ปรมาจารย์จางที่เป็นหัวหน้านักปรุงยาเดินเข้ามาแล้วกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าว่าอย่างไรนะ? มู่หรงเฉียนเยี่ยเขาทำไมหรือ?”

จากนั้นนักปรุงยาเหล่านี้ก็ได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาให้ปรมาจารย์จางฟัง

“ปรมาจารย์จาง เขานั้นไม่ใช่คนของหอหมอปีศาจ หอหมอปีศาจได้ปลอมแปลงผู้มีความสามารถเข้ามา เราจะตัดสิทธิ์เขาดีหรือไม่?”

ปรมาจารย์จางกล่าว “ตัดสิทธิ์? ทำไมถึงต้องตัดสิทธิ์? ข้าต้องการให้เขาเข้ามาในตำหนักโอสถ คราวนี้ข้าจะไม่ปล่อยเขาไปแน่”

หัวหน้านักปรุงยาปรมาจารย์จางต้องการที่จะให้มู่เฉียนซีเข้ามาและจะแก้แค้นเมื่อครั้งก่อนให้ได้

เขาต้องการที่จะให้เจ้าเด็กนั่นรู้ว่าการเสียมารยาทกับหัวหน้านักปรุงยาแห่งตำหนักตงจี๋จะต้องแลกมาด้วยความอนาถถึงเพียงใด

เมื่ออยู่ต่อหน้าเฟิงอวิ๋นซิวเขาไม่สามารถที่จะจับตัวนางได้ แต่มาวันนี้ฝ่ายตรงข้ามได้มาหาถึงที่ มันช่างตรงกับใจเขาพอดี

“ขอรับ! ท่านหัวหน้านักปรุงยา”

โดยปกติแล้วไป๋อู๋ห่ายไม่ค่อยได้ถามถึงการทดสอบของตำหนักโอสถเท่าใดนัก ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงยังไม่รู้เลยว่าผู้ที่เขาได้ขับไสไล่ส่งไปนั้นกำลังจะกลับมาที่ตำหนักตงจี๋อีกครั้ง

อีกทั้งยังเข้ามาในตำหนักตงจี๋ด้วยอีกสถานะตัวตนหนึ่ง

เฟิงอวิ๋นซิวคอยจับตามองดูมู่เฉียนซีอยู่โดยตลอด แน่นอนว่าเขาจึงรู้ว่ามู่เฉียนซีต้องการที่จะเข้าร่วมการทดสอบของตำหนักโอสถ

“เฉียนเยี่ยมีความสัมพันธ์กับหอหมอปีศาจ?” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ

ไม่นานนักการทดสอบของตำหนักโอสถก็ได้เริ่มขึ้น

มู่เฉียนซีได้ไปยังตำหนักตงจี๋ด้วยตนเองและได้นำป้ายเข้าร่วมการทดสอบออกมา ทหารรักษาการณ์ของตำหนักตงจี๋รู้ว่านางเป็นนักปรุงยาจึงได้มีอาการเคารพนอบน้อมอยู่ไม่น้อย

“ขอเชิญท่านทางนี้!”

หลังจากที่มู่เฉียนซีได้เข้าไปในตำหนักโอสถแล้วก็เกิดเป็นที่สะดุดตาของผู้คนเป็นอย่างมาก อย่างไรเสียเมื่อมองดูแล้วนางก็เป็นผู้ที่มีอายุน้อยที่สุด

ผู้ที่เข้ามาแต่ละคนได้รายงานตัวของตนเองกันทีละคน มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “หอหมอปีศาจ มู่หรงเฉียนเยี่ย”

“หอหมอปีศาจ!” ในตอนนี้หอหมอปีศาจมีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย พวกเขาเองก็สงสัยเกี่ยวกับเด็กหนุ่มผู้นี้ที่มาจากหอหมอปีศาจว่าจะเก่งกาจสักเท่าไรกันเชียว

ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการทดสอบของตำหนักโอสถนั้นมีไม่มากนัก ทั้งหมดก็มีเพียงแค่สามร้อยคนเพียงเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับการทดสอบเพื่อเข้าตำหนักตงจี๋

ในตอนนี้เองได้มีผู้ร้องตะโกนขึ้นว่า “ท่านหัวหน้านักปรุงยาปรมาจารย์จางมาถึงแล้ว!”

