บทที่ 878 การประลองเดิมพันชีวิต

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 878 การประลองเดิมพันชีวิต

“คิดไม่ถึงเลยแฮะว่าจะขึ้นทะเบียนผ่านทั้งสี่คน”

หลินเป่ยเฉินวางเหรียญตราประจำตัวผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำทั้งหมดเรียงบนโต๊ะและยิ้มอย่างมีความสุข

ผู้ที่ฉลาดที่สุดคือผู้ที่อยู่รอด

ไม่มีอะไรจะเป็นความจริงมากไปกว่านี้อีกแล้ว

เมื่อมีเหรียญตราประจำตัวผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำถึงสี่ชิ้น หลินเป่ยเฉินก็สามารถทำอะไรได้อีกมากมาย

“จูจวิ้นหลานผู้นั้นไม่ใช่ตัวดี ถึงกับลอบว่าจ้างคนมาสังหารเราในเวลาเพียงไม่นาน แต่เขาคงคิดไม่ถึงหรอกมั้งว่าทุกคนที่เขาว่าจ้างกลับเป็นตัวเราเอง อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า”

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความชั่วร้าย เหมือนหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่แอบเข้าไปกินไก่ในเล้าของชาวบ้านได้สำเร็จ

จูจวิ้นหลานคนนี้คงปล่อยไว้ไม่ได้เสียแล้ว

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยจิตสังหาร

แต่ก่อนจะฆ่าทิ้ง ต้องใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุดก่อน

เขาจะหลอกเอาเงินของบุคคลผู้นี้ให้ได้เยอะที่สุด

ไม่ต้องเป็นกังวล เขาจะปล่อยให้จูจวิ้นหลานได้มีชีวิตอยู่และตายอย่างช้าๆ

กว่าหมอนี่จะตายก็คงทำให้เขาร่ำรวยมากแล้ว

โฮะโฮะโฮะ

หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น

เมื่อมีเหรียญตราประจำตัวผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำถึงสี่ชิ้น เขาก็จะได้รับศิลาบูชา 600 – 700 ก้อนจากสมาคมผู้มีพลังระดับเซียนในทุกๆ เดือน

นี่คือรายได้ระยะยาวที่มั่นคง

ไม่ต้องห่วงเรื่องชาร์จแบตโทรศัพท์มือถืออีกแล้ว

สมาคมผู้มีพลังระดับเซียนคือพาวเวอร์แบงค์ของเขาชัดๆ!

นอกจากนี้ หลินเป่ยเฉินยังสามารถนำศิลาบูชาที่ได้มาใช้ซื้อของในแอป Taobao และแอปจิงตง มอลล์ รวมถึงนำไปเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มความสามารถของแอปพลิเคชันบางตัวได้อีกด้วย

มีความสุขจังเลยโว้ยยย

หลินเป่ยเฉินเก็บเหรียญตราประจำตัวทั้งหมดขึ้นมาและเปลี่ยนหน้ากลับมาเป็นตัวเอง จากนั้นจึงเดินไปจ่ายเงินค่าที่พักกับทางผู้ดูแลโรงเตี๊ยม

ระหว่างทางกลับ เขาพบเจอกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวที่กำลังเรี่ยไรเงินบริจาคตามท้องถนนเพื่อช่วยเหลือเหล่าทหารผ่านศึก

เด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านั้นตะโกนคำขวัญประจำใจด้วยความตื่นเต้น เลือดลมของวัยหนุ่มสาวพลุ่งพล่าน เพียงรับฟัง หลินเป่ยเฉินก็พลอยรู้สึกถูกปลุกใจไปด้วย

ในยามที่อำนาจของคนรุ่นเก่าเริ่มสั่นคลอน คนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็ก่อสร้างเป็นสมาคมใต้ดิน คอยเคลื่อนไหวสร้างกิจกรรมเดินขบวนประท้วงทั่วจักรวรรดิเป่ยไห่ด้วยความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ

เมื่อเห็นกลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านี้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมเพื่อประเทศชาติ หัวใจของหลินเป่ยเฉินก็รู้สึกร้อนผ่าวด้วยความตื้นตันใจ

สุดท้าย เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะไปยังหอนางโลมและเดินทางกลับจวนซางจั้วหยวนแทน

และทันทีที่เด็กหนุ่มเดินผ่านประตูเข้าไป เขาก็พบว่าองค์ชายเจ็ดและขันทีชราจางเชียนเชียนซึ่งกลับมาสวมใส่เครื่องแบบเต็มยศ ได้มานั่งดื่มน้ำชาบริเวณสวนหย่อมรอคอยเขาอยู่ก่อนแล้ว

เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินเดินเข้ามา ขันทีชราจางเชียนเชียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

องค์ชายเจ็ดมีดวงตาเป็นประกายสว่างไสว เขาลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มพร้อมกับกล่าวทักทาย “น้องหลิน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง”

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนตอบ “ท่านเจ็ด บัดนี้ข้าเป็นผู้มีพลังระดับเซียนอย่างเป็นทางการ ท่านจะเรียกข้าว่าน้องหลินเฉยๆ ได้อย่างไร?”

