใช่หรือไม่?

ยิ่งไปกว่านั้น เขาผ่านการทดสอบได้ลำดับชั้นขั้นสูง ก็ควรที่จะมีฉายาฟังดูเข้าทีกว่านี้ไม่ใช่หรือ?

ชายหนุ่มหัวโล้นจ้องมองป้ายประจำตัวของตนเองด้วยสีหน้าครุ่นคิด

หลังจากนั้น เขาก็มาถึงโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ชายหนุ่มเดินอ้อมไปทางตรอกด้านหลัง และเข้าไปในห้องพักที่จองไว้นานแล้ว

ชายหนุ่มหัวโล้นนั่งอยู่หน้ากระจก จ้องมองเงาสะท้อนใบหน้าตนเองและก็อดอุทานออกมาไม่ได้ “หล่อจังเลยเว้ย คนต่อไปจะปลอมเป็นใครดีนะ?”

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาใช้งานแอปเมจิก คาเมร่า

สีหน้าของชายหนุ่มหัวโล้นเต็มไปด้วยความเจ็บใจ

กลืนน้ำลายด้วยความฝืดฝืน

นับตั้งแต่ที่โทรศัพท์มือถือได้รับการอัปเกรด การทำงานทุกอย่างในโทรศัพท์ก็มีค่าใช้จ่ายเป็นศิลาบูชา

ทุกครั้งที่เขาปลอมตัวโดยใช้แอปเมจิก คาเมร่า หลินเป่ยเฉินก็ต้องจ่ายค่าบริการเป็นศิลาบูชา

แม้แต่การปลอมเสียงก็มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน

พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าหลินเป่ยเฉินต้องการจะใช้แอปเมจิก คาเมร่าปลอมตัวเป็นบุคคลอื่น เขาก็ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายเป็นศิลาบูชาครั้งละ 10 ก้อน

นั่นหมายถึงเงินจำนวนไม่ใช่น้อย

หัวใจของเด็กหนุ่มเจ็บปวดรวดร้าว

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คุ้มค่า

เพราะนอกจากรูปโฉมจะเปลี่ยนไปแล้ว แม้แต่เจดีย์เซียนเหยียบเมฆก็ยังตรวจไม่พบความผิดปกติ

และจูจวิ้นหลานก็ต้องจ่ายศิลาบูชามาให้เขารวมทั้งหมดถึง 600 ก้อนแล้ว

“ยังเหลือพลังปราณธาตุดิน เราจะปลอมตัวเป็นใครดีวะ?”

หลินเป่ยเฉินมองเงาสะท้อนในกระจก สุดท้ายก็ปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มร่างอ้วน หน้าตาสดใสร่าเริงผู้หนึ่ง

“ใช้เอ็งนี่แหละเซียวปิง ไหนๆ เราก็เคยสลับตัวกันมาแล้ว ลองอีกสักครั้งคงไม่มีปัญหา”

เด็กหนุ่มยิ้มกว้างและเก็บโทรศัพท์

ก่อนจะก้าวเดินออกมาจากห้องพัก

เจดีย์เซียนเหยียบเมฆ

“ทำไมท่านถึงไม่ตามถังไซเซี่ยไป?”

เกออู๋โหยวถามด้วยความสงสัย “นับดูในผู้ที่มาขึ้นทะเบียนวันนี้ เขาคือผู้มีพลังสูงสุด ถ้าเขายอมลงมือด้วยตนเอง ย่อมมีโอกาสสังหารหลินเป่ยเฉินสำเร็จมากกว่าทุกคน”

“ชายหัวโล้นคนนี้พูดมากเกินไป”

จูจวิ้นหลานพูดด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นไม่หาย “หากไม่มีเรื่องจำเป็นอันใด ข้าเพียงหวังว่าตนเองอย่าได้พบเจอเขาอีก”

เกออู๋โหยวพยักหน้าด้วยความเข้าใจ

“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าคิดว่าถังไซเซี่ยเป็นบุคคลอันตราย ลักษณะคล้ายคนวิกลจริต เราอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาดีกว่า บุคคลเช่นนี้ไม่ง่ายต่อการควบคุม”