เมื่อได้ยินว่าหัวหน้านักปรุงยาท่านนี้ของตำหนักตงจี๋มาถึงแล้ว นัยน์ตาของทุกคนต่างก็ส่องประกายสว่างวาบออกมา

สำหรับหัวหน้านักปรุงยาผู้นี้แล้วพวกเขานั้นเคารพเป็นที่สุด

เมื่อปรมาจารย์จางเดินเข้ามาสายตาของเขาก็ตกทอดไปที่บนตัวของมู่เฉียนซีราวกับหมาป่าที่หิวโหยจ้องมองเหยื่อก็มิปาน

ปรมาจารย์จางกล่าวขึ้น “ข้าเป็นประธานในการจัดการทดสอบเพื่อเข้าตำหนักโอสถ”

“ในรอบแรกผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟสามารถที่จะละเว้นการทดสอบได้ จงโคจรพลังวิญญาณของพวกเจ้าให้ข้าดูเสียเถอะ!”

คนเกือบครึ่งหนึ่งนั้นเป็นผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟ อย่างไรเสียเมื่อเทียบกันแล้วผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟสามารถที่จะเดินไปบนหนทางแห่งการสกัดยาได้ง่ายดายกว่าผู้บำเพ็ญภูตธรรมดาทั่วไป

แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญภูตเหล่านั้นที่สามารถปลดปล่อยพลังวิญญาณธาตุไฟออกมาได้ก็สามารถที่จะผ่านการทดสอบในรอบแรกนี้ไปได้

ปรมาจารย์จางกล่าว “ต่อจากนี้ไปพวกเจ้าจะต้องเริ่มการทดสอบในรอบแรก การทดสอบในรอบแรกนั้นก็คือการควบคุมไฟ ผู้ที่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟเช่นพวกเจ้าทำได้แต่เพียงจะต้องควบคุมไฟในการสกัดเม็ดยา เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟแล้วก็จะด้อยกว่ากันอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถสร้างให้เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญได้!”

“พวกเจ้าเตรียมตัวที่จะเริ่มได้แล้ว”

พรึ่บ! ไฟในการสกัดยาได้ถูกจุดขึ้น จากนี้ไปก็จะเป็นเวลาที่จะทดสอบความสามารถในการควบคุมไฟของพวกเขาแล้ว

พวกเขาได้รับมอบสมุนไพรวิญญาณที่ถูกเผาไหม้ได้อย่างง่ายดายที่สุดมา สมุนไพรวิญญาณชนิดนี้หากแค่เพียงควบคุมไฟได้ไม่ดีก็จะถูกเผาไหม้ไปสิ้นไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

ไม่นานนักก็ได้มีกลิ่นไหม้ลอยมาจากหม้อปรุงยาของผู้อื่น แต่มู่เฉียนซีกลับสามารถควบคุมไฟได้อย่างสงบนิ่ง

ใช่แล้ว นางไม่ใช่ผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟ อีกทั้งยังเป็นผู้บำเพ็ญภูตธาตุน้ำซึ่งตรงข้ามกับธาตุไฟ

เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? นางต้องการที่จะเป็นนักปรุงยาที่แข็งแกร่งที่สุด แม้แต่สวรรค์ก็จงอย่าได้มาขวางกั้น

ถ้าหากควบคุมไฟได้ไม่ดีละก็ เช่นนั้นมิใช่ว่าจะถูกรังเกียจไปตลอดชีวิตหรือ?