องค์ชายเจ็ดหยุดชะงัก แต่เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินยิ้มแฉ่งออกมาเพราะต้องการหยอกล้อเขา องค์ชายหนุ่มจึงตบไหล่ไปทีหนึ่งและกล่าวต่อ “พวกเรามาคุยธุระกันดีกว่า เหตุการณ์สังหารคนของสถานทูตจี้กวง บัดนี้ถูกส่งเรื่องเข้าสู่การวินิจฉัยของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางแล้ว…”

“แล้วไงขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “บัดนี้ข้าเป็นผู้มีพลังระดับเซียน ใครก็ตามที่อยากจะมาควบคุมตัวข้า ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมด”

พรวด!

ขันทีชราจางเชียนเชียนที่กำลังดื่มน้ำชาถึงกับสำลักออกมาทันที

“คุณชายได้โปรดอย่าพูดจาล้อเล่น”

ชายชราลุกขึ้นยืนประสานมือขออภัยและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “กลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางได้ส่งจดหมายแจ้งเตือนมาหาองค์จักรพรรดิแล้ว แม้ว่าพวกเราจะช่วยออกหน้าให้แก่คุณชายมากมาย แต่แรงกดดันในครั้งนี้มีมากเกินไป วันนี้ ทุกฝ่ายจึงมีความเห็นตรงกันว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้สมควรยุติด้วย ‘การประลองเดิมพันชีวิต’ ขอรับ”

“ใครบอกท่านว่าข้าล้อเล่น”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้ามีพลังอยู่ในขั้นเซียน ยังจะต้องกลัวอะไรอีก?”

ขันทีชราจางเชียนเชียนนิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ สุดท้ายก็กล่าวว่า “จริงด้วยสิขอรับ ข้าลืมบอกคุณชายไปเลยว่าในกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง มีสมาชิกเป็นยอดฝีมือระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำจำนวนห้าคน ขั้นเหรียญเงินอีกสี่คน ขั้นเหรียญ…”

หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุกระริก

ลมหายใจต่อมา เด็กหนุ่มถึงตั้งสติได้อีกครั้ง “ท่านหมายความว่าอย่างไร? แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับข้ามิทราบ? ท่านเองก็ทำงานรับใช้องค์จักรพรรดิมายาวนาน ไม่รู้จักการสรุปใจความสำคัญหรืออย่างไร? จงอธิบายมาเดี๋ยวนี้ว่าการประลองเดิมพันชีวิตคืออะไรกันแน่?”

องค์ชายเจ็ดพูดอะไรไม่ออก

ขันทีชราจางเชียนเชียนก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน

คุณชายหลิน ท่านจะโง่เขลาไปถึงไหน

หลังจากเงียบกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุด ขันทีชราก็อธิบาย “การประลองเดิมพันชีวิตในครั้งนี้ คู่ต่อสู้ของคุณชายจะเป็นผู้มีพลังระดับเซียนจากจักรวรรดิจี้กวง ทางกลุ่มพันธมิตรเห็นว่าปัญหาในครั้งนี้ เป็นพวกเราทั้งสองฝ่ายก่อขึ้นมาเอง ก็สมควรหาทางยุติด้วยตนเองเช่นกัน”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง”

หลินเป่ยเฉินเข้าใจได้ไม่ยาก “แล้วใครเป็นคนที่จะมาสู้กับข้า?”

ขันทีชราจางเชียนเชียนมีสีหน้าคิดหนักระหว่างตอบ “บัดนี้ยังไม่ทราบขอรับ ทางจักรวรรดิจี้กวงจะเป็นฝ่ายเลือกเองว่าใครสมควรเป็นคู่ต่อสู้ของคุณชาย การประลองจะมีขึ้นในอีกสิบวันหลังจากนี้ ณ เขตเมืองฝั่งตะวันตกของนครหลวงขอรับ”

“พวกท่านไม่รู้จริงหรือว่าใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า?”