จูจวิ้นหลานพูดพลางยกมือจับคางตัวเอง

เกออู๋โหยวยังคงถือถ้วยน้ำชาอยู่ในมือ และพยักหน้าต่อไปขณะรับฟัง

บัดนี้ เขาอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว

เพียงวันเดียว เจดีย์แห่งนี้ก็ขึ้นทะเบียนผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำได้ถึงสามคน นับเป็นผลงานที่ดีที่สุดในรอบสามปีของเจดีย์เซียนประจำจักรวรรดิเป่ยไห่

เพราะฉะนั้น เด็กหนุ่มจึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวใดให้มากความ เขาเพียงหวังว่าหลังจากนี้ตนเองจะได้ล้มตัวลงนอนเสียที

“ในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อนนะ น้องเกอ…”

จูจวิ้นหลานลุกขึ้นยืนเตรียมตัวเดินทางกลับ

ทันใดนั้น…

ก๊อกก๊อกก๊อก!

เสียงเคาะประตูที่คุ้นเคยดังขึ้น

เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานหรี่ตาลงพร้อมกัน ความคิดที่น่าเหลือเชื่อปรากฏขึ้นในจิตใจ…

คงไม่ใช่หรอกกระมัง?

พวกเขาตวัดสายตามองไปที่หน้าจอขนาดใหญ่

และก็ได้เห็นเด็กหนุ่มร่างอ้วนสวมใส่เสื้อคลุมสีดำยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าประตู คล้ายกับต้องการจะถามว่า ‘ที่นี่มีอาหารอร่อยๆ ให้รับประทานบ้างหรือไม่?’

(นี่คือข้อความจากสมุดบันทึก)

ข้ามีนามว่าเกออู๋โหยว

ตอนที่อาจารย์มาพบเจอข้าบริเวณพุ่มไม้ริมทาง ข้ายังคงเป็นเพียงเด็กทารกที่มีลมหายใจรวยริน

อาจารย์ช่วยเหลือข้าไว้

อาจารย์ตั้งชื่อข้าว่าเกออู๋โหยว

ชื่อของข้ามีความหมายว่า ‘การมีชีวิตอยู่อย่างไรซึ่งความวิตกกังวล’

ข้าเข้าใจว่าอาจารย์อยากให้ข้ามีชีวิตที่ดี

แต่ภายหลัง ข้าถึงได้รู้ว่าเขาหมายถึงตนเองต่างหาก เพราะเมื่อข้าเติบโตขึ้นมาทำงานแทนเขาได้แล้ว อาจารย์ก็ออกท่องเที่ยว แทบไม่เคยกลับมาทำงานอีกเลย

แต่ข้าก็ยังคงสำนึกบุญคุณอยู่เสมอที่อาจารย์ผู้พึ่งพาไม่ค่อยจะได้คนนี้ช่วยชีวิตของข้าไว้

เพราะอย่างน้อย เขาก็ทำให้ข้ามีงานดีๆ ทำ

อย่างน้อย ในดินแดนห่างไกลอย่างจักรวรรดิเป่ยไห่ ข้าก็มีตำแหน่งเป็นผู้พิทักษ์เจดีย์ ข้าสามารถกำหนดโชคชะตาได้ด้วยมือของตนเอง

นี่คือฤดูหนาวประจำปีที่ 8888

20 วันก่อนขึ้นปี 8889

อากาศแจ่มใส

วันนี้เกิดเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิตของข้า

เพียงวันเดียว เจดีย์แห่งนี้ได้ต้อนรับผู้มีพลังระดับเซียนที่มาขึ้นทะเบียนถึงห้าคน

คนแรกคือหลินเป่ยเฉิน บุคคลผู้นี้ไม่ต้องกล่าวถึงมาก เพราะเขาเป็นคนที่ทางราชวงศ์เป่ยไห่ฝากฝังมา ข้าวางแผนที่จะปิดตาข้างเดียวและส่งเสริมให้เขาเป็นผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองแดงอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นเป้าหมายสังหารของจูจวิ้นหลาน…

ทั้งสองฝ่ายติดสินบนข้า

แต่เป็นฝ่ายของจูจวิ้นหลานที่ให้มากกว่า

ดังนั้น ข้าจึงช่วยเหลือเขามากกว่า

แต่ผลการทดสอบเป็นใจสำหรับข้า

ถึงแม้จะผ่านการทดสอบอย่างยากลำบาก แต่หลินเป่ยเฉินก็ได้รับตำแหน่งผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองแดง

และเมื่อเห็นจูจวิ้นหลานพ่ายแพ้ในการต่อสู้อย่างยับเยิน ภายนอกข้าอาจจะช่วยเหลือและปลอบโยนเขาก็จริง แต่ภายในนั้น ข้ากำลังหัวเราะเยาะด้วยความสะใจยิ่ง

สมควรแล้ว!