เวลาในการทดสอบคือหนึ่งชั่วยาม เวลาหนึ่งชั่วยามทำให้พลังวิญญาณของคนจำนวนไม่น้อยไม่อาจที่จะทนรับได้ไหว แผ่นหลังของคนจำนวนไม่น้อยเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจากความเครียด

แต่มู่เฉียนซีกลับเล่นกับไฟอยู่อย่างใจเย็นและไม่เห็นท่าทีว่าจะกินกำลังเลยแม้แต่น้อย

ปรมาจารย์จางคอยเฝ้ามองมู่เฉียนซีซึ่งเป็นเสี้ยนในตาของตนอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นถึงการแสดงออกของนาง เขาก็รู้สึกประหลาดเป็นอย่างมาก เจ้าเด็กบ้านี่สามารถควบคุมไฟได้ถึงขั้นนี้

เมื่อถึงเวลาแล้วปรมาจารย์จางก็ได้โบกมือให้นักปรุงยาผู้อื่นออกมาทำการวิจารณ์

“ธรรมดา”

“ธรรมดา”

“ค่อนข้างดี”

“ดี!”

“……”

รอจนกระทั่งพวกเขาเดินมาถึงที่ด้านหน้าของมู่เฉียนซี คำวิจารณ์ที่พวกเขาให้ออกมานั้นคือ!

“สมบูรณ์แบบ!”

ควบคุมพลังไฟได้สมบูรณ์แบบ

เหล่าผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟที่มุงดูอยู่รอบด้านนั้นก็ตะลึงงัน “สมบูรณ์แบบ ทำไมถึงได้เก่งกาจเพียงนั้น?”

“ถึงต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟ ด้วยความใกล้ชิดคุ้นเคยกับพลังวิญญาณธาตุไฟก็ไม่ถึงขนาดทำได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบกระมัง!”

“เจ้าเด็กนี่คงมิใช่ผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟที่แสร้งทำเป็นไม่ใช่แล้วมาสร้างบารมีหรอกกระมัง!”

แต่ว่า จะมีคนเช่นนั้นอยู่จริง ๆ หรือ?

หนึ่งร้อยคนได้ตกรอบไปถึงหนึ่งในสามส่วน แน่นอนว่ามู่เฉียนซีนั้นได้อยู่ต่อในรอบต่อไป

ปรมาจารย์จางกล่าว “การทดสอบในรอบที่สองก็ง่ายดายเป็นอย่างมาก มันคือการขัดเกลา!”

สมุนไพรวิญญาณจำนวนมากที่ยากจะทำให้บริสุทธิ์ได้ ดังนั้นแล้วการทดสอบรอบนี้จึงได้ขอให้พวกเขาขัดเกลามัน นี่เมื่อเทียบกับมาตราฐานความต้องการของหอโอสถบ้านั่น มันก็ไม่ค่อยสูงเท่าใดนัก

มู่เฉียนซีใช้เวลาไม่นานนักในการขัดเกลาจนเสร็จสิ้น

อย่างไรเสียก็ดูเหมือนว่านางจะไม่สามารถทำตัวค้อมต่ำได้แล้วในตำหนักตงจี๋ เช่นนั้นก็ไม่สู้ทำให้มันเอิกเกริกต่อไปเสียอีกหน่อย

“เร็วนัก!”

“เจ้าเด็กนี่กำลังเล่นอยู่หรือไง? ขัดเกลาสมุนไพรไม้เหล็กอย่างสุขใจแต่กลับรวดเร็วเช่นนี้!”

“……”

พวกเขาไม่อยากที่จะเชื่อ แต่เมื่อผู้ตัดสินเหล่านั้นได้ตัดสินออกมาแล้ว อีกทั้งยังตัดสินให้ได้ขั้นสมบูรณ์แบบอีกต่างหาก พวกเขาจึงจำต้องเชื่อ!

ทำได้รวดเร็วเช่นนั้นจริง?

ปรมาจารย์จางเองก็ตะลึงงัน ถึงแม้ว่าความรวดเร็วนั้นจะไม่อาจเทียบได้กับเขา แต่ทว่ามันก็ต่างกันไม่มากนัก

แต่เจ้าเด็กนี่เป็นเพียงเด็กหัวขนที่มีอายุสิบกว่าปีเท่านั้น! เหตุใดจึงทำได้ถึงขั้นนี้?