หลินเป่ยเฉินยังคงถามออกมาด้วยความสงสัย

องค์ชายเจ็ดขัดจังหวะตอบว่า “ขอยืนยันว่าแม้แต่ข้าเองก็ยังไม่รู้ แต่จากการลงนามในสัญญาของกลุ่มพันธมิตร จักรวรรดิจี้กวงจะสามารถเลือกตัวแทนได้แค่ผู้มีพลังระดับเซียนประจำดินแดนตนเองเท่านั้น หรือถ้าจะใช้ผู้มีพลังระดับเซียนของดินแดนอื่น ก็จำเป็นต้องให้ผู้มีพลังระดับเซียนคนนั้นย้ายมาทำงานให้พวกเขาถาวรถึงจะมีสิทธิ์เข้าประลองได้”

ขันทีชราจางเชียนเชียนกล่าวเสริมขึ้นมา “ข่าวดีก็คือจักรวรรดิจี้กวงมียอดฝีมือระดับเซียนเพียงหกคน ห้าในหกอยู่ในขั้นเหรียญทองแดง ส่วนผู้มีพลังขั้นเหรียญทองคำของพวกเขาคือธนูมัจจุราชซูถิงฟาง ว่ากันว่าเขาเป็นถึงผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสี่ แต่ไม่เคยเดินทางออกจากเมืองหลวงของจักรวรรดิจี้กวงเลยแม้แต่ก้าวเดียว ส่วนที่เหลืออีกห้าคนนั้นเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสาม คุณชายหลินน่าจะรับมือได้ไม่มีปัญหาขอรับ”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชิน

ฟังดูไม่น่ามีปัญหา

แต่หลินเป่ยเฉินไม่เชื่อว่าจักรวรรดิจี้กวงจะยอมมอบข้อมูลที่แท้จริงออกมาง่ายๆ

หากพวกนั้นไม่แน่ใจว่าจะชนะ ก็คงไม่เห็นด้วยกับการประลองเดิมพันชีวิตในครั้งนี้เด็ดขาด

ดังนั้นคำถามก็คือ

จักรวรรดิจี้กวงไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?

เกรงว่าคงไปได้ตัวช่วยเป็นยอดฝีมือจากดินแดนอื่นมาแน่ๆ

“พูดอีกอย่างก็คือ เรื่องนี้พวกท่านตกลงกันไปแล้ว ต่อให้ข้าปฏิเสธก็คงไม่เกิดผลใช่หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าองค์ชายเจ็ดและขันทีชราจางเชียนเชียน

ทั้งสองคนนิ่งเงียบ

ความจริงนั้น…

การที่หลินเป่ยเฉินบุกถล่มสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวง ช่วยทำให้ขวัญกำลังใจของชาวเป่ยไห่กลับมาเข้มแข็งดังเดิม ว่ากันว่าพวกเขาไม่เคยรู้สึกคึกคักมากเท่านี้มาหลายปีแล้ว

และการส่งหลินเป่ยเฉินขึ้นสังเวียนต่อสู้เพียงคนเดียว ก็ออกจะเป็นการเอาเปรียบเด็กหนุ่มเกินไปหน่อย

แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

มิฉะนั้น จักรวรรดิเป่ยไห่คงต้องถูกกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางคว่ำบาตรเป็นแน่แท้

และหากเป็นเช่นนั้น หายนะใหญ่หลวงก็จะเกิดขึ้น

จักรวรรดิเป่ยไห่อาจจะไม่ผ่านการประเมินอีกต่อไป

การล่มสลายจะตามมา

หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่นอีกครั้งและพูดว่า “ให้ข้าออกไปสู้เฉยๆ ข้าไม่ทำหรอก พวกท่านต้องเพิ่มเงินรางวัลให้ข้าด้วยสิ”

ว่าอย่างไรนะ?

เรื่องราวบานปลายมาถึงขั้นนี้ หลินเป่ยเฉินยังจะคิดถึงเงินทองอีกหรือ?

องค์ชายเจ็ดนั้นคุ้นเคยกับนิสัยของเด็กหนุ่มดีแล้ว

แต่ขันทีชราจางเชียนเชียนกลับเริ่มสงสัยอย่างหนึ่งว่า การที่องค์จักรพรรดิเฝ้าเอาใจหลินเป่ยเฉินด้วยการมอบเงินทองของมีค่าต่างๆ ให้นั้น คือการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ หรือ?