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาแปลกประหลาดมาก

ภายหลังมีคนมาขึ้นทะเบียนอีกสี่คน

ประกอบไปด้วย ซุนซิงเจ๋อ อู๋จิง ถังไซเซี่ยและจูอู่เหนิง

แต่ละคนมีชื่อแปลกประหลาด ความหมายไม่สมเหตุสมผล

แต่ชื่อที่แปลกกว่านี้ข้าก็เคยพบมาแล้ว

โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีพลังระดับเซียน

แน่นอนว่าชื่อนั้นไม่สำคัญ

สิ่งสำคัญคือทั้งสี่คนนี้ไม่รู้ปรากฏตัวมาจากไหน พวกเขาถึงผ่านการขึ้นทะเบียนได้ทั้งหมด

และกลายเป็นผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำ

พวกเขาได้รับตำแหน่งฉายาว่า บุรุษก้านยาว เซียนเคราดก เซียนตะปูเพชร และคนไม่ใช่คน

คนไม่ใช่คนเป็นฉายาของจูอู่เหนิง

เขาไม่พอใจตำแหน่งฉายานี้มากทีเดียว

เพราะเขาเกือบจะต่อยข้าแล้ว และมีเจตนาจะพังถล่มเจดีย์เซียนแห่งนี้

โชคดีที่ข้าเบิกเงินเดือนล่วงหน้าให้เขาไปก่อน

จูอู่เหนิงถึงได้ยอมจากไปด้วยความพอใจ

ข้าคิดว่าบุรุษทั้งสี่คนนี้มีสิ่งผิดปกติ แต่ข้าก็ไม่สามารถตรวจสอบได้

ถึงอย่างไรพวกเขาก็ได้รับการรับรองจากเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ

หากในอนาคตมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของข้า

จูจวิ้นหลานมีความสุขมากกว่าผู้ใด

เพราะเขาใช้ศิลาบูชา 300 ก้อนว่าจ้างให้บุรุษก้านยาว เซียนเคราดก และคนไม่ใช่คนไปไล่ล่าสังหารหลินเป่ยเฉิน

เขามั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของตนเอง

ความจริง ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น

หลินเป่ยเฉินกำลังจะต้องตาย

จักรวรรดิเป่ยไห่กำลังจะถึงคราวล่มสลาย

ข้าอิจฉาจูจวิ้นหลานเหลือเกิน

ด้วยมีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลัง เขาจึงสามารถทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ

ตอนที่จูจวิ้นหลานกำลังจะเดินทางกลับ เขาเล่าว่าได้ไปเจอสาวงามนามว่าซินเยว่อะไรสักอย่างมานางหนึ่ง เขาถึงกับนำรูปของนางในศิลาบันทึกภาพออกมาให้ข้าดู… นางมีความงดงามมากทีเดียว มิหนำซ้ำ ยังเป็นทหารหญิงแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ จูจวิ้นหลานบอกกับข้าว่านางคือรักแท้ของเขา

ฮ่าฮ่าฮ่า

ตัวชั่วร้ายเช่นเขามีรักแท้ได้ด้วยหรือ?

ข้าอิจฉาเขายิ่งนัก

ว่าแต่อาจารย์ของข้าจะไม่กลับมาแล้วใช่หรือไม่?

เขาลืมไปแล้วหรือว่าตนเองยังมีศิษย์อยู่อีกทั้งคน?

นี่ก็ผ่านมาได้ 250 วันแล้ว นับตั้งแต่ที่อาจารย์ออกเดินทาง

ข้าคิดถึงอาจารย์เหลือเกิน

วันนี้บันทึกเพียงเท่านี้ก่อนดีกว่า

ข้าจะได้นอนหลับเต็มตื่นเสียที