มู่เฉียนซีได้เผยพรสวรรค์ออกมาบ้างแล้วเล็กน้อย จึงทำให้ปรมาจารย์จางที่ชอบริษยานี้รู้สึกเกิดความอันตรายขึ้นเสียแล้ว

หลังจากรอผลการขัดเกลาของผู้อื่นออกมาแล้ว ผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ก็ลดลงไปถึงหนึ่งในห้าส่วน

เหลือแค่เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น และเข้าสู่การทดสอบในรอบที่สาม

การทดสอบในรอบที่สามก็มิได้มีความต้องการสูงมากสักเท่าไรนัก สิ่งที่ต้องการเพียงข้อเดียวก็คือให้พวกเขาสกัดยาเม็ดระดับดีที่สุดที่ระดับขั้นของพวกเขาสามารถจะสกัดออกมาได้

หลังจากได้ยินเนื้อหาในการทดสอบของครั้งนี้แล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็คิดกันว่าจะสกัดยาเม็ดอะไรออกมาดี

ยาเม็ดนี้จะต้องสามารถรับประกันได้ถึงระดับขั้นและผลลัพธ์ของมัน

มู่เฉียนซีได้นำหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ออกมาเตรียมที่จะสกัดยา ในรอบสุดท้ายสามารถที่จะใช้หม้อยาของตนเองได้ตามสบาย

มู่เฉียนซีได้นำสมุนไพรวิญญาณออกมาจำนวนไม่น้อยในคราวเดียว ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสมุนไพรวิญญาณขั้นปฐพี แม้กระทั่งขั้นสวรรค์ก็ยังมี

ในตอนนี้นักปรุงยาที่อยู่ในที่นั้นต่างมองเพ่งกันจนตาแข็ง พวกเขาอยากที่จะพุ่งเข้าไปชิงสมุนไพรวิญญาณของมู่เฉียนซีมา

สมุนไพรวิญญาณที่ล้ำค่าเช่นนี้ให้เจ้าเด็กนี่นำมาใช้ในการทดสอบเพียงครั้งหนึ่งมันจะสิ้นเปลืองไปหน่อยแล้วกระมัง!

คนอื่น ๆ เองก็ถูกโจมตีทางจิตใจเข้าเสียแล้ว หอหมอปีศาจนี่ก็จะมีเงินมากไปหน่อยแล้วกระมัง!

ในการทดสอบเช่นนี้ก็ได้นำของชั้นยอดเช่นนั้นมาใช้ปรุงยา

แม้แต่ปรมาจารย์จางก็ยังรู้สึกกระสับกระส่าย นั่นคือสมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์ ขั้นสวรรค์…

“เจ้าหนู สมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์นี้เจ้าไปได้มาจากไหน?” ปรมาจารย์จางถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น

มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “ปรมาจารย์จาง ข้านั้นมาเข้าร่วมการทดสอบจึงมิได้มีหน้าที่ที่จะต้องบอกท่านว่าสมุนไพรวิญญาณของข้านั้นมาจากที่ใด”

ปรมาจารย์จางกล่าว “เจ้าโอหังนัก!”

มู่เฉียนซีกล่าว “ปรมาจารย์จาง ท่านจะตื่นเต้นเช่นนี้ทำไม? นี่ก็ไม่ใช่วันแรกที่ท่านได้รู้ว่าข้าโอหังเช่นนี้ อายุมากแล้วจะตื่นเต้นเช่นนั้นไปทำไมกัน?”

คนอื่น ๆ ต่างก็ปากอ้าตาค้าง ในเมื่อมีผู้ที่กล้าจะกล่าววาจายโสโอหังเช่นนี้กับหัวหน้านักปรุงยาแห่งตำหนักตงจี๋

“เจ้าหนู เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดสิทธิ์ในการทดสอบของเจ้าไปในทันที” ปรมาจารย์จางเองก็โกรธกริ้วเข้าแล้ว

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ปรมาจารย์จาง จะดีร้ายอย่างไรท่านก็เป็นหัวหน้านักปรุงยาแห่งตำหนักตงจี๋ คงจะไม่ใช้อารมณ์กับเรื่องเช่นนี้หรอก ใช่หรือไม่